บทที่ 41 ฉันไม่ใช่ออกมาขายนะ(1)
หลินเวยมี่ยังไม่ทันจะโดนตัวเขา ก็ถูกเขาเอามือมากอดที่เอว ผ่านไปซักพักเขาถึงจะปล่อยเธอ จ้องมองไปที่ปากแดงๆของเธอ เขายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
หลินเวยมี่เอามือไปจับที่แขนของเขา หวังว่าจะผลักเขาออกไป ทำหน้ามุ่ย “ตอนนี้ยังไม่ปล่อยฉันไปอีก”
ฉู่เฉินซียักคิ้ว ก้มลงมามองเครื่องแต่งกายของเธอ หัวเราะละปล่อยเธอ และพิงไปที่ฝาผนัง “โอเค ผมปล่อยคุณไปก็ได้ ถ้าคุณกล้าห่มผ้าเช็ดตัวกลับบ้าน”
เธอเอามือมาจับผ้าเช็ดตัวอย่างหมดคำพูด สีหน้าของเธอเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง ในที่สุดเธอก็มองเห็นว่าที่พื้นมีชุดของผู้ชายอยู่ เธอเริ่มยิ้มกว้างขึ้น
และหยิบชุดที่อยู่บนพื้นขึ้นมา และดึงผ้าเช็ดตัวทิ้งไปข้างๆโดยไม่สนใจฉู่เฉินซี และสวมเสื้อผ้าของเขา และมองไปที่เขาอย่างได้ใจ “แบบนี้ฉันก็กลับบ้านได้แล้วใช่มั้ย”
ภายให้แจ็คเก็ตผู้ชายหลวมๆนั้น ทำให้สามารถมองเห็นเรือนร่างของเธอได้อย่างชัดเจน ผมยาวสีดำของเธอหล่นมาที่ไหล่ เขาหรี่ตาลง “ก็ลองใส่ออกไปดูสิ”
หลินเวยมี่มองหน้าเขา แล้วเธอก็เอามือไปเปิดประตู
มือยังไม่ทันจะเอื้อมไปโดนลูกบิดประตู เอวก็รู้สึกว่าถูกรัดแน่น แล้วตัวเธอก็ล้มลงไปบนอ้อมกอดของเขา
“คุณคงไม่พลิกลิ้นแล้วไม่ปล่อยฉันไปหรอกนะ” หลินเวยมี่เอามือดันเขาเอาไว้ และถามด้วยอาการหน้าแดง
“ยายบ๊องเอ้ย คุณอยากออกไปทั้งแบบนี้หรอ” เขากัดฟันถาม ก้มมองดูชุดที่เธอใส่ ก็พอจะรู้ว่าถ้าเธอออกไปทั้งแบบนี้จะมีผู้ชายกี่คนที่มองเธอ
เขารู้สึกอึดอัดใจ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ เขาต้องอยากจะควักลูกตาของผู้ชายพวกนั้นแน่
“แบบนี้ก็ไม่ได้ แบบนั้นก็ไม่ได้ คุณจะให้ฉันเอายังไงกันแน่” หลินเวยมี่บ่นพึมพำและทำหน้าไม่พอใจ
“รอเดี๋ยว” เขาค่อยๆปล่อยมือออกจากเธอ แล้วกดโทรศัพท์ และสั่งว่า “เอาชุดผู้หญิงขึ้นมาหนึ่งชุด”
หลินเวยมี่ในใจคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ให้เวลาเดินเร็วขึ้นหน่อย พอถึงตอนนั้นก็จะไปจากผู้ชายคนนี้ได้ ไม่อยากจะอยู่ให้ห้องเดียวกับเขาแม้แต่วินาทีเดียว
“ผู้หญิง” เขาหรี่ตาลงและพูดขึ้น
หลินเวยมี่ตอบกลับความรำคาญว่า “ฉันมีชื่อ”
“เวยมี่ ถ้าภายในอาทิตย์นี้ผมเห็นคุณอยู่กับผู้ชายคนอื่นละก็ คุณต้องเป็นคนรับผิดชอบผลของมันด้วยตัวคุณเอง” เขาพูดสั่งเธอ
หลินเวยมี่มองบนใส่เขา เขาไม่ได้เป็นอะไรกับเธอสักหน่อย มีสิทธิ์อะไรมาควบคุมว่าเธอจะคบเพื่อนยังไง
ตอนที่กำลังคิดอยู่นั้น เขาก็จับแขนของเธอและถึงไปข้างหลัง ดึงไปอยู่ข้างๆเขา และเขาพูดต่อว่า “ผมเชื่อว่า ผลของการกระทำแบบนั้นมันจะโหดร้ายทารุณกว่าเมื่อคืนแน่นอน ถ้าไม่เชื่อคุณก็ลองดู”
เขาจับข้อมือของเธอ และมองไปที่แหวนของเธอ ยิ่งดูก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ เลยพูดอย่างไม่พอใจขึ้นว่า “เอาแหวนไปคืนซะ”
“คุณคิดว่าฉันไม่อยากหรอ” หลินเวยมี่ดึงมือกลับมา แต่ถูกเขาดึงกลับ
ถึงอย่างนั้นแหวนวงนี้เธอก็ไม่ได้คิดอยากจะเก็บไว้ตั้งแต่แรก แต่ว่าเธอไม่ค่อยสนิทกับโจ่วชิงช๋วน แล้วอีกอย่างแหวนวงนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นของสำคัญมาก ไม่งั้นเธอคงมั่บแหลนวงนี้มาดื้อๆ
บรรยากาศเริ่มเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรทั้งคู่ ฉู่เฉินซีหรี่ตาลงตรวจสอบแหวนที่อยู่บนนิ้วของเธอ ในตาของเขาบ่งบอกถึงความยาก
“ให้ตายสิ” เขาด่าเบาๆ แหวนวงนี้มีแค่โจ่วชิงช๋วนเท่านั้นที่รู้รหัส ถ้าอยากเอาออกละก็ น่ากลัวว่าจะต้องใช้เวลาซักระยะนึง แต่ว่าเห็นผู้หญิงของตัวเองใส่แหวนที่ผู้ชายคนอื่นเป็นคนมอบให้มันรู้สึกไม่ดีเอามากๆเลย
เขาขมวดคิ้วแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความแล้วกลับขึ้นไปเอนตัวบนเตียงอีกครั้ง
“ผมบอกไว้เลยนะ ถ้าคุณยังติดต่อกับสองพี่น้องนั้นอยู่อีกละหรอ ได้เห็นดีกันแน่” เอาหรี่ตาและพูดขู่
หลินเวยมี่ไม่อยากจะสนใจเขา เธอถอนหายใจออกมา และมองแหวนอย่างละเอียด แหวนลงนี้ดูเหมือนเป็นของเก่าแก่มาก แต่ดอกกุหลาบหินที่อยู่บนแหวนวงนี้ไม่ดูแก่เลยซักนิด กลับกันยังทำให้รู้สึกว่าทันสมัยอีกต่างหาก
แต่ว่า เนื่องจากแหวนวงนี้ต้องเอาไว้ให้ลูกสะใภ้บ้านตระกูลโจ่วใส่ไม่ใช่หรอ งั้นเธอต้องรีบเอาไปคืนแล้วละ ป้องกันคนเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
ตอนที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่ข้างนอกประตูก็มีเสียงกริ่งดังขึ้นมา เธอเงยหน้าขึ้นมามองฉู่เฉินซี เขาทำหน้านิ่งเหมือนกับว่าเขาจะไม่ลุกขึ้นไปเปิดประตู
เธอถอนหายใจ คิดว่าจะเดินไปเปิดประตู แต่ตอนที่เธอกำลังจะลุกก็ถูกเขาดึงเอาไว้
“เธอใส่ชุดแบบนี้ คิดจะไปอ่อยใครหรอ”
หลินเวยมี่เบ้ปาก และนั่งลงอย่างเรียบร้อย เมื่อกี้เป็นเขาเองไม่ใช่หรอที่ไม่อยากลุกไปเปิดประตู ตอนนี้กลายเป็นความผิดเธอไปแล้วหรอ
ในไม่ช้า เขาก็ถือเสื้อผ้าเข้ามา เขาวางเสื้อผ้าลง ในมือเขายังมีกล่องของขวัญที่ชิ้นไม่ใหญ่มาก