บทที่ 46 ผมเป็นผู้ชายของเธอ(1)
“อืม” สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยน เขาพูดนิ่งๆว่า “ไม่สบายตรงไหน”
ไม่สบายตรงไหนงั้นหรอ หลินเวยมี่ไม่รู้ว่าไม่สบายตรงไหน สมองไม่รู้ว่าจะต้องตอบไปยังไง เธอส่ายหน้าและบอกว่า “ไม่รู้”
“แล้วจะให้ผมช่วยยังไง”
“ฮึมฮึมช่วยฉัน” เธอฮึมฮัมเบาๆ เธอคลอเคลีย “ฉู่เฉินซี ฉันรู้สึกไม่สบาย”
ฉู่เฉินซีเอามือไปจับเอวเธอ เพื่อไม่ให้เธอขยับ
“อย่าขยับ”
“ช่วยฉัน” เธอพูดการซิปกระซาบด้วยสายตาที่ออดอ้อน
แล้วเธอก็ยื่นปากเข้าไปใกล้เขา
“เจ้านาย ยังเหลือเวลาก่อนเช็กอินหนึ่งชั่วโมง” หยิ่งพูดเตือนด้วยสีหน้าที่นิ่งๆ
“ลงรถ” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
และรถก็จอด จอดข้างทางที่บรรยากาศดูเงียบ หยิ่งรีบลงจากรถ
ฉู่เฉินซีอุ้มเธอขึ้นมา ให้เธอนั่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา และถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “คุณต้องการให้ผมช่วยคุณจริงๆหรอ”
ใบหน้าเล็กๆสีแดงของหลินเวยมี่ดูลังเล แล้วหลังจากนั้นก็รีบพยักหน้า
ฉู่เฉินซีหลับตาลงเหมือนเหยี่ยว และถอดกางเกงของเธอออกอย่างรวดเร็ว
หลินเวยมี่ฮึมออกมาเบาๆ และกอดคอเขา
ภายในรถเต็มไปด้วยบรรยากาศของความอบอุ่น เขาเอามือจับไปที่เอวของเธอ ทั้งสองคนจูบกันอย่างดูดดื่ม
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉู่เฉินซีถึงจะเปิดประตูรถ ปล่อยให้อากาศเจือจางกลิ่นของความรักในรถจนถึงตอนนี้หยิ่งถึงจะกล้าขึ้นรถ
“เจ้านาย ผมจองตั๋วเครื่องบินพรุ่งนี้เช้าไว้ให้แล้ว”
ฉู่เฉินซีมองดูผู้หญิงที่นอนหลับอย่างสบายใจในอ้อมอกและตอบกลับว่า “โอเค”
ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสนและสงสัย เหมือนว่าหลังจากที่หลินเวยมี่เข้ามาในโลกของเขา การควบคุมตัวเองของเขาที่แต่ก่อนเคยมี ตอนนี้กลับหายไปจนหมด
รับผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางเลือกจริงๆ ไม่งั้นก็คงไม่รีบมารับหลังจากที่ได้รับข้อความ
“เจ้านาย มือของคุณยังมีเลือดไหลอยู่” หยิ่งเตือน “จะไปทำแผลที่โรงพยาบาลซักหน่อยมั้ย”
“ไม่ต้องหรอก” เขามองบาดแผลบนมือ สายตายิ่งลึกลับ ความรู้สึกที่ควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้มันก็ไม่ใช่ไม่ดี แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีความรู้สึกกับเธอมากกว่าคำว่าสนใจ
คนที่ฉลาดจะไม่ยอดให้ศัตรูเห็นจุดอ่อน แต่หลินเวยมี่จะต้องไม่กลายเป็นจุดอ่อนของเขาแน่นอน
ในห้องหนังสือของตระกูลโจ่ว คนวัยกลางคนโยนหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะทำงานด้วยความโกรธ “คุณดูนี่สิ คุณดูสิ ถูกคนอื่นถ่ายเอาไว้จนได้ ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเรารู้ก่อนว่าจะมีข่าวแบบนี้แล้วโทรไปสั่งให้เอาออกละก็ ก็ไม่รู้ว่าภาพพจน์ตอนนี้จะเป็นยังไง”
กู้จุนเฟิงขมวดคิ้วและมองดูหนังสือพิมพ์บนโต๊ะ บนหนังสือพิมพ์มีรูปที่เขากำลังอุ้มหลินเวยมี่ขึ้นรถในรูปดูออกว่าเป็นเขา แต่ว่าหน้าของหลินเวยมี่กลับถูกเบลอ เดาไม่ยากเลยว่าใครเป็นคนทำ
“คุณอาเฉียงเรื่องนี้ผมจะจัดการเอง”
“จัดการงั้นหรอ นายจะจัดการยังไง ถ้าให้คนอื่นเห็นรูปนี้ ต้องมีผลกระทบกันตำแหน่งนายกเทศมนตรีของนายแน่ๆ” โจ่วลี่เฉียงตะโกนด้วยความโกรธ
กู้จุนเฟิงขมวดคิ้ว ดูออกชัดเจนว่าเขาก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ “ผมรู้แล้ว”
โจ่วลี่เฉียงมองเขาด้วยสายตาที่ไม่ร้อนไม่อุ่น และถอนหายใจออกมายาวๆ “นายไปทำอีท่าไหนให้ฉู่เฉินซีโกรธเข้า แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“คุณอาเฉียง ตอนนี้ผมยังบอกอะไรคุณอาไม่ได้ ไว้ผมจะบอกคราวหลัง” กู้จุนเฟิงจ้องมองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ในรูปด้วยสายตาที่หนักแน่น
“เหอะ ตอนนี้นายโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่อยากให้นายรู้ว่าโจ่วซินยังรอนายอยู่ นายคิดให้ดีๆ” โจ่วลี่เฉียงตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ
กู้จุนเฟิงกำหนังสือพิมพ์แน่นแล้วเดินออกไปจากห้องหนังสือ ข้างนอกห้องหนังสือ มีผู้หญิงนั่งรออย่างเงียบๆอยู่ที่นั่น พอเห็นเขาออกมาก็รีบเดินเข้าไปหา
“จุนเฟิง พ่อฉันทำให้นายลำบากใจรึเปล่า”
กู้จุนฟงส่ายหน้าอย่างนิ่งๆ มองไปที่โจ่วซินด้วยสายตาที่มุ่งหน้า ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขารอเขามาตั้งนานหลายปี เขาไม่ควรที่จะเป็นหนี้เธอ
“โจ่วซิน พวกเราหมั้นกันเถอะ” จู่ๆกู้จุนเฟิงก็พูดขึ้นมา
โจ่วซินตกใจไปซักพัก เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าจู่ๆกู้จุนเฟิงจะพูดเรื่องหมั้นกับเธอ หน้าเธอเริ่มแดง “เรื่องนี้ นายตัดสินใจเถอะ”
กู้จุนเฟิงพยักหน้า และทิ่งหนังสือพิมพ์ลงในถังขยะ ถอนหายใจ เขาไม่ควรพูดถึงหลินเวยมี่
และตำแหน่งของเขาตอนนี้ก็ไม่มั่นคง และยังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลย การแต่งงานตอนนี้คือทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้
แต่แบบนี้มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆหรอ