บทที่ 34 ดูให้ดี เธอเอนอยู่บนตัวของใคร(2)
หลินเวยมี่หลับตาลง กดความรู้สึกเสียใจไว้ภายใน ปลอบใจตัวเองต่อไป อีกแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น หลังจากวันนี้ไป เธอก็สามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือผู้ชายปีศาจตนนี้แล้ว!
มือหนึ่งของฉู่เฉินซีกอดเธอไว้ สังเกตเห็นความเสียใจของเธอผ่านแววตา ยิ้มอ่อนอย่างไม่สนใจ ในเมื่อเป็นของขวัญก็ควรสำนึกตัวว่าเป็นของขวัญมิใช่หรือ?
“โอ้!” หลินเวยมี่กรีดร้อง ความเจ็บปวดเข้าถาโถม ดวงตาเปียกชุ่ม เธอลืมตาขึ้นในฉับพลัน ปะทะเข้ากับท่าทีอันเฉียบขาดของเขา
“ฉู่เฉินซี คุณมันก็เป็นแค่คนเลว!” เธอด่ากราดอย่างอดไม่ได้
“สาวน้อย ดูให้ชัดๆ ว่าฉันคือใคร” มุ้มปากเขายกขึ้นหัวเราะเยาะ กอดเอวเธอไว้แน่น เบียดรัดเธออย่างดุเดือด
น้ำตาของหลินเวยมี่ไหลออกมา มือกำหมัดแน่น ทำไมเธอต้องได้เจอกับผู้ชายชั่วร้ายคนนี้ด้วย!
เขาปลดเสื้อออกครึ่งหนึ่ง ผู้หญิงใต้ร่างดูเหมือนกลายเป็นน้ำ หมดแรงพิงอยู่บนตัวเขา เธอปิดตาแน่นส่งเสียงฮัมขึ้นมาบางเบา หน้าผากขาวเนียนชุ่มไปด้วยเหงื่อ ซึมลึกผ่านหน้าแดง
ดูเหมือนว่าเขาจะควบคุมตนเองไม่ได้ ต้องการตัวเธออย่างไม่มีที่สิ้นสุด นี่คือครั้งแรกที่เขาสูญเสียการควบคุมกับผู้หญิง เขายกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาฉายแววเหลือทน สำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องดีเลย
ว้าวุ่นใจอยู่พักหนึ่ง ไม่อยากที่จะมองหน้าเธออีก หันตัวเธอกลับไปทันที ให้เธอพิงตัวอยู่กับอ่างล้างหน้า
หลินเวยมี่หรี่ตามอง เห็นตัวเองในกระจกด้วยสภาพที่กระเซอะกระเซิงแบบนั้น รู้สึกเหมือนถูกระฆังใบใหญ่ตีเข้าที่ทรวงอกอย่างจัง เจ็บปวดจนหายใจติดขัด
ทรมานเธอมาแล้วทั้งคืน จวบจนกระทั่งเช้าที่ฉู่เฉินซีปล่อยทิ้งเธอไว้ หลังจากที่โยนเธอเข้าไปในห้องอาบน้ำอาบจนสะอาด กอดเธอแน่นแล้วหลับไป
เช้าตรู่ เสียงปลุกดังแสบแก้วหูขึ้นมา ทั้งสองคนตกใจตื่น
ฉู่เฉินซียกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก้มมองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา จูบเบาๆที่ตาของเธอ มือควานหาโทรศัพท์ข้างๆ รับสาย
หลินเวยมี่ปิดตา ฟังเสียงในสายโทรศัพท์ของเขา เพราะระยะใกล้มาก ดังนั้นจึงฟังออกบ้างว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบริษัทตระกูลหลิน
บริษัทตระกูลหลิน ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่บริษัทของตระกูลเธอหรอ? เธอลืมตาขึ้นทันที จ้องไปยังฉู่เฉินซี เขาแค่พูดคำเดียวก็รู้เรื่อง วางสายโทรศัพท์ไป
“เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลบ้านฉันหรอ?” หลินเวยมี่ถามอย่างตื่นตระหนก ในใจเกิดความไม่สบายใจขึ้นอยู่รำไร
“บริษัทเกิดเรื่องนิดหน่อย คิดอยากรู้ว่าเป็นเรื่องอะไรเฉพาะเจาะจง ก็ไปใส่เสื้อผ้าให้ดีๆ” เขาพูดเสร็จก็รีบลุกลงจากเตียง ไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบชุดเดรสโยนไปที่ตัวเธอชุดหนึ่ง
หลินเวยมี่ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น รีบใส่เสื้อผ้า ในใจยังคงเดาต่อว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
บนรถ หลินเวยมี่มองฉู่เฉินซีอย่างไม่สบายใจ เขานั่งอีกด้านหนึ่ง นอนหลับตาลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขาดูท่าทางสบายใจ เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ฉู่เฉินซีน่าจะรู้เรื่องอะไรบ้าง?
“ฉู่เฉินซี เธอรู้ว่าเรื่องอะไรใช่หรือไม่?” หลินเว่ยมี่อดถามไม่ได้
ฉู่เฉินซีลืมตามองไปยังหลินเวยมี่ จ้องไปที่เธอ เอ่ยเสียงค่อย “ฉันควรจะต้องรู้อะไรหรือ?”
เขาดูไม่ชัดเจน? หลินเวยมี่หมดคำพูดไปชั่วขณะ แต่ว่าดูจากท่าทีแล้ว เขาดูเหมือนเดาออกมาก่อนแล้วว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทีท่าสบายใจเช่นนี้
“ไม่พูดก็แล้วไป” เธอตอบกลับอย่างหดหู่ใจ กวาดสายตาออกไปมองด้านนอก รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ดูเหมือนจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอไม่รู้
“เรื่องมันได้เริ่มต้นขึ้นแล้วก็เท่านั้นเอง”
เธองุนงงเล็กน้อย เริ่มต้นขึ้น? แท้จริงแล้วคือเรื่องอะไรกัน?
กลับมาถึงตระกูลหลิน ทุกคนล้วนนั่งเงียบอยู่บนโซฟา แม้แต่น้าหรานผู้บ้าอำนาจยังนั่งเงียบอยู่บนโซฟาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“พ่อ” หลินเวยมี่รีบเดินไปนั่งข้างๆหลินจ่านหง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอ?”
หลินจ่านหงเงยหน้ามองหลินเวยมี่ ใบหน้าปกคลุมไปด้วยความกังวล ลูบมือเธอปลอบใจ “ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”
หลินซินหยานที่อยู่ข้างๆมองมาที่หลินเวยมี่ เอ่ยถามเสียงค่อย “พี่สาว พี่สาวกับคุณลุงกลับมาด้วยกันหรอ? สามวันมานี้พี่สาวกับคุณลุงอยู่ด้วยกันใช่ไหม?”
สีหน้าของหลินเวยมี่ซีดลงทันใด ดวงตาฉายแววตื่นตระหนกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้