เสี่ยวชีจ้องเขม็งมาที่จูฉวนอู่
จู่ฉวนอู่ขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “พี่ใหญ่กลัวเราจะทำให้เขาเดือดร้อน จึงสั่งให้เราฆ่าคนปิดปากใช่มั้ย?”
“ถ้ากลัวจะถูกสาวถึงเขาจริง แล้วจะสั่งให้แกอยู่ด้วยทำไม?” หูเฟยหงขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “เห็นๆ กันอยู่ว่าจะฆ่าเราปิดปาก! นึกว่าเราโง่นักรึไง?”
เสี่ยวชียิงฟันออกมา พยายามที่จะสวนกลับ แต่หน้าอกของเขาถูกแทงไปแล้ว ถูกแทงเข้าไปที่หัวใจ จนตอนนี้ไม่เหลือแรงที่จะโจมตีกลับไปได้เลย
สุดท้าย หูเฟยหงก็ปล่อยมือออก เสี่ยวชีจึงล้มลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
ทันใดนั้น เขาก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมา
จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา เป็นเสียงหัวเราะที่ชวนขนลุก
พอหูเฟยหงเห็นแบบนั้น เขาจึงขมวดคิ้วแล้วถามไปอย่างไม่เข้าใจว่า “แกขำอะไร?”
เสี่ยวชีเอามือกุมอก แล้วพูดขึ้นออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “พวกแก……ยังไงพวกแกก็เป็นลูกน้องของเจ้านาย เจ้านายไม่ได้เคยสั่งให้ฉันฆ่าพวกแกเลย”
“ด้วยเหตุนี้ เขาจึงอยากให้พวกแกฆ่าฉัน แบบนี้ คนอื่นก็จะรู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา แถมเขายังมีเหตุผลเพียงพอที่จะปิดปากพวกแกไปด้วย”
“ด้วยเหตุนี้ ก็ฆ่าพวกแกทิ้งซะ”
ในเวลาเดียวกัน
ได้มีรถตู้ธุรกิจคันหนึ่งขับมาจอดอยู่แถวๆ ป่าเล็กๆ ที่อยู่ชานเมือง
ด้านหน้าของรถตู้ธุรกิจยังมีรถเบนซ์คันหนึ่งจอดอยู่ด้วย
โจวหงลงมาจากรถตู้ธุรกิจคันนั้น แล้วรีบวิ่งเข้าไปหารถเบนซ์ทันที จากนั้นก็เคาะกระจก กระจกรถลดต่ำลง และคนๆ นั้นก็คือหลิ่วจาวเฟิงนั่นเอง
โจวหงพูดเบาๆ กับหลิ่วจาวเฟิงว่า “ผมทำตามที่คุณสั่งทุกอย่างแล้วครับ ตอนนี้ควรทำยังไงต่อดีครับ?”
หลิ่วจาวเฟิงพยักหน้า “โจวหลินได้ย้ายข้างไปอยู่กับไป๋ยี่เฟยแล้ว เรื่องนี้มอบหมายให้เขาเป็นคนทำเถอะ”
พอโจวหงได้ยินอย่างนั้น สีหน้าของเขาก็เกร็งไปแปบหนึ่ง เพราะเขาไม่รู้มาก่อนว่าโจวหลินได้ย้ายข้างไปอยู่กับไป๋ยี่เฟยแล้ว จิตสังหารแวบหนึ่งปรากฏขึ้นในแววตาของเขา
แต่เขาก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้ในทันที แล้วตอบเบาๆ ว่า “ครับ”
หลังพูดจบ เขาก็กลับไปที่รถของตัวเอง แล้วจากไป
จากนั้น โจวหงก็โทรหาโจวหลิน
“ครับ? คุณอา”
“ไปรอฉันที่โรงแรมหมิงไท่”
โรงแรมหมิงไท่เป็นโรงแรมในเครือของตระกูลโจว
สิบกว่านาทีหลังจากนั้น โจวหงก็เห็นโจวหลินรออยู่ที่สวนด้านหลังของโรงแรม
เมื่อโจวหลินเห็นโจวหงมาถึง เขาก็รีบถามไปว่า “คุณอามีอะไรให้ผมไปทำเหรอครับ?”
โจวหงไม่ได้ตอบคำถามของโจวหลิน เขาแค่มองไปยังลูกน้องที่อยู่ด้านหลัง ลูกน้องคนนั้นก็โยนโจวฉวี่เอ๋อที่อยู่หลังรถออกมา
พอโจวหลินเห็นโจวฉวี่เอ๋อเขาก็อึ้งไปเลย
“พวกแกเป็นใคร? คิดจะทำอะไร?” พอโจวฉวี่เอ๋อออกมาก็ตะคอกใส่ทันที
โจวหงเดินเข้าไปแกะเชือกให้โจวฉวี่เอ๋อด้วยตัวเอง
พร้อมกับพูดด้วยความเป็นมิตรว่า “ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ครับ ความสามารถของผมมีจำกัด จึงช่วยได้แค่คุณเท่านั้นส่วนคุณหลี่นั้น ผมก็จนปัญญาแล้วจริงๆ ครับ”
พอโจวฉวี่เอ๋อได้ยินอย่างนั้น เธอก็รู้สึกสับสนมาก เรื่องนี้มันกลับทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร่ ว่าคนพวกนี้มันเป็นคนดีหรือคนชั่วกันแน่ เธอจึงเลือกที่จะเงียบไป
แต่โจวหลินกลับตื่นตกใจ เหมือนทายอะไรบางอย่างได้
และเป็นไปตามคาด หลังจากที่โจวหงแกะเชือกให้โจวฉวี่เอ๋อเสร็จ เขาก็หันมาพูดกับโจวหลินว่า “เสี่ยวหลิน ขอเข้าประเด็นเลยแล้วกัน ฉันรู้ว่าตอนนี้แกกลายเป็นคนของไป๋ยี่เฟยไปแล้ว”
“ไปว่าอะไรทำให้แกเปลี่ยนใจไปอยู่ฝั่งนั้นก็ตาม แต่ฉันขอแค่แกอย่าหันมาโกรธเกลียดตระกูลโจวของเราก็พอ”
“ตระกูลโจวไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างไป๋ยี่เฟยกับเต้าจ่าง ดังนั้น แกจงไปบอกกับไป๋ยี่เฟยว่าสิ่งที่ตระกูลโจวของเราทำได้ก็มีเพียงเท่านี้”
โจวหลินสายตาอ่อนล้า ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
เรานึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องที่ตัวเองย้ายข้างไปอยู่กับไป๋ยี่เฟยนั้นจะถูกตระกูลโจวรู้ได้เร็วขนาดนี้
เขารู้ดีว่าโจวหงเป็นคนยังไง ดังนั้นโจวหลินจึงรู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างมาก
เขาหันหลังให้ตระกูลโจวแล้วไปเข้าร่วมกับไป๋ยี่เฟย เขาทรยศตระกูลโจว สำหรับเจ้าบ้านแล้ว นี่คือเส้นตามยที่ห้ามเหยียบย่ำเด็ดขาด
แต่เขาก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ดี เพราะโจวหงไม่เพียงไม่โทษเขา แต่ยังเปิดโอกาสให้เขาได้ทำให้ไป๋ยี่เฟยเชื่อใจตัวเองขึ้นไปอีก
“คุณโจวก็ปล่อยให้แกจัดการแล้วกัน” โจวหงมองมาที่โจวหลิน “ยังไงก็ต้องพาเธอไปส่งอย่างปลอดภัยให้ได้”
“เข้าใจแล้วครับ อา” โจวหลินพยักหน้า
……
เมืองหลวงในเวลาเดียวกัน ทุกคนที่ตามหาเบาะแสนั้นต่างก็ได้ข้อมูลที่เหมือนกันมาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ก่อนที่หลี่เสว่จะหายตัวไปนั้น เธอได้เดินทางไปหาคนๆ หนึ่ง ซึ่งคนๆ นั่นก็คือเฉินลี่
แต่เฉินลี่ได้ถูกคนฆ่าหั่นศพไปหลายวันแล้ว และศพก็ถูกซ่อนอยู่ในตู้เย็น
พอไป๋หยุนเผิงเล่าเรื่องนี้ให้ไป๋ยี่เฟยฟัง ในตอนนั้นไป๋ยี่เฟยก็ไม่สนใจอะไรแล้วตะคอกออกมาทันที “แม่งข้อมูลขาดหายไปอีกแล้วเหรอ? ตระกูลไป๋ของพวกคุณนี่ทำอะไรกันอยู่เนี่ย? แค่ตามหาคนๆ เดียวยังทำไม่ได้เลยรึไง?”
พอไป๋หยุนเผิงได้ยินคำว่า ‘ตระกูลไป๋ของพวกคุณ’ เขาก็เงียบไปแปบหนึ่ง
จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ต่อให้ต้องพลิกเมืองหลวงทั้งเมืองขึ้นมาหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ยังไงเราก็ต้องหาเจอแน่นอน”
พอพูดจบเขาก็วางสายไปเลย
ไป๋ยี่เฟยถึงกับอึ้งไปเลย
เพราะคำว่าไม่ว่าจะเป็นหรือตาย
เขาไม่เคยคิดว่าหลี่เสว่จะตายมาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกงงมาก
ชั่วขณะหนึ่ง ภาพที่ต่างๆ ที่หลี่เสว่ถูกคนฆ่าตายก็แล่นเข้ามาในหัวของไป๋ยี่เฟย จนเขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจจนทนแทบไม่ไหว
ซาเฟยหยางกับจางหัวปินนั้นมากับไป๋ยี่เฟยด้วย พอเห็นอย่างนั้น จางหัวปินก็เจ้ามาตบไหล่ของเขา แล้วพูดปลอบใจว่า “อย่าเพิ่งคิดมากเลย น้องสะใภ้จะต้องปลอดภัยอยู่แล้ว”
ทันใดนั้น มือถือของไป๋ยี่เฟยก็ดังขึ้น ซึ่งคนที่โทรมาก็คือโจวหลิน
“คุณครับ ผมรู้แล้วว่าเธออยู่ที่ไหน?”
……
วิลล่าสุดหรูตรงชานเมือง
สิบอันดับยักษ์ใหญ่นั้นมีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันอยู่ รวมๆ แล้วบอดี้การ์ดที่คอยเฝ้าหสี่เสว่นั้นมีอยู่ประมาณสามสิบคน
พวกเขากำลังยืนเฝ้าอยู่หน้าวิลล่า แต่ด้วยความเบื่อ พวกเขาจึงมาออกันเป็นกลุ่มเล่นโซเชี่ยลไปคุยกันไป
“เชี่ย! พวกนายรีบดูข่าวในเน็ตสิ!”
“เมืองหลวงกำลังวุ่นวายหนักมาก! หลายๆ ที่ก็ถูกสี่ตระกูลใหญ่พังไปเรียบร้อยแล้ว”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
“ฉันว่ามันอาจจะเกี่ยวกับพวกเราก็ได้”
ไม่หรอกมั้ง? ต่อให้เป็นแบบนั้น แต่ที่ๆ เราอยู่ก็ค่อนข้างลับ แม้พวกนั้นจะพลิกเมืองหาก็ไม่มีทางหาเราเจอหรอก”
“ใช่จริงด้วย”
“ถึงพวกนั้นจะหาเราเจอ แต่เรามียอดฝีมืออยู่รวมกันเยอะขนาดนี้ แล้วเราจะไปกลัวพวกนั้นทำไม?”
“ก็ต้องไม่กลัวอยู่แล้วสิ เศรษฐีพวกนั้นก็เก่งแค่หาเงินเท่านั้นแหละ ส่วนเรื่องใช้กำลังยังไงก็ต้องพึ่งมืออาชีพอย่างพวกเราจัดการอยู่ดี”
พวกบอดี้การ์ดพากันได้ใจกันใหญ่
พูดไปพูดมา พวกเขาก็หันมาพูดถึงหลี่เสว่กัน
“จะว่าไป ผู้หญิงคนนั้นนี่สวยเป็นบ้าเลย!”
“ถึงสวยแค่ไหนก็ไม่ใช่ของนายอยู่ดี อย่าฝันไปเลย ไม่แน่ผู้หญิงคนนั้นอาจจะกำลังครางอยู่บนตัวของเจ้าบ้านตระกูลหูแล้วก็ได้!”
“ฮ่าฮ่า……”
“ถ้าคนนี้ไม่มีสิทธิ์ อีกคนก็น่าจะได้อยู่นะ”
“น่าเสียดายจังที่เธอถูกตระกูลโจวเอาไปซะแล้ว”
“นี่พวกนาย ฉันของไปซื้อเบียร์หน่อยนะ พวกนายช่วยเฝ้าแทนฉันแปบหนึ่งนะ”
พูดจบ บอดี้การ์ดคนนั้นก็ออกจากวิลล่าไป
ไม่ไกลจากตรงนั้นมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่
หลังจากที่บอดี้การ์ดคนนั้นไปแล้ว บอดี้การ์ดอีกคนก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ซื้อเบียร์บ้าบออะไร? จะไปหาผู้หญิงมาระบายละสิไม่ว่า!