เป็นไปตามที่คิด คนดังกล่าวที่สวมใส่เสื้อคลุมถอดหมวกออก เคยเห็นใบหน้าที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ตินั้นของเธอ
เธอก็คือหยุนอิงนั่นเอง
หยุนอิงส่ายหน้าเบาๆ “แกทำให้ฉันรู้สึกตะลึงมากเลยนะ ฉันดูถูกแกเกินไป ฉันสงสัยมากว่านายรู้แผนการทั้งหมดของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
แผนการที่เธอหมายถึงคือการไล่ล่าจีซือ จากนั้นค่อยโยนความผิดทั้งหมดมาให้เขา
ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ฉันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแผนการของแกสมบูรณ์แบบมาก ตอนแรกเริ่มฉันยังไม่ได้สงสัย แต่เริ่มวิเคราะห์หลังจากที่พบว่าจีซือตายไป”
“การตายของจีซือดูง่ายเกินไป อีกอย่างตั้งแต่ที่ฉันเริ่มรู้จักกับแก พบว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบกายฉันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทุกอย่างเลย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เรื่องพวกนั้นมีความเกี่ยวโยงกับฉัน และขาดหายไปไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว”
“และเรื่องพวกนี้เพียงพอที่จะทำให้คนอื่นยิ่งมั่นใจว่าฉันมีเหตุผลมากพอที่จะฆ่าจีซือได้แล้ว”
เมื่อได้ยินทุกอย่างนี้แล้ว หยุนอิงหัวเราะเบาๆก่อนจะพูด “ใช่ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายไปแล้ว ถึงแม้แกไม่ตาย แต่เป้าหมายของฉันก็สำเร็จแล้ว”
“ส่วนตอนนี้แกไปตายได้แล้ว”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วลงอย่างกะทันหัน
ร่างกายของเขาไม่มีอาวุธแล้ว ดาบของเขาได้แตกสลายลงมาหลังจากที่เขาทำการต่อสู้กับอาหยาง และหยุนอิงในตอนนี้อยู่แค่ระดับครึ่งของแดนเทพยุทธ์ ตัวเองแข็งแกร่งกว่ามาก
อีกอย่างเขาลองย้อนนึกกลับไปอย่างละเอียดรอบนึง ณ ตอนนี้พวกยอดฝีมือทั้งหมดที่อยู่ในเมืองเทียนเป่ย ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ของหยุนอิงได้เลยแม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีความสามารถที่จะช่วยชีวิตตัวเองได้ด้วยซ้ำ
ตัวเองไม่สามารถหนีรอดออกไปได้จริงๆ
และในตอนนี้เองหยุนอิงกลับเอ่ยปากพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “แต่ฉันเคยตอบตกลงไว้กับคนๆหนึ่งว่าฉันจะไม่เปิดเผยการมีอยู่ของเขาให้คนอื่นรู้แม้แต่คนเดียว และจะไม่ฆ่าแกในเมืองเทียนเป่ยด้วยน้ำมือฉันเอง”
ไป๋ยี่เฟยเข้าใจขึ้นมาได้ภายในพริบตา คาดว่าคนคนนั้นคงเป็นซินชิวแล้วละ
แต่ไม่ว่าซินชิวจะพูดเรื่องอะไรกับหยุนอิงไปก็ตาม หยุนอิงก็ได้ทำการตอบตกลงไว้แล้วว่าจะไม่ฆ่าเขาด้วยมือเธอเอง แต่จากฝีมือและวิธีการของหยุนอิง การที่จะฆ่าตัวเองนั้น ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้
เป็นไปตามที่คิด หยุนอิงหัวเราะเบาๆก่อนจะพูดอีกว่า “ฉันแค่ตอบตกลงไว้ว่าฉันจะไม่ลงมือกับแก แต่ไม่ได้หมายความว่าเหล่าลูกน้องของฉันจะไม่ลงมือต่อแก”
ถัดจากนั้น คนคนหนึ่งที่ไป๋ยี่เฟยคุ้นเคยเดินออกมาจากกลุ่มคน
“ไป๋ยี่เฟย ไม่เจอกันนานเลยนะ” เหลียนยินยิ้มให้ไป๋ยี่เฟย
เมื่อเห็นหน้าเหลียนยิน ไป๋ยี่เฟยก็มีจิตใจอาฆาตเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน!
เขานึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนานเหมิน นึกถึงฉุงลี่ซือ นึกถึงการตายที่อนาถของเธอ
เรื่องทั้งหมดทั้งมวลก็เนื่องมาจากหยุนอิง และเหลียนยินก็ได้เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
สถานการณ์ในตอนนี้สำหรับไป๋ยี่เฟยเป็นสถานการณ์ที่ต้องตายสถานเดียว
แต่ไป๋ยี่เฟยไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามดวงตาของเขาค่อยๆแดงเถือกขึ้นมา ถลึงตาใส่เหลียนยินพร้อมกับความอาฆาต แล้วพูดว่า “ไม่ได้เจอกันนานจริงๆด้วย ฉันอยากให้แกตายมากจริงๆ!”
“บังเอิญจัง ฉันก็คิดถึงแกเหมือนกัน” เหลียนยินก้าวเดินขึ้นมาหนึ่งก้าว
ไป๋ยี่เฟยตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวกะทันหัน “ดีมาก วันนี้พวกเรามาชำระบัญชีทั้งหมดที่ติดค้างกันไว้ดีๆหน่อยละก็ ฉันจะฆ่าแกเอง!”
“แกมีความสามารถนั้นหรอ?” เหลียนยินพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเป็นอย่างมาก
เหลียนยินคือยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นสูง สูงกว่าไป๋ยี่เฟยหนึ่งขั้น อีกอย่างเขาเป็นคนในสำนักเฟยซิงอีกด้วย มีทักษะวิชาการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของสำนักเฟยซิง ทำให้ศักยภาพความสามารถของเขาอยู่สูงกว่าเล็กน้อย
“มีสิ!”
ไป๋ยี่เฟยตะคอกอย่าโกรธกริ้ว แต่กลับหันหลังแล้ววิ่งหนีทันที
ทำให้ทุกคนหน้าเหวอไปเลย
นี่มันทักษะอะไรกันเนี่ย?
เมื่อกี้ยังตะคอกอย่างโกรธอยู่เลยว่าจะฆ่าตัวเอง แต่สรุปกลับหันหลังแล้ววิ่งหนีแบบนี้เนี่ยนะ?
ทุกคนต่างผงะไปสักพัก เหลียนยินได้สติกลับคืนมาแล้วตะโกนเสียงดังลั่นทีนึง “ตามมันไป!”
จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งจึงพากันมุ่งหน้าวิ่งตรงไปในทิศทางที่ไป๋ยี่เฟยหลบหนี เหลียนยินก็ได้วิ่งตามหลังไปด้วยเช่นกัน
หยุนอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไป๋ยี่เฟยนั่นเจ้าเล่ห์เกินไป ระวังตัวกันด้วยนะ!”
ไป๋ยี่เฟยพุ่งตรงเข้าไปที่โรงจอดรถในชั้นใต้ดิน แต่ว่าเหมือนกับที่เขาได้คาดเดาเอาไว้ตั้งแต่แรก โรงจอดรถแห่งนี้ไม่มีรถจอดอยู่เลย
อีกอย่างเมื่อดูผ่านๆแล้วโรงจอดรถแห่งนี้ไม่ได้กว้างขวางมากแต่อย่างใด คาดว่าก็คงจอดรถได้แค่สิบกว่าคันเท่านั้นเอง
และกำแพงฝั่งนึงของโรงจอดรถมีประตูอยู่บานนึง
ไป๋ยี่เฟยวิ่งตรงเข้าไปหน้าประตูบานดังกล่าวอย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่ได้เปิดประตูแล้ววิ่งหนีออกไปแต่อย่างใด แต่เป็นการหันหน้ากลับไปเผชิญกับยอดฝีมือสิบกว่าคนนั้น
เหลียนยินไล่ตามขึ้นมา “ไป๋ยี่เฟย ที่นี่ไม่มีที่ให้แกหลบซ่อนแล้ว”
และบนใบหน้าของไป๋ยี่เฟยในตอนนี้ไม่มีความโกรธอยู่เลยแม้แต่น้อย มากไปกว่านั้นคือแม้แต่ความลุกลนก็ไม่มีเลยแม้แต่น้อย เขาให้ตอนนี้สงบนิ่งเป็นอย่างมาก “ฉันสงสัยมากว่าพวกแกไปเกี่ยวพันกับตระกูลหวังตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เหลียนยินหัวเราะพลางพูด “สถานการณ์ถึงขั้นนี้แล้ว หรือว่าแกยังคิดอยู่หรอว่าตัวเองจะสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้?”
“ฉันว่าแกยอมแพ้ซะเถอะ ถ้าทำแบบนี้อาจจะทรมานน้อยกว่า ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว รู้เรื่องพวกนั้นไปแล้วได้อะไร?”
ไป๋ยี่เฟยหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วพูดว่า “ตอนนี้ฉันอยากรู้มากๆว่า อาจารย์แกรู้หรือยังว่าแกได้เข้าร่วมสหพันธ์วรยุทธแล้ว?”
ทันทีที่พูดจบ สีหน้าของเหลียนยินก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ก่อนจะตะคอกอย่างโกรธกริ้ว “ลุยพร้อมกัน ฆ่ามันซะ!”
ยอดฝีมือทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังเขาพุ่งตรงเข้าไปหาไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยกลับหันหลังไปอย่างกะทันหัน แล้วกำหมัดชกใส่กำแพง
บนผนังนั้นคือกล่องหม้อแปลง ถูกเขาด้วยหมัดจนพังลงมา จากนั้นเผยให้เห็นสวิตช์ที่อยู่ด้านใน ซึ่งหม้อแปลงนี้ควบคุมกำลังไฟของทั้งอาคารและโรงจอดรถชั้นใต้ดินของโรงเรียนอนุบาล
“ตูม!”
ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ไฟทุกดวงของอาคารก็ดับไปหมด
นอกจากไป๋ยี่เฟยแล้ว สายตาของทุกคนต่างตกอยู่ในความมืดมน
และในสายตาคของไป๋ยี่เฟยยังคงเป็นช่วงเวลากลางวัน เขาสามารถมองเห็นแสงที่สาดส่องมาจากพระอาทิตย์ตรงบริเวณทางเข้าของโรงจอดรถได้ และแสงสว่างพวกนี้เพียงพอที่จะสามารถทำให้เขามองเห็นสิ่งของต่างๆที่อยู่รอบๆได้แล้วเช่นกัน
“ชิบหาย! มันปิดสวิตช์ไฟไปแล้ว!”
“เร็ว! รีบไปปิดกั้นทางออกไว้ อย่าปล่อยให้มันหนีออกไปได้เด็ดขาด!”
“รีบเปิดไฟฉายสิ!”
คนกลุ่มนึงแหกปากโวยวายเสียงดัง
ไป๋ยี่เฟยสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังจับโน่นจับนี่อย่างมั่วซั่ว เมื่อเห็นว่ามีคนหยิบโทรศัพท์ออกมากำลังจะกดเปิดไฟฉาย เขาจึงรีบพุ่งเข้าไปกำหมัดชกใส่หัวคนคนนั้นทันที
คนดังกล่าวถูกชกจนกระเด็นลอยออกไป และเข้าไปกระแทกกับยอดฝืมืออีกคนนึงที่อยู่ทางด้านหลัง
และคนพวกนี้สัมผัสไม่ได้เลยว่าไป๋ยี่เฟยกำลังยืนอยู่ข้างกายของพวกเขา พวกเขายังกำลังกวาดมือสำรวจไปมาอย่างมั่วซั่ว มากไปกว่านั้นยังมีคนคิดว่าเพื่อนร่วมทีมคือไป๋ยี่เฟย และเริ่มต่อสู้กัน
เหลียนยินรีบหักยอดฝีมือที่อยู่ข้างกายตัวเองออกไป เขาเดินตรงขึ้นไปหลายก้าว และเดินไปยืนอยู่ด้านหลังไป๋ยี่เฟย
ไม่เพียงเท่านี้ เขากำลังหันหลังให้ไป๋ยี่เฟย ภายใต้สถานการณ์ที่ไป๋ยี่เฟยกำลังกลั้นหายใจ เขาสังเกตุไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าไป๋ยี่เฟยกำลังยืนอยู่ด้านหลังของเขานี่เอง
เขาบอกว่า “ไป๋ยี่เฟย พวกเราไม่มีใครมองเห็นเลย ถ้าต้องต่อสู้กันจริงๆ การที่แกคนเดียวแล้วต้องจัดการคนที่เยอะขนาดนี้ของเรา ตัวแกเองก็ไม่สะดวก ใช่ไหมล่ะ?”
ถัดจากนั้น เขาจับตัวคนที่อยู่ข้างกายเขา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ไปหาหม้อแปลงไฟ!”
คนดังกล่าวพยักหน้าก่อนจะรีบมุ่งหน้าเดินเข้าไปในทิศทางของหม้อแปลง
ไป๋ยี่เฟยยืนอยู่ข้างๆพวกเขานี่เอง กำลังยืนฟังบทสนทนาของพวกเขาอย่างเงียบๆ
รอหลังจากที่เหลียนยินสั่งการเสร็จเรียบร้อยแล้ว และหันหลังให้ไป๋ยี่เฟยอีกครั้ง ก่อนที่ไป๋ยี่เฟยจะลงมือย่างไม่ลังเล
เขาใช้กำลังแรงและพลังอ้านจิ้งทั้งหมดของตัวเอง เล็งไปที่แผ่นหลังของเหลียนยินก่อนจะชกหมัดออกไปอย่างเต็มแรง
เหลียนยินในตอนนี้มองไม่เห็นไป๋ยี่เฟยเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างระยะห่างของพวกเขาประชิดกันมากอีกด้วย ใกล้มากจนถึงแม้เหลียนยินจะได้ยินเสียงการเคลื่อนที่ของลมก็คงหลบไม่ทันแล้ว เขาจะทำได้แค่ก้าวเดินขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
แต่แค่ก้าวนี้ก้าวเดียว ก็เพียงพอที่จะสามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้แล้ว
ถึงแม้ศักยภาพความสามารถของไป๋ยี่เฟยจะอยู่ในระดับหนึ่งชั้นกลาง เหลียนยินอยู่ในระดับหนึ่งชั้นสูง แต่กำลังแรงของยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นกลาง ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยอดฝืมือระดับหนึ่งชั้นสูงคนหนึ่งจะสามารถต้านทานได้เช่นกัน
นอกจากหยุนอิงแล้ว เธอเป็นคนที่ฝึกฝนร่างกายโดยเฉพาะ
“อรุก!”
เหลียนยินโดนชกทางด้านหลัง กระโจนล้มลงไปด้านหน้า และกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
ดังนั้นจึงทำให้ทุกคนยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด
ภายใต้สถานการณ์ที่หวาดกลัว เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง พวกเขาจึงเริ่มฆ่ากันเอง
และคนดังกล่าวที่ถูกสั่งให้ไปหาหม้อแปลงไฟ ก็ถูกไป๋ยี่เฟยชกหมัดใส่จนดับคาที่ไปเลย
เหลียนยินคลานอยู่บนพื้นพลางตะคอกอย่างโกรธกริ้ว ”มันแม่งมองเห็นได้ยังไงวะ?”