บทที่ 18 จิ้งจอกเฒ่า เข้ามาได้ยังไง(2)
ฉู่เฉินซีที่ไม่ได้รู้สึกถึงแรงขัดขืนใดๆ จึงหยุดการกระทำลง แล้วเงยหน้าขึ้นไปปะทะสายตาของเจ้าหล่อน ส่วนลึกในใจช่างสั่นไหวเหลือเกิน
ตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา แต่ความดื้อรั้นหัวแข็งไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ดวงตาว่างเปล่าจับจ้องไปที่ท้องฟ้า ความปราดเปรียวที่มีหายไปในชั่วพริบตา
ความรู้สึกสำนึกผิดแล่นเข้ามาภายในใจของเขา การที่เห็นหลินเวยมี่เป็นเช่นนี้ทำให้ใจของเขาเจ็บปวด เขาไม่ควรแสดงความรู้สึกเช่นนั้นออกมาอย่างชัดแจ้ง เขาขมวดคิ้วย่น พินิจเธออย่างลุ่มลึก
เธอยังคงจ้องไปที่รอยฟันของเขา บนร่างกายก็ถูกเขากัดจนเป็นรอยเขียว ที่กระดูกไหปลาร้าอีก มีทั้งรอยฟันและมีทั้งเลือดซึมออกมา
“เวยมี่……” มือของเขาสัมผัสเบาๆไปที่หน้าเธอ แต่ถูกเธอใช้ฝ่ามือเธอปัดทิ้ง
“อย่ามาโดนตัวฉัน!” เธอมองฉู่เฉินซีด้วยความเกลียดชัง “คุณออกไปเลยนะ ไปให้พ้น ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก!”
ฉู่เฉินซีทอดสายตาลงต่ำด้วยความเวทนาได้ครู่เดียว ริมฝีปากก็กลับมายิ้มเย็นอีกครั้ง มือใหญ่จับที่คางหล่อนอย่างไม่เกรงใจ เพ่งมองสีหน้าสะอิดสะเอียนของหล่อนที่ส่งมายังเขา
“หลินเวยมี่ ชั่วชีวิตนี้ของเธออย่าได้คิดหนีไปจากเงื้อมมือฉัน ถ้าไม่เชื่อ เธอก็ลองดูละกัน!” เขายิ้มเยาะ ปล่อยตัวเธอแล้วก็เดินจากไป
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู หลินเวยมี่ก็คลายตัวด้วยความเบาใจ ร่างกายอ่อนระโหยโรยแรงไปทั้งร่าง เธอใช้มือปาดน้ำตาอย่างโกรธแค้น เธอพ่ายแพ้แบบนี้ได้ยังไง
ที่บันได หลินซินหยานมองแบบไม่ใคร่สนใจเห็นฉู่เฉินซีเดินออกมาจากห้องของหลินเวยมี่ สายตาไร้ชีวิตชีวา ทันใดนั้น ก็หัวเราะเยาะออกมา เธอเลยเดินไปยังห้องของหลินเวยมี่ เคาะประตู
เมื่อหลินเวยมี่ได้ยินเสียงเคาะประตูก็รู้สึกอึดอัด ตื่นตัวเพ่งมองไปที่ประตูแล้วถามว่า “ใคร?”
“พี่สาว นี่น้องเอง ซินหยาน” เสียงอ่อนตอบกลับมาจากประตูด้านนอก
“มีธุระอะไรหรือ?” เธอเบาใจไปเฮือกหนึ่ง เอาผ้าห่มพันตัวแน่น
“พี่สาว เพื่อนของพี่รออยู่ข้างล่าง เธอบอกว่ามีธุระจะคุยกับพี่”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกระแวงในใจด้วยความสงสัย เพราะเดิมทีเธอก็ไม่ใช่คนมีเพื่อนมาก หรือจะเป็นเย่หนิง?
“รู้แล้ว” เธอลงจากเตียงอย่างไม่กระตือรือร้น เดินไปยืนที่หน้ากระจก ตามตัวเห็นเป็นรอยเขียวจากฟันกัด ยิ่งรู้สึกร้อนรนใจ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอีกชุดหนึ่ง จึงไปเปิดประตู
เธออดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ที่ยังเห็นหลินซินหยานยืนอยู่ที่หน้าประตู จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้
ความรู้สึกว่า “ทำไมเธอยังอยู่ตรงนี้ล่ะ?
“พี่สาว เมื่อตอนเช้าฉันกับแม่ไปตลาดมา ซื้อถั่วพิสตาชิโอที่พี่ชอบมาฝากด้วย” เธอมองอย่างระแวดระวังไปยังหลินซินหยานที่ส่งจานใส่ถั่วพิสตาชิโอมาให้
หลินเวยมี่ยิ่งรู้สึกวุ่นวายใจ พิสตาชิโอ? ตอนนี้ตัวเธอถูกปกคลุมไปด้วยความดำมืด เอาพิสตาชิโอมาทำไม? ถือโอกาสดึงจานมา พูดด้วยความรำคาญว่า “ไม่กิน!”
เพล้ง! ทั้งจานและพิตตาชิโอกระจายทั่วพื้น เธอชะงักไปในทันที เห็นหลินซินหยานได้รับบาดเจ็บเช่นนั้น ภายในใจเธอก็รู้สึกละอายใจ
“ขอโทษค่ะพี่สาว เป็นเพราะฉันหาเรื่องให้พี่สาวไม่สบายใจเอง” หลินซินยานรีบนั่งลง ค่อยๆบรรจงเก็บจานที่แตกอย่างระมัดระวัง ท่าทางที่หวาดกลัวนั้นทำให้อดสงสารไม่ได้
“ฉัน….” เธอกำลังคิดอยากอธิบาย แต่ถูกน้ำเสียงโกรธแค้นตัดบทแทรกเข้ามา
“หลินซินหยาน ใครใช้ให้เธอเก็บจานที่แตกนี่?” น้าหรานดึงหลินซินหยานขึ้นมาด้วยอารมณ์โกรธ มองไปยังพวกเธอทั้งสองคนเพื่อประเมินสถานการณ์ ก็เข้าใจเรื่องราวได้ในทันที
“ฉันก็ว่าอยู่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่กินพิสตาชิโอ แต่ไปตลาดครั้งนี้กลับซื้อพิสตาชิโอ เดิมทีแค่คิดจะซื้อมาฝากคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจนี่ ตอนนี้เห็นชัดแล้วหรือยัง? ว่าแม่นี่เป็นคนไม่รู้จักคุณคนขนาดไหน เธอทำดีกับมันแทบตาย มันไม่เคยแม้แต่จะซาบซึ้งกินใจเธอสักนิด!” น้าหรานแผดเสียงเหน็บแนม
“แม่ มันไม่ใช่อย่างนั้น เป็นหนูเองที่ไม่ระวัง ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่สาวเลย” หลินซินหยานอธิบายเสียงค่อย
หลินเวยมี่ร้อนรนใจอยู่พักหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อได้ฟังสิ่งที่หลินซินหยานอธิบาย ก็ไม่มีใจจะทะเลาะด้วยอีก จึงจ้ำอ้าวลงไปชั้นล่าง
หลินซินหยานมองหลินเวยมี่ที่ชั้นล่าง สายตาประหลาดใจฉายชัด เมื่อเห็นรอยฟันชัดเจนที่คอเธอ คงเป็นอุบัติเหตุกระมัง
ภายในห้องรับแขก เย่หนิงนั่งอยู่ในนั้นจริงๆ ตาของเธอแดงก่ำ พอเธอเห็นหลินเวยมี่ก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยโฮออกมา
“เวยมี่…”
หลินเวยมี่ใจสั่น เมื่อไรกันที่เห็นเย่หนิงตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ รีบเดินเข้าไป ถามไถ่ด้วยความห่วงกังวล “มันเป็นยังไง เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ฉันก่อเรื่องแล้ว” พูดจบเย่หนิงก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำมันพัง ฉันไม่ระวังเอง ฉันจะต้องติดคุกมั้ย”
หลินเวยมี่เมื่อได้ยินเธอพูดจาเรื่อยเปื่อยเช่นนั้นคิ้วก็พลันขมวดย่น ค่อยๆตบไหล่เธอเบาๆพลางพูด”เธอค่อยๆพูดนะ จริงๆแล้วมันคือเรื่องอะไรกันแน่”
“ฉันทำชุดฝังเพชรของเย่เซียงถงเสียหาย ฉันก็แค่อยากรู้อยากเห็นเฉยๆ ใครจะไปคิดว่าเพชรมันจะกระเด็นออกมา เธอบอกว่าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายฉัน ยังไงก็จะต้องชดใช้ แต่ฉันชดใช้ไม่ไหวหรอก” เย่หนิงสะอึกสะอื้น
หลินเวยมี่อดขมวดคิ้วไม่ได้ เย่เซียงถงเป็นถึงนักแสดงเบอร์หนึ่ง ชุดของเธอแน่นอนว่าต้องราคาสูงลิบ แต่เย่หนิงผู้ซึ่งฐานะทางบ้านระดับพอมีอันจะกิน แถมยังเป็นแค่นักแสดงแถวสาม จะรับผิดชอบไหวได้อย่างไร?
“เย่หนิง ไม่ต้องร้องนะ พวกเราจะไปพบเย่เซียงถงด้วยกัน ไปดูว่ายังพอมีหนทางอื่นอีกมั้ย” หลินเวยมี่แตะไหล่เย่หนิง พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น