คนของสี่ตระกูลใหญ่นับว่าโล่งอกเสียที
ก็แม้แต่หลงหลิงหลิงก็แอบโล่งอกตามไปด้วย ยังดีไม่ได้เป็นเพราะเธอทำให้เรื่องเสีย
และเหตุผลที่ฉุงเฉ่าเจว๋ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ทั้งหมดก็เป็นเพราะการเจรจาต่อรองที่ไป๋ยี่เฟยพูดเอาไว้
คืนวันนั้น ไป๋ยี่เฟยนำกล่องเก็บเถ้ากระดูกของฉุงลี่ซือไปที่บ้านตระกูลฉุง แต่ไม่มีใครรู้ว่า ภายในกล่องเก็บเถ้ากระดูกยังมีปากกาบันทึกเสียงอยู่อีกด้ามหนึ่ง
บทสนทนาทั้งหมดในวันนั้นต่างก็ถูกปากกาบันทึกเสียงบันทึกเอาไว้
ไป๋ยี่เฟยนำบันทึกเสียงส่งมอบให้กับไป๋เซี่ยว ให้ไป๋เซี่ยวค่อยส่งมอบให้กับสมาพันธ์ธุรกิจ จากนั้นไป๋ยี่เฟยก็ให้ไป๋เซี่ยวนำเอกสารสำรองของบันทึกเสียงส่งให้กับสื่อใหญ่ต่างๆอีก
เวลาเพียงแค่เมื่อวานวันเดียว บันทึกเสียงส่วนนี้ก็ได้เผยแพร่ไปทั่วสื่อใหญ่ต่างๆในเมืองหลวงแล้ว
ภายใต้ความกดดันของมติประชาชน ทางการและสมาพันธ์ธุรกิจดำเนินการได้อย่างเด็ดขาดมาก
ดังนั้น มีการคุ้มกันจากไป๋เซี่ยวและสมาพันธ์ธุรกิจแล้ว ไม่ช้าฉุงเฉ่าเจว๋ก็กลับมายังตระกูลฉุงใหม่อีกครั้งด้วยความรวดเร็ว และก็ชำระล้างความผิดในก่อนหน้านี้ได้สำเร็จ
ด้วยเหตุนี้ฉุงเฉ่าเจว๋นำเรื่องราวบอกผ่านไป๋หยุนเผิงและคนอื่นๆอย่างคร่าวๆ เพียงแต่ในนี้ไม่ได้เอ่ยถึงไป๋ยี่เฟย พูดเพียงแค่ถูกคนลึกลับคนหนึ่งช่วยเอาไว้
หลังจากที่ไป๋หยุนเผิงและคนอื่นๆฟังจบก็เข้าใจขึ้นมา
จากนั้นหลังจากที่เย่ฮวนคิดไตร่ตรองอยู่ระลอกหนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นเบาๆกับไป๋หยุนเผิงว่า “ลุงไป๋ ทำไมผมรู้สึกว่าวิธีการนี้ค่อนข้างที่จะเหมือนเป็นไป๋ยี่เฟย?”
หลังจากที่ไป๋หยุนเผิงฟังจบก็เผยสีหน้าที่เห็นด้วยเล็กน้อยออกมาเช่นเดียวกัน
และหวังสือชิ่งที่อยู่อีกด้านก็ถอนหายใจออกมา ส่ายศีรษะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นว่า “ฝีมือสูงมากจริงๆ!ฉันอยากรู้ว่าเป็นลายมือของใคร??”
“รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไรอีก?” หวังซือซืออุทานออกมาอย่างประชดประชัน “ตอนนี้เฟิงหั่วกรุ๊ปไม่ได้เป็นของตระกูลหวังแล้ว และโรงแรมโป๋หย่านี้เป็นธุรกิจในเครือเฟิงหั่วกรุ๊ป”
“ถ้างั้น สิ่งที่ตอนนี้พวกคุณควรจะคิดก็คือจะออกไปยังไง”
ทุกคนที่รับชมต่างก็เคลื่อนย้ายสายตาไปที่หวังสือชิ่ง
หวังสือชิ่งกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ตื่นเต้นอะไร แต่หวังเจียจุ้นตื่นเต้นมาก
“ไอ้พวกพูดจาซี้ซั้ว มาก่อความวุ่นวายกันทั้งหมด พวกแกกำลังโกหก พูดมั่ว!” หวังเจียจุ้นตะคอกด้วยความโมโห
แต่ทว่าคนที่มาเข้าร่วมงานแต่งงานเหล่านี้กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เทียบกับตระกูลหวังที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ พวกเขาแน่นอนว่ายิ่งเชื่อใจสี่ตระกูลใหญ่และเฟิงหั่วกรุ๊ปมากกว่า
และพ่อแม่ของหลงหลิงหลิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ร้อนรนขึ้นมาแล้ว
พ่อของหลงหลิงหลิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามหวังสือชิ่ง “ชิงแก นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หวังสือชิ่งเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ราบเรียบ “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร ชิงแกไม่ต้องกังวล”
ไม่ใช่เรื่องใหญ่?
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
จากนั้นหวังสือชิ่งก็หัวเราะประชดประชันขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “ผมทางนี้กลับมีวิธีการหนึ่งที่จะสามารถรักษาตำแหน่งในเฟิงหั่วกรุ๊ปของตระกูลหวังเราเอาไว้ได้”
เห็นท่าหลินขวางอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างประชดประชัน “เวลานี้แล้ว คุณยังมีวิธีการอะไรได้อีก?”
หวังสือชิ่งอยู่ๆก็หัวเราะขึ้นมา หัวเราะจนทำให้คนรู้สึกค่อนข้างที่จะหนาวเย็น “หากท่านทั้งหลายที่ถือหุ้นในมือทั้งหมดตายด้วยอุบัติเหตุพร้อมกันทั้งหมด งั้นหุ้นเหล่านี้ก็ควรจะเป็นการเก็บรักษาชั่วคราวขึ้นมาใช่หรือเปล่า?”
“งั้นถ้าเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ตระกูลหวังของเรามีก็คือเวลาที่จะไปเอาเฟิ่งหั่วกรุ๊ปกลับคืนมาใหม่อีกครั้ง”
พูดจบ สีหน้าของคนภายในงานก็เปลี่ยนมหันต์
“แกคิดจะทำอะไร?” เย่ฮวนเอ่ยขึ้นด้วยความโมโหและตกตะลึง
หลังจากที่หลินขวางตกตะลึงกลับอุทานออกมาอย่างประชดประชันว่า “หรือว่าแกจะเก็บพวกเราทั้งหมดเอาไว้ที่นี่? แต่พวกแกมีอำนาจนั้นหรอ?”
หวังสือชิ่งหัวเราะเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
ในขณะที่พูดสายตาของหวังสือชิ่งก็ตกไปที่ด้านหลังของพวกเขา
คนทั้งหมดก็มองตามสายตาของเขาไป
จากนั้นคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเห็นน้ำทะเลจากริมทะเลเกิดคลื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ที่ยิ่งทำให้คนตกใจก็คือ คิดไม่ถึงว่าน้ำทะเลจะขึ้นสู่ความสูงถึงสิบกว่าเมตร ล้อมรอบคนทั้งหมดเอาไว้
และที่ยิ่งทำให้คนตกตะลึงก็คือ น้ำทะเลเหล่านี้เพียงแค่ล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ กลับไม่ได้เป็นเพราะแรงโน้มถ่วงกระโจนลงมา
“เฮ้ย!นี่เกิดอะไรกันขึ้น?”
“พวกเขาเป็นเวทย์มนต์!”
“หา!”
คนส่วนใหญ่ต่างก็ถูกพลังระลอกนี้ทำให้ตกใจกันไปหมด
ในเวลานี้ ไป๋หยุนเผิงรีบเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “ทุกคนอย่ากลัว นี่เป็นเพียงแค่เวทย์มนต์พรางตา!”
สำหรับคนธรรมดาแล้วพบเห็นได้ยากมากจริงๆ แต่สำหรับหัวหน้าตระกูลของสี่ตระกูลใหญ่ พวกเขาก็ยังคงรู้
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ คนเหล่านั้นก็ยังคงหวาดกลัวมาก ฟังคำพูดของไป๋หยุนเผิงไม่เข้าหูเลยแม้แต่น้อย
ความอลหม่านและเสียงกรีดร้องดังไปทั่ว
ไป๋หยุนเผิงเห็นดังนั้นก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้อีก แต่หันหน้ามองไปทางหวังสือชิ่ง “แกขังพวกเราเอาไว้แล้วจะทำยังไงได้อีก? ฤทธิ์ของค่ายกลกระบี่จะช้าจะเร็วก็ต้องหมดไป จะสามารถทำอะไรกับพวกเราได้อีก?”
หวังสือชิ่งยังไม่ทันได้เอ่ยปาก หวังเจียจุ้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาอย่างได้ใจ “ฮ่าๆ…จะทำอะไรกับพวกแกได้? พวกเราทางนี้น่ะมียอดฝีมือระดับหนึ่งถึงสิบกว่าคน ก่อนหน้าที่ค่ายกลกระบี่จะหมดฤทธิ์ แกคิดว่าพวกแกยังจะมีชีวิตออกไปได้หรอ?”
เพิ่งจะพูดจบ ก็มีชายหนุ่มสวมชุดรัดรูปสีดำสิบกว่าคนเดินออกมา ในขณะเดียวกัน หนึ่งในนั้นยังเข็นวีลแชร์ บนวีลแชร์มีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่
ชายแก่คนนี้ก็คืออาหยาง
และค่ายกลกระบี่เหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้า ก็คืออาหยางเป็นผู้จัดการ
หวังเจียจุ้นหัวเราะอย่างประชดประชันพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “สถานการณ์ของพวกแกฉันเคยตรวจสอบมาตั้งนานแล้ว มีเพียงแค่แกอาศัยพลังของหลอดเลือด เข้าสู่ยอดฝีมือระดับหนึ่งอย่างปริ่มๆ”
“ส่วนคนอื่นๆไม่ใช่ระดับสองก็คือระดับสาม พวกแกถูกขังอยู่ที่นี่ ไม่มีทางหนีรอดเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ด้านนอกจะยังมียอดฝีมือระดับหนึ่งมาช่วยพวกแก นั่นก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าพวกมันไม่มีทางเข้ามาได้!”
“ฮ่าๆ…ตอนนี้รู้หรือยังว่าฉันสามารถทำยังไงกับพวกแกได้?”
คำนี้พูดออกไป ไป๋หยุนเผิงและคนอื่นๆก็ตกใจขึ้นมาในทันที
เวลานี้ ในที่สุดพวกเขาก็รู้แล้วว่าทำไมตระกูลหวังหลังจากที่รู้ว่าหุ้นของเฟิงหั่วกรุ๊ปถูกคนรับซื้อไป ยังคงสงบเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านเช่นนี้
เพราะว่าพวกเขาเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ และก็เพราะพวกเขาวางแผนเอาไว้อย่างดีตั้งนานแล้ว
หวังเจียจุ้นเอ่ยขึ้นอย่างหยิ่งผยองเป็นอย่างมาก “รู้ไหมว่าตอนนี้พวกแกคืออะไร?”
“พวกแกก็คือเต่าที่ถูกขังอยู่ในโอ่ง!”
“ฮ่า…”
หวังสือชิ่งขมวดคิ้วขึ้น ตวาดเสียงดังใส่หวังเจียจุ้น “หยุดพูดจาไร้สาระ!”
หวังเจียจุ้นเก็บสีหน้าเย้ยหยันลงในทันที เอ่ยกับยอดฝีมือระดับหนึ่งด้วยท่าทีที่จริงจังว่า “เข้าไป ฆ่าพวกมัน!”
จากนั้นยอดฝีมือระดับหนึ่งทั้งหลายก็พุ่งไปทางไป๋หยุนเผิงและคนอื่นๆในทันที
ไป๋หยุนเผิงเห็นท่า รีบตะโกนเสียงดังขึ้นมาในทันทีว่า “ระวัง!”
ในขณะเดียวกัน ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ผมกลายเป็นสีขาว พลังที่อยู่บนร่างกายระเบิดเพิ่มขึ้นมาในทันที
ยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นล่างคนหนึ่งมาถึงยังด้านหน้าของไป๋หยุนเผิง หมัดหนึ่งตู้มเข้ามา
หลังจากที่ไป๋หยุนเผิงคำรามเสียงดังออกมาก็ออกไปหนึ่งหมัดเช่นเดียวกัน
“ตู้ม!”
สองหมัดชนกัน เกิดเป็นเสียงที่ดังมหาศาล
และยอดฝีมือระดับหนึ่งคนนั้นคิดไม่ถึงว่าจะถอยไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง ไป๋หยุนเผิงไม่เพียงแต่ไม่ถอย กลับออกหมัดไปอีกครั้งแทน
แต่คนที่อยู่ด้านหลังตามขึ้นมา มียอดฝีมือระดับหนึ่งสองคนโจมตีไปทางไป๋หยุนเผิงอีก
ไป๋หยุนเผิงอาศัยพลังของหลอดเลือด สามารถต้านการโจมตีของสามยอดฝีมือระดับสูงได้อย่างปริ่มๆ แต่คนอื่นๆกลับไม่สามารถทำได้
เพราะว่าพวกเขาไม่มีใครสักคนที่เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง
ในบริเวณไม่ไกลจากด้านข้างของเขา เย่เจี่ยถูกคนหมัดหนึ่งโจมตีกระเด็นออกไป
ในเวลานี้เอง คลื่นทะเลที่โอบล้อมพวกเขาเอาไว้อยู่ๆก็หายไปในชั่วพริบตา
เห็นฉากนี้ ทุกคนที่อยู่ในงานต่างก็พากันตกตะลึง
โดยเฉพาะอาหยางที่วางค่ายกลกระบี่ เขายิ่งเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
หวังเจียจุ้นเห็นสถานการณ์เช่นนี้ รีบเอ่ยถามขึ้นในทันทีว่า “อาหยาง นี่เกิดอะไรขึ้น?”
หลังจากที่อาหยางตกใจ ทั่วทั้งใบหน้าก็หนักอึ้ง “มียอดฝีมือทำลายค่ายกลกระบี่!”
เพิ่งพูดคำนี้จบ เงาร่างผู้ชายคนหนึ่งก็ค่อยๆปรากฏออกมา เขาเร่งรีบเข้ามาทางนี้จากที่ไกลๆ
อาหยางยิ่งตกใจจนถึงขีดสุด “คิกไม่ถึงว่าพวกเขาก็มีอาจารย์ตั้งค่าย!