หลังไป๋ยี่เฟยเงียบอยู่พักหนึ่งถึงถามว่า “คุณตามผมมาทำไม?”
ชายคนนั้นหัวเราะฮึๆ “นี่ไม่ใช่ทางผ่านหรอกเหรอ?”
“คุณคิดเหรอว่าผมจะเชื่อ?” ไป๋ยี่เฟยถามอย่างอึ้งๆ
ชายคนนั้นเห็นสีหน้าท่าทางของไป๋ยี่เฟย ก็หัวเราะอย่างเก้อเขินแล้วกล่าวว่า “ดูท่าทางจะไม่เชื่อ”
ไป๋ยี่เฟยจนคำพูดไปพักหนึ่งอีกครั้ง จากนั้นก็ถามว่า “คุณชื่ออะไร?”
“เหลียนยิน” ชายคนนั้นตอบ
ไป๋ยี่เฟยประหลาดใจเล็กน้อย “เหลียนอิน?” (เหลียนอินที่แปลว่าเกี่ยวดอง พ้องเสียงกับเหลียนยิน)
“ไม่ใช่” ชายคนนั้นโบกมือยิ้มๆ พลางพูดว่า “เหลียนที่แปลว่าต่อเนื่องกัน ยินที่แปลว่าดนตรี”
“อ้อ” ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า ชื่อนี้ช่างพิเศษจริงๆ ทว่า “พี่เหลียนยินท่านนี้ บอกผมหน่อยได้ไหมว่าที่ตามผมมาต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
เหลียนยินจึงตอบยิ้มๆ ว่า “ผมรับปากผู้หญิงคนหนึ่งไว้ ต้องการคุ้มครองคุณ”
“ใคร?” ไป๋ยี่เฟยพลันระวังตัวขึ้นมา “คุณรู้ไหมว่าเธอเป็นใคร?”
เหลียนยินส่ายหน้าพลางพูดว่า “ไม่รู้”
ไป๋ยี่เฟยพลันอับจนคำพูด “คุณไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ยังจะรับปากช่วยเธอคุ้มครองผมอีก?”
เหลียนยินจึงตอบว่า “เจ้าสำนักของสำนักเราหายตัวไป ผมช่วยเธอคุ้มครองคุณ เธอจะช่วยผมตามหาที่อยู่ของเจ้าสำนัก”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ก็ประหลาดใจอย่างมาก
ชายตรงหน้าคนนี้ดูซื่อตรงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมก็จริงอยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะซื่อตรงถึงขนาดนี้ แถมยังดูเรียบง่ายอีกด้วย
เจ้าสำนักของพวกเขาคิดว่าคงจะเป็นเมิ่งหลิน แต่เมิ่งหลินตายก็ตายไปแล้ว นี่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหยุนอิงกำลังหลอกเขาอยู่ เขาก็ยังจะเชื่อ!
ไป๋ยี่เฟยมองเขาพลางถามว่า “คุณเชื่อเธอ? หากเธอกำลังหลอกคุณอยู่ล่ะ?”
เหลียนยินส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีทาง เป็นเป็นคนจริงใจมาก”
ไป๋ยี่เฟย “……”
เขาถูกคนคนนี้ทำให้ตกใจเสียแล้ว เขาเชื่อใจคนโดยที่มองคนว่าจริงใจหรือไม่ แถมยังดูจากใบหน้าก็คิดว่าเขาจริงใจไม่จริงใจ
ที่สำคัญที่สุดคือ หน้าที่เขาเห็นคือหน้าของหลี่เสว่”
เวลานี้เอง เหลียนยินก็พูดขึ้นมาอย่างภูมิใจเหลือเกินว่า “อยู่ที่หนานเหมินของพวกเรา ไม่มีใครกล้าหลอกคนของสำนักเฟยซิง
ไป๋ยี่เฟยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกพลางกล่าวว่า “ใช่ ที่คุณพูดมามีเหตุผลอย่างมาก”
แต่ในใจคิดกลับกันคือ โชคดีที่เขาไม่รู้ว่าหยุนอิงเป็นใคร หากรู้ล่ะก็ คงจะไม่มีทางพูดอย่างภูมิใจเช่นนี้
แน่นอน ได้มีคนฝีมือเก่งกาจคนหนึ่งปกป้องตัวเองเช่นนี้ ไป๋ยี่เฟยก็นับว่าได้กำไรแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเปิดโปงหยุนอิง
หลังสองชั่วโมงครึ่ง พวกเขาก็มาถึงสนามบินของเมืองหลวง จากนั้นก็โบกรถแท็กซี่ไปตระกูลฉุงด้วยกัน
แต่ตอนที่พวกเขามาถึงคฤหาสน์ตระกูลฉุงและกำลังจะเข้าไปนั้น ก็ถูกบอดี้การ์ดหน้าประตูขวางไว้
ด้วยเหตุนี้ไป๋ยี่เฟยจึงหยิบแหวนที่ดูโบราณมากวงหนึ่งออกมา “รบกวนแจ้งให้หน่อย ท่านรองเห็นสิ่งนี้ก็จะรู้เองว่าฉันเป็นใคร”
บอดี้การ์ดมองไป๋ยี่เฟย แล้วก็มองเหลียนยินที่อยู่ข้างกายเขา แม้จะมีความสงสัยอยู่บ้าง แต่ยังคงหยิบแหวนแล้วนำไปแจ้ง
หลังผ่านไปสักพักประตูก็เปิดออก ฉุงโยวหมิงถือแหวนเดินออกมา
จากนั้นฉุงโยวหมิงก็มองเห็นไป๋ยี่เฟยกับเหลียนยิน จึงรีบยื่นมือมาจับกับไป๋ยี่เฟยแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ลำบากคุณแล้ว เชิญด้านใน”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว และไม่ได้พูดมากอีก เดินตามเขาเข้าไป
หลังมาถึงห้องโถงใหญ่ ฉุงโยวหมิงก็สั่งคนให้ยกชามา จากนั้นก็เชื้อเชิญพวกเขานั่งลง
หลังฉุงโยวหมิงนั่งลงก็ยิ้มถามว่า “ไม่ทราบว่าจะให้เรียกทั้งสองท่านว่าอย่างไร?”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้รู้จักนามสกุลของทางหนานเหมินนัก อย่างไรส่วนมากทางนี้ก็พบเห็นได้น้อยมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดออกมาโดยไม่ต้องคิดว่า “ชางหลง”
เหลียนยินไม่จำเป็นต้องปลอมตัว เขาจึงยิ้มตอบว่า “เหลียนยิน”
ฉุงโยวหมิงไม่ติดใจสงสัย กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณชายรองกับคุณชายใหญ่ช่างซื่อสัตย์ต่อความสัมพันธ์จริงๆ คุณชายใหญ่แต่งงาน คุณชายรองยังตั้งใจส่งคนมาคุ้มกันเป็นพิเศษ”
คุณชายใหญ่ก็คือจีซือ คุณชายรองย่อมจะเป็นจีอิง และก็คือหยุนอิงนั่นเอง เพียงแต่แทบจะไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง
ฉุงโยวหมิงยิ้มกล่าวอีกว่า “รอจนน้องสาวผมแต่งเข้าไปแล้ว ต่อไปพวกเราก็คือครอบครัวเดียวกัน”
ไป๋ยี่เฟยมองรอยยิ้มของฉุงโยวหมิง และไม่รู้ว่าเพราะอะไร มักรู้สึกว่ามันไม่ปกติอยู่บ้าง เพียงแต่ภายนอกเขาไม่แสดงออกมา ยิ้มกล่าวว่า “แน่นอน”
และในเวลานี้เอง รอยยิ้มของฉุงโยวหมิงก็จางลงเล็กน้อย แล้วถามว่า “ขอถามทั้งสองท่านคำถามหนึ่งได้ไหม?”
“คุณชายฉุงเชิญถาม” ไป๋ยี่เฟยตอบเสียงเรียบ
ฉุงโยวหมิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ถามอย่างเต็มไปด้วยความประหลาดใจว่า “เหมือนคุณชางจะยังไม่ได้ถามเลยว่าผมเป็นใคร ทำไมถึงแน่ใจว่าผมคือคุณชายฉุงล่ะ?”
สิ้นคำพูด ในใจไป๋ยี่เฟยก็ตระหนกวาบ
โชคดีที่เขาฝึกฝนทักษะหน้าไม่เปลี่ยนสีมานาน ในสมองกลับคิดวิธีรับมืออย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ตอบด้วยท่าทางสงบนิ่งว่า “ก่อนมาย่อมจะเคยทำความเข้าใจตระกูลฉุงมาแล้วครั้งหนึ่ง”
ได้ยินเช่นนี้ ฉุงโยวหมิงก็ฉีกยิ้มอีกครั้ง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ ผมล่วงเกินแล้ว หวังว่าคุณสองคนจะให้อภัย”
“แล้วก็ยังมี พิธีแต่งงานพรุ่งนี้นั่งเครื่องบินจะเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม แต่เหมือนคุณชายใหญ่อยากจะไปทางน้ำมากกว่า ผมขอบังอาจถามหน่อยว่าเป็นเพราะอะไรเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยเพียงตอบเสียงเรียบว่า “คุณชายใหญ่มีแผนของคุณชายใหญ่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราควรถามมาก”
“ใช่ๆๆ ผมก็แค่ประหลาดใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ฉุงโยวหมิงตอบพลางหัวเราะแห้งๆ สองเสียง
พอดีกับที่เวลานี้ คนรับใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามา กระซิบอะไรสักอย่างที่ข้างหูฉุงโยวหมิง ฉุงโยวหมิงสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที
จากนั้นเขาก็กล่าวกับคนรับใช้อีกว่า “ขังคนไว้ก่อน แล้วแต่นายจะจัดการ”
“ขอบคุณคุณชายมาก!” คนรับใช้คนนั้นเผยรอยยิ้มออกมา ดูยังไงยังไงก็อัปลักษณ์ จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรีบร้อน
แม้ไป๋ยี่เฟยกับฉุงโยวหมิงจะอยู่ห่างจากกันช่วงหนึ่ง แต่ประสาทหูของไป๋ยี่เฟยดีมาก เขายังคงได้ยินชื่อหนึ่ง
“คุณหนูใหญ่”
และคนที่ถูกคนรับใช้เรียกว่าคุณหนูใหญ่ นอกจากฉุงลี่ซือแล้ว ก็คือฉุงลี่หย่า
ฉุงลี่ซือกำลังจะเป็นเจ้าสาวแล้ว ไม่น่าจะใช่เธอ อย่างนั้นก็มีเพียงคนเดียวที่น่าจะเป็นไปได้
ฉุงลี่หย่า!
พวกเขาสนทนาอยู่ในห้องรับแขกกันอีกพักหนึ่ง ฉุงโยวหมิงก็จัดหาห้องพักแขกให้พวกเขา
โดยในขั้นตอนทั้งหมด ไป๋ยี่เฟยไม่เห็นฉุงเฉ่าซินเลย และไม่เห็นฟางหยันกับฉุงลี่ซือเช่นกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ล้วนเผยความผิดปกติออกมา
หลังไป๋ยี่เฟยพักอยู่ในห้องพักแขกกว่าครึ่งชั่วโมง ก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วย่องออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ
เขารู้ว่าที่นี่มีกล้องวงจรปิด ดังนั้นก่อนจะออกจากห้องจึงโทรหาจางหัวปิน โดยส่งสัญญาณให้เขา ให้จางหัวปินอำพรางกล้องวงจรปิด
หากไม่มีกล้องวงจรปิดแล้ว ด้วยฝีมือของไป๋ยี่เฟยหากคิดจะไม่ให้ถูกคนพบเข้าในสถานที่อย่างตระกูลฉุงก็เป็นเรื่องง่ายดาย
คฤหาสน์ตระกูลฉุงเองก็เป็นแบบทาวน์เฮ้าส์ คฤหาสน์สามหลังเรียงเป็นหน้ากระดาน คฤหาสน์แต่ละหลังใหญ่โตมาก โดยแต่ละหลังจะแบ่งเป็นชั้นบนสามชั้นชั้นใต้ดินสองชั้น
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า หลังนี้ที่ตนพักอยู่จะใช้สำหรับรับแขกโดยเฉพาะ
ไป๋ยี่เฟยคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร จึงตรงเข้าไปในคฤหาสน์หลังนั้นของเจ้าตระกูลเสียเลย
คฤหาสน์หลังนี้ของเจ้าตระกูลทั่วทุกแห่งล้วนตกแต่งไปด้วยลูกโป่งหลากสี ทั้งยังแขวนอักษรมงคลสีแดงตัวใหญ่ นอกจากบอดี้การ์ดแล้ว ยังมีแขกบางส่วนเดินไปเดินมา
ไป๋ยี่เฟยมาหยุดตรงระเบียงชั้นสาม ได้ยินเพียงเสียงพูดคุยหัวเราะของผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง จึงเดินลงไปต่อ
ตอนที่มาถึงชั้นสองก็มาหยุดที่ห้องของฉุงเฉ่าซิน ประตูปิดไว้ เขาเข้าไปฟังดูก็ไม่มีเสียง
และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากบันได ไป๋ยี่เฟยไม่กล้าหยุดรออีก จึงลงไปยังชั้นล่างต่อ
ตอนมาหยุดยังชั้นหนึ่ง ไป๋ยี่เฟยก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เพราะความปลอดภัยของที่นี่มากกว่าข้างนอกถึงหนึ่งเท่า
ที่ชั้นหนึ่งไม่ใช่ห้องใต้ดินอะไร แต่เป็นสระว่ายน้ำแห่งหนึ่ง รอบๆ สระว่ายน้ำยังมีห้องอีกสองสามห้อง และหน้าห้องแต่ละห้องก็มีคนคอยคุ้มกันอยู่
หลังไป๋ยี่เฟยสังเกตการณ์อยู่ในซอกประตูพักหนึ่ง ก็พบช่องลมบานหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงทำการดึงออกมาอย่างเงียบเชียบ
หลังบอดี้การ์ดสองคนที่คุ้มกันอยู่ได้ยินเสียง ก็รีบหันมาดูตรงทิศทางที่มีการเคลื่อนไหวทันที จากนั้นก็เดินมาอีกสองสามก้าวต้องการจะตรวจดู
ไป๋ยี่เฟยจึงฉวยโอกาสนี้ รีบเข้าไปในช่องลมอย่างรวดเร็ว
และตอนที่เขามองเข้าไปจากด้านในของช่องลม เขาก็ตกตะลึงทันที
ในห้องมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งถูกเชือกมัดไว้อยู่ พวกเขากำลังขดตัวอยู่ตรงมุมหนึ่ง
และไม่ไกลกันนักมีโต๊ะตัวหนึ่ง บอดี้การ์ดสามคนกำลังนั่งดื่มกินกันอยู่
เหตุผลที่ทำให้ไป๋ยี่เฟยแปลกใจคือ ชายหญิงคู่นี้ก็คือฉุงเฉ่าเจว๋และฉุงลี่หย่านั่นเอง
ตอนนั้นหลังจากที่หลันเต่ากับคนหนานเหมินพักรบกัน ฉุงลี่หย่าก็บอกลาฉางเชี่ยว กลับมายังเมืองหลวง