ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วอยู่ มองรอบๆห้องนอน จากนั้นเขาก็พบเห็นจุดที่ไม่ปกติแล้ว
“เสี่ยวอิงล่ะ?” ไป๋ยี่เฟยถาม
หลิวเสี่ยวอิงเป็นหมอนะ อยู่ดีๆเขาล้มสลบไป คนที่สมควรอยู่ที่นี่ที่สุดก็คือหลิวเสี่ยวอิง แต่ตอนนี้หลิวเสี่ยวอิงไม่อยู่
สายตาทั้งสามคนหลบหลีก ก็ไม่มองไป๋ยี่เฟย
จากนั้นอยู่ดีๆจื่ออียิ้มพูดว่า “เมื่อกี้ฉินหัวจับปูได้หลายตัว คืนนี้สามารถเปลี่ยนรสชาติได้บ้างแล้ว”
หลังจากฉินหัวมีปฏิกิริยาขึ้นมา พยักหน้าทันที “ใช่ จับได้ทั้งหมดห้าตัว”
จื่ออีถามอีกว่า “ปูจะนึ่งดี? หรือว่าผัดไฟแรงดีล่ะ?”
ไป๋ยี่เฟยรู้ว่าพวกเขาตั้งใจเปลี่ยนประเด็นสนทนา ใจหนักอึ้งขึ้นมา ในเวลาเดียวกันยังมีลางสังหรที่ไม่ดีอย่างหนึ่ง
ไป๋ยี่เฟยจ้องมองไปยังซาเฟยหยาง
เพราะว่าไป๋ยี่เฟยรู้ว่าซาเฟยหยางจะไม่พูดโกหก
ซาเฟยหยางไม่พูดโกหกจริงๆ แต่ว่าในครั้งนี้ เขาแกล้งทำไม่เห็นเสียเลย ยอมที่จะไม่พูด
ไป๋ยี่เฟยตะลึงตาค้างเลย
จากนั้นร้อนใจถามว่า “ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เห็นสภาพ ในห้องนอนเงียบไปสักพัก จื่ออีจนใจถอนหายใจหนึ่งที พูดว่า “ร่างกายของคุณในตอนนี้อ่อนแอมาก จะต้องพักฟื้นให้ดีๆ สำหรับว่าเกิดอะไรขึ้น รอให้ร่างกายคุณพักฟื้นดีๆแล้วค่อยว่ากัน”
“บอกกับผมในตอนนี้” ไป๋ยี่เฟยใบหน้าขึงลับพูดอยู่
ฉินหัวปลอบโยนเขาทันทีพูดว่า “อย่าคิดมากขนาดนั้น วางใจพักฟื้นร่างกายก่อน”
คิดมากขนาดนั้นหรือ?
เขาคิดมากแล้วหรือ?
เพียงแค่จะถามสักหน่อยว่าหลิวเสี่ยวอิงทำไมไม่อยู่เท่านั้น
ไป๋ยี่เฟยร้อนใจจ้องมองพวกเขา โดยจิตใต้สำนึกน้ำเสียงยกระดับสูงขึ้นมาก “แม้แต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นผมล้วนไม่รู้ ก็ให้ผมอย่าคิดมากขนาดนั้นหรือ?”
“ผมเพียงแค่อยากจะรู้ว่าหลิวเสี่ยวอิงล่ะ? เธอเป็นยังไงแล้วหรือ? ไปไหนแล้วล่ะ?”
จ้องมองจื่ออีกับฉินหัว ซาเฟยหยางจนใจพูดว่า “ก็พูดเลยดีกว่ามั้ง ปิดบังไม่นานล่ะ”
แต่ว่าฉินหัวมีความกังวลเล็กน้อยพูดว่า “ร่างกายเขาอ่อนแอเกินไปแล้ว แม้แต่สู้คนทั่วไปก็ไม่ได้”
“พูดเถอะ ช้าเร็วก็ต้องรู้” จื่ออีก็คิดอย่างปล่อยวางแล้วเช่นกัน ดังนั้นพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก
จากนั้นจื่ออีถอนหายใจอีกหนึ่งที เสียงเข้มพูดว่า “เสี่ยวอิงไม่เป็นไร ไม่มีอันตรายแก่ชีวิตเป็นเวลาชั่วคราว สำหรับว่าเกิดอะไรขึ้น คุณคงยังต้องถามเธอด้วยตนเองล่ะ”
ไป๋ยี่เฟยถามทันทีว่า “เธออยู่ที่ไหนหรือ?”
ทั้งสามคนส่ายหัวพร้อมกัน
จากนั้นจื่ออีจนใจพูดอีกว่า “หลังจากคุณล้มสลบไป เธอก็ออกไปเลย จากนั้นนายซาไปหาแล้ว แต่ว่าหาไม่เจอ”
ซาเฟยหยางพูดทันทีว่า “เธอน่าจะยังอยู่หลันเต่า เรือไม่ได้ขยับ”
ไป๋ยี่เฟยนิ่งอึ้งไปเลย
เป็นอย่างนี้ได้ยังไงล่ะ?
ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หลิวเสี่ยวอิงทำไมต้องออกไป ยังไม่ให้พวกเขาหาเจอด้วยล่ะ?
ระหว่างนี้ อยู่ดีๆไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกว่าในใจทรมานมาก กลับไม่รู้อีกว่าทำไม เพราะว่าเขาล้วนจำอะไรไม่ได้แล้ว
ไป๋ยี่เฟยบ่นพึมพำพูดว่า “ดังนั้น ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลิวเสี่ยวอิงไม่มีอันตรายต่อชีวิตเป็นเวลาชั่วคราว ไป๋ยี่เฟยยังคงโล่งอกเล็กน้อยหนึ่งที จากนั้นถามอีกว่า “ผมล้มสลบไปนานขนาดไหนแล้วหรือ?”
“สามวันแล้ว” ฉินหัวพูด
ไป๋ยี่เฟยอยากจะไปหาหลิวเสี่ยวอิง ดังนั้นดิ้นรนอยากจะลงจากเตียง “ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจะไปหาเธอถามให้ชัดเจน”
หลังจากพูดจบ เขาใช้สุดพลังทั้งตัวลงจากเตียงเดินไปยังข้างนอก ก็ไม่สนใจไยดีการขัดขวางของพวกเขาทั้งสาม
ฉินหัวร้อนใจอย่างมาก ก็เป็นห่วงมากเช่นกัน เข้าไปข้างหน้าหลายก้าว ขวางอยู่ข้างหน้าไป๋ยี่เฟยร้องตะโกนพูดว่า “ไป๋ยี่เฟยตอนนี้คุณเป็นแบบนี้อันตรายมาก คุณรู้ไหม?”
ไป๋ยี่เฟยเงยหน้าจ้องมองฉินหัวเงียบไปสักพัก จากนั้นเอาจริงเอาจังพูดว่า “แม้ว่าผมจำไม่ได้แล้ว แต่ผมรู้ว่า ย่อมเกี่ยวข้องกับผมอย่างแน่นอน ผมจำเป็นต้องถามให้ชัดเจน มิฉะนั้นใจของผมอยากที่จะสงบ”
เห็นแบบนี้ จื่ออีเดินเข้าไป สีหน้าหนักอึ้งพูดว่า “ไป๋ยี่เฟย คุณรู้หรือไม่ ตอนนี้คุณสูญเสียการควบคุมแล้ว นี่สำคัญกว่าใจคุณสงบไม่สงบล่ะ!”
สูญเสียการควบคุมหรือ?
ไป๋ยี่เฟยอึ้งชะงักหนึ่งที “หมายความว่าอะไรหรือ?”
ซาเฟยหยางก็เดินเข้ามาเช่นกัน “ก่อนที่จะไปหาหลิวเสี่ยวอิง คุณก็ไม่อยากรู้หรือว่าตนเองทำไมล้มสลบไปล่ะ? แล้วทำไมจำเรื่องที่ก่อนจะล้มสลบไปไม่ได้ล่ะ?”
ไป๋ยี่เฟยนิ่งอึ้งไปอีกแล้ว
โดยจิตใต้สำนึกเขาระลึกถึงภาพในเวลานั้น
ดูเหมือนเขามองเห็นใบหน้าเล็กๆที่ทั้งซีดขาวทั้งหมดหนทาง ดูเหมือนยังเห็นใบหน้าที่เหมือนดั่งปีศาจตนหนึ่งจ้องเขม็งเธออยู่
เขาอยากจะระลึกถึงใบหน้าใบนั้นว่าเป็นลักษณะแบบไหนอย่างละเอียด แต่ว่าคิดไปคิดมาอยู่ดีๆขมับเจ็บปวดขึ้นมาแล้ว เจ็บปวดจนเขาดูเหมือนเกือบจะล้มสลบไปอีกแล้ว
ไป๋ยี่เฟยกุมศีรษะไว้นั่งยองๆกับพื้นโดยตรง
จื่ออีพูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “คุณแปรสภาพแล้ว”
“อีกทั้งหลังจากแปรสภาพ พลังความสามารถเหนือกว่านายซาแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยประหลาดใจเงยหน้าขึ้น
ต้องรู้ว่า ซาเฟยหยางเป็นยอดฝีมือระดับที่สองชั้นสูงคนหนึ่งนะ เขากลับเหนือกว่าซาเฟยหยางแล้ว!
ไป๋ยี่เฟยมีความยากที่จะเชื่อเล็กน้อย
ในเวลานี้ อยู่ดีๆฉินหัวหยิบกระจกอันเล็กๆออกมาอันหนึ่ง ส่งให้กับไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยยื่นมือรับไป มองเห็นตนเองที่อยู่ในกระจก เส้นผมขาวไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยิ่งขาวมากกว่าแต่ก่อน
ไป๋ยี่เฟยอึ้งชะงักจ้องมองตนเองที่อยู่ในกระจก
จื่ออีสูดลมหายใจลึกๆหนึ่งที พูดว่า “สิ่งที่พวกเราสอนคุณในสองเดือนนี้ อยู่ที่หลังจากคุณแปรสภาพล้วนดูดซึมแล้ว อีกทั้งเกิดความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งหมด”
“แต่ว่ามีจุดหนึ่ง ทำให้ผมประหลาดใจมาก ก็คือพรสวรรค์ที่หลังจากคุณแปรสภาพ”
“การแปรสภาพเหมือนอย่างคุณแบบนี้ พวกเราไม่ใช่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะว่าตระกูลไป๋มีตัวอย่างแบบนี้มาก่อน แต่ว่าพวกเขาแปรสภาพ คือสามารถรักษาสติไว้เล็กน้อย อีกทั้งพวกเขารู้สึกถึงว่าเป็นแบบนี้จะทำให้ร่างกายเสียหาย ดังนั้นคิดวิธีมากดอัดการแปรสภาพแบบนี้”
“อยู่ที่พวกเราดูแล้ว นี่เป็นโรคกรรมพันธุ์ประจำตระกูลอย่างหนึ่ง ตอนแรกพวกเขาก็คิดว่าเป็นอย่างนี้เช่นกัน”
“อีกทั้ง ก่อนที่จะมาไป๋หยุนเผิงก็สั่งเสียผมเป็นพิเศษมาก่อน ให้ผมจับตาดูคุณมากหน่อย”
“แต่ว่าผมล้วนนึกไม่ถึง ครั้งนี้คุณไม่ใช่เนื่องเพราะโกรธแค้นแปรสภาพเลย นี่ทำให้ผมยากที่จะเข้าใจ”
ไป๋ยี่เฟยมึนงงเต็มใบหน้า
ก่อนหน้านั้นเขาเคยเป็นสภาพแบบนี้มาก่อนจริงๆ แต่ดูเหมือนไม่ได้ร้ายแรงเกินไป อีกทั้งพลังที่ระเบิดออกมาก็ทำให้เขาทั้งตื่นตกใจและดีใจมาก ดังนั้นล้วนไม่ได้ใส่ใจ
แต่ว่า ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
เนื่องเพราะจำนวนครั้งที่เขาแปรสภาพมากขึ้นแล้ว ดังนั้นเขาค่อยๆสูญเสียสติไปเลย
ถ้าหากว่าไป๋ยี่เฟยรู้ตั้งแต่แรกว่าจะสูญเสียสติแบบนี้ ทำร้ายเพื่อนของตนเอง เขาก็จะไม่เลือกเส้นทางนี้เลยสักนิด
จื่ออีเห็นสายตาที่ซึมเศร้าของไป๋ยี่เฟย พูดทันทีว่า “คุณก็ไม่ต้องเป็นห่วงเกินไป จะมีวิธีที่ดีกว่าสามารถควบคุมได้”
“ผมโทรหาไป๋หยุนเผิงมาแล้ว ที่นั่นเขามียาที่สามารถควบคุม สภาวะของคุณ”
จากนั้นจื่ออีพูดกับซาเฟยหยางว่า “ได้แต่รบกวนนายซาไปสักรอบแล้ว ไปเมืองหลวงเอายาแบบนี้กลับมา”
ซาเฟยหยางพยักหน้าต่อๆกัน แสดงให้เห็นว่ารับปาก
จื่ออีจ้องมองไป๋ยี่เฟยอีก พูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “เหลียงเหว่ยชาวกับเต้าจ่างยังอยู่ในหลันเต่า ภารกิจที่สำคัญที่สุดของเราในตอนนี้คือเฝ้ารักษาคลังเก็บทองแห่งนี้เหมือนเดิม”
พลังความสามารถของจื่ออีแม้ว่าเหนือชั้น แต่ก็ต้านศัตรูมากไม่ไหวเช่นกัน
ถ้าหากว่าเพียงแค่เต้าจ่างหรือว่าเหลียงเหว่ยชาวพวกเขามาแค่คนใดคนหนึ่ง จื่ออีย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน แต่ว่าถ้าพวกเขามาพร้อมกัน ยังพาผู้ช่วยคนอื่นๆมาด้วยล่ะก็ ในใจจื่ออีไม่มั่นใจเลย
โชคดียังมีฉินหัวอีกคนหนึ่ง สามารถตรึงเต้าจ่างเอาไว้
แต่ว่าไป๋ยี่เฟยอยากจะไปหาหลิวเสี่ยวอิง นี่เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าหากยังหาหลิวเสี่ยวอิงไม่เจอ กลับพบเจอกับพวกเต้าจ่าง จะไม่ใช่ไปหาความตายหรือ?
แต่ถ้าหากว่าให้ฉินหัวหรือจื่ออีตามไป๋ยี่เฟยไป คลังเก็บทองฝั่งนี้ก็ไม่มีการปกป้องรักษาที่ยิ่งดีแล้ว
ดังนั้นจื่ออีกับฉินหัวจึงไม่อยากให้ไป๋ยี่เฟยไปหาหลิวเสี่ยวอิง
ไป๋ยี่เฟยก็เข้าใจเหตุผลในนั้นเช่นกัน รู้ว่าเห็นแก่ส่วนรวมสำคัญกว่า ดังนั้นเขาพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก