หนิววั่งพุ่งออกมาจากในฝูงชน ทั่วตัวเขายังเต็มไปด้วยบาดแผล พันผ้าไว้ราวกับมัมมี่กลับไม่รู้ว่าพุ่งออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่
มีดเล่มนั้นเสียบเข้าที่ท้องของหนิววั่ง เขายังยืนอยู่ที่เดิม แม้ทั้งตัวจะสั่นระริก แววตากลับแน่วแน่ยิ่ง
พวกเขาไม่มีใครคาดเดาได้สักคนว่าหนิววั่งจะพุ่งออกมา
และไม่มีใครสังเกตว่าหนิววั่งจะอยู่ใกล้ไป๋ยี่เฟยขนาดนั้น
พวกเขายิ่งไม่มีทางคิดถึงว่าหนิววั่งจะทำแบบนี้
เดิมร่างกายก็มีบาดแผลนับไม่ถ้วนเป็นทุนเดิม ผนวกกับมีดหักเล่มนี้เข้าไปอีก หนิววั่งจะมีชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้
ไป๋ยี่เฟยชะงักนิ่งอยู่ที่เดิม
ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจ
จู่ๆ บรรยากาศก็เงียบเชียบลง จนแม้แต่เข็มตกก็ยังได้ยิน
หนิววั่งหันศีรษะมาด้วยความยากลำบาก คล้ายกับอยากยิ้มแต่กลับยิ้มไม่ออก เขาถามไป๋ยี่เฟยว่า “นายว่า……ฉันทำตัว……ย้อนแย้งมากใช่หรือเปล่า?”
ก่อนหน้านี้เขาทรยศไป๋ยี่เฟย และรู้ว่าถ้าเขาทรยศไป๋ยี่เฟยจะทำให้เขาต้องตาย แบบนี้ถึงจะสามารถช่วยลูกชายของเขาออกมาได้ แต่ตอนนี้ ยามที่ไป๋ยี่เฟยพบกับอันตรายอย่างแท้จริง เขากลับคิดยังไงก็คิดไม่ถึงว่าจะพุ่งออกไป
นี่ช่างเป็นการกระทำที่ย้อนแย้งโดยแท้จริง
แต่ไป๋ยี่เฟยไม่คิดเช่นนี้ เขาส่ายหน้า ไต่ขึ้นมาจากพื้นเดินมาหยุดตรงหน้าหนิววั่งทันที จากนั้นก็ประคองเขาไว้พลางพูดว่า “ไม่ใช่เลย ไม่ใช่ พี่หนิว……”
พอหนิววั่งได้ยินว่าไป๋ยี่เฟยยังเรียกเขาว่าพี่ เขาก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ “นายยังเรียกฉันว่าพี่หนิว ฉันก็……วางใจแล้ว”
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนทั้งสองกำลังเผชิญกับการจากลาชั่วนิรันดร์ จู่ๆ กลับมีเสียงเสียงหนึ่งที่ทำให้คนรังเกียจแทรกเข้ามา
“ไม่ประมาณตนเอง!” สือหรั่นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นแค่ไก่อ่อนยังกล้ามาท้าประลองกับฉัน? หากยอมแพ้แต่แรก จะทำให้คนมาตายแทนแกได้ยังไง? เฮอะ ก็แค่หาเหาใส่หัวเท่านั้นเอง!”
“เป็นแค่ไก่อ่อนระดับที่สามก็คิดจะเมินฉัน ไม่ดูตัวเองบ้างว่ามีสิทธิ์นั้นหรือไม่ ถุย!”
ไป๋ยี่เฟยเวลานี้ไม่ได้สนใจสือหรั่น ตะโกนร้องเสียงสั่นแทน “หมอ หมอรีบมานี่เร็ว!”
หมอสองสามคนรีบรุดมาอย่างรวดเร็ว วางหนิววั่งไว้บนเปลหาม
มีคนตะโกนอีกเสียงว่า “รีบส่งไปโรงพยาบาล ต้องส่งไปโรงพยาบาลถึงจะได้”
ดังนั้นคนกลุ่มหนึ่งจึงมือเท้าวุ่นวายขึ้นมา
ไป๋ยี่เฟยยืนอยู่ที่เดิมมองดูทุกคนวุ่นหน้าวุ่นหลัง ภายในใจอยากจะรับได้เหลือเกิน
คำพูดของสือหรั่นเมื่อกี้ยังติดอยู่ในหัวสมอง ประกอปรกับภาพที่หนิววั่งขวางมีดเพื่อตนเอง ก็ยังวนเวียนไม่หยุดเช่นกัน สองมือเขากำเป็นหมัด โอบขึ้นเบาๆ สองตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
นี่เป็นประกายสีแดงที่ไม่ปกติอย่างมาก และในดวงตาเขาไม่เคยปรากฎมานานแล้ว
เขาหมุนกาย มองไปทางสือหรั่น กัดฟันพูดเสียงลอดไรฟันว่า “ฉันจะฆ่าแก!”
คนมากมายพอเห็นดวงตาสีแดงอันแปลกประหลาดคู่นั้นของไป๋ยี่เฟย ก็พากันตกตะลึงกันไปหมด
ซาเฟยหยางหัวคิ้วขมวดขึ้นมา ไป๋หยุนเผิงก็สองตาเบิกกว้าง
ฉีฉีกลับสงสัยอย่างมาก “ดวงตาของเขา……เกิดอะไรขึ้น?”
คำพูดของฉีฉีทำให้ไป๋หยุนเผิงได้สติขึ้นมาทันที รีบกล่าวกับไป๋ยี่เฟยว่า “ไป๋ยี่เฟย รีบสงบจิตใจเร็ว!”
พูดจบ ไป๋หยุนเผิงก็จะพุ่งเข้าไป แต่ถูกฉินซานขวางเอาไว้
ไป๋หยุนเผิงกล่าวอย่างร้อนใจว่า “เขาจะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ รีบไปหนุดเขาเร็ว!”
ฉินซานส่ายหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “เลือกเอง ก็ควรรับผิดชอบเอง”
พอไป๋หยุนเผิงได้ยินคำพูดนี้ก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
……
สือหรั่นอดหัวเราะคำพูดของไป๋ยี่เฟยไม่ได้ ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเสียงร้องคำรามของไก่อ่อนที่จนตรอกตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่มีการข่มขู่ใดๆ โดยสิ้นเชิง
ฝีมือระหว่างพวกเขาห่างชั้นกันมากขนาดนั้น ไป๋ยี่เฟยคิดจะฆ่าเขา ช่างเป็นความคิดเพ้อเจ้อเสียเหลือเกิน
“อาศัยไก่อ่อนอย่างแกก็คิดจะฆ่าฉัน? ล้อเล่นอะไรกัน? แค่เท้าข้างเดียวของกูก็เตะมึงตายได้แล้ว!” สือหรั่นเยาะเย้ยอย่างไม่ใส่ใจ
ไป๋ยี่เฟยเดินเข้าไปหาสือหรั่นทีละก้าว
สือหรันเห็นดวงตาสีแดงฉานของเขาไม่ชัด จึงชะงักนิ่งไปทันที จากนั้นสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง
ยามนี้ จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็ใช้พลัง จนดินที่ใต้เท้าปริร้าวราวกับใยแมงมุม จากนั้นตัวของไป๋ยี่เฟยก็พุ่งไปหาสือหรั่นราวกับกระสุนปืนใหญ่
มีประโยคหนึ่งที่พูดได้ดี ศักยภาพของคนเรานั้นไร้ขีดจำกัด
ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปศักยภาพมีขีดจำกัด แต่เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์พิเศษ มักมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว
อย่างเช่นไป๋ยี่เฟยในตอนนี้
พละกำลังและความเร็วที่เขาพุ่งเข้าไปแข็งแกร่งกว่าเมื่อกี้มาก
สือหรั่นเห็นภาพนี้เข้า พลันตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
แต่สือหรั่นก็เพียงแค่ประหลาดใจเท่านั้น ต่อให้ไป๋ยี่เฟย ตอนนี้ระเบิดศักยภาพเหนือกว่าความสามารถของตัวเขาเอง แต่สำหรับยอดฝีมือระดับที่สองแล้วมันก็แค่เท่านั้น
สือหรั่นแค่นเสียงออกมาเบาๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “แข็งแกร่งไม่น้อยจริงๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉันยังคงเป็นไก่อ่อนระดับที่สามเท่านั้น!”
สือหรั่นเองก็พุ่งไปข้างหน้าเช่นกัน ความเร็วและพละกำลังของเขาแข็งแกร่งกว่าไป๋ยี่เฟย ยกหมัดขึ้นอัดไปที่ไป๋ยี่เฟย
“ตูม!”
คนสองคนปะทะกัน แต่ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ออกหมัด หมัดนี้ของสือหรั่นจึงโดนเข้าที่ท้องของไป๋ยี่เฟยโดยตรง สือหรั่นหัวเราะที่แผนการสำเร็จ
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็อดส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนกไม่ได้
แม้แต่คนบางส่วนของฝั่งพวกเต้าจ่างยังหวั่นใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ราวกับกำลังเป็นห่วงไป๋ยี่เฟยโดยไม่รู้ตัว
แต่นี่เป็นความรู้สึกทั่วไป ความสามารถระดับที่สามคนหนึ่งอย่างไป๋ยี่เฟยถูกสือหรั่นเรียกว่าไก่อ่อนมาตลอดอย่างนี้ พวกเขาที่อยู่ระดับที่สามไม่เท่ากับเป็นไก่อ่อนเหมือนกันหรอกหรือ? แบบนี้ใครได้ยินเกรงว่าจะไม่สบายใจเอาได้
ส่วนคนทางฝั่งของไป๋ยี่เฟย หัวใจโลดขึ้นมาถึงคอหอยแล้ว
เวลานี้เอง เพราะว่าหมัดนี้ไม่ได้ต่อยไป๋ยี่เฟยจนกระเด็นออกไปตามที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นรอยยิ้มของสือหรั่นจึงจางหายไป
ไป๋ยี่เฟยใช้มือสองข้างคว้าแขนเขาไว้ จากนั้นเขาก็เงยหน้าอย่างช้าๆ ใช้ดวงตาแดงฉานคู่นั้นจ้องมองสือหรั่น
สือหรั่นเห็นประกายสีแดงอันแปลกประหลาดนั่น ความรู้สึกหวาดกลัวสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาในใจอย่างไร้ที่มา
“ตายซะ!”
ไป๋ยี่เฟยเอ่ยขึ้นมาสองคำ พร้อมกับใช้ศีรษะโขกไปที่หน้าผากของสือหรั่นด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง
“ปึก!”
“อ๊าก!”
เสียงสองเสียงดังขึ้นมาติดๆ กัน สุดท้ายเสียงหนึ่งที่ดังชัดเจนมาก คือเสียงร้องของสือหรั่น
ต่อให้คุณเป็นยอดฝีมือ แต่ร่างกายคุณไม่เหมือนกัน คุณยังคงมีร่างกายของมนุษย์ ไม่ใช่ทองคำกระดูกเหล็ก
ดังนั้นศีรษะถูกโขก ก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา สือหรั่นถูกไป๋ยี่เฟยโขกเช่นนี้ ก็เจ็บจนแทบจะสลบไป
ตามหลักแล้ว ไป๋ยี่เฟยเองก็รับไม่ไหวเช่นกัน เพราะอย่างไรพลังก็เป็นดาบสองคม แต่เขาในตอนนี้กลับเหมือนว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ เขายังคงกำแขนของสือหรั่นไว้อย่างแน่นหนา ไม่มอบโอกาสให้สือหรั่นได้ตอบโต้ใดๆ เอาศีรษะของตัวเองโขกเข้าไปอีกครั้ง
เกิดเสียงดังอู้อี้ขึ้นอีกครั้ง
“อ๊าก!”
สือหรั่นส่งเสียงร้องโหยหวนอีกครั้ง
คนอื่นๆ ต่างมองดูอย่างโง่งม
วิธีการต่อสู้แบบทั้งสองฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ของไป๋ยี่เฟย ทำให้พวกเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก
หน้าผากของคนทั้งสองต่างมีเลือดไหลออกมาแล้ว สือหรั่นยืนไม่มั่นคงอีกต่อไป แม้แต่ดวงตาก็ลืมไม่ขึ้น แต่ไป๋ยี่เฟยยังคงลืมตาอันแดงฉานคู่นั้นของเขาอยู่ รู้สึกราวกับว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างไรอย่างนั้น
นาทีนี้ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างสูดลมหายใจเข้าอย่างไม่รู้ตัว
นี่เขากำลังสู้สุดชีวิตเลยนี่นา!
แม้ยอดฝีมือจะเป็นยอดฝีมือ แต่ก็กลัวการสู้สุดชีวิตเช่นกัน เพราะการสู้สุดชีวิตคือการไม่สนอะไรทั้งนั้น คุณกลับต้องสนชีวิตตนเอง
พอคนคนหนึ่งไม่สนใจแม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้คนหวาดกลัวจริงๆ
“ปึก!”
“ปึก!”
“……”
ไป๋ยี่เฟยใช้ศีรษะโขกไปที่ศีรษะของสือหรั่นไม่หยุด ทั้งพละกำลังและความเร็วคงที่เป็นอย่างมาก เมื่อโขกแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ สองขาของสือหรั่นก็เหมือนกับค่อยๆ สูญเสียกำลังไป ต่อให้ไม่ตาย ก็แทบสลบเช่นกัน
แต่แขนของเขาถูกไป๋ยี่เฟยจับไว้แน่น อยากจะล้มลงไปบนพื้นก็ทำไม่