บทที่ 39 เป็นฝ่ายรุก(1)
ความรู้สึกอับอายขายหน้าถ่าโถมเข้ามา ไม่ต้องพูดถึงเสี่ยวจื๋อว่าเขาออกไปจากที่นี่รึยัง แค่ทำเรื่องพวกนี้ต่อหน้าคนอื่นมันก็สะเทือนใจเธอมากพอแล้ว
ศักดิ์ศรีของเธอถูกฉู่เฉินซีโยนลงบนพื้นและใช้เท้าเหยียบจนไม่เหลือชิ้นดี ผู้ชายคนนี้ที่แท้ก็เป็นซาตานที่แปลงร่างมา
“คุณใช้คำว่าตั้งใจกับผมได้งั้นหรอ” ฉู่เฉินซียิ้มอย่างเยือกเย็น ลูกตาสีน้ำตาลเข้มของเขาที่พอมันอยู่ในที่มืดสลัวแล้วมันดูน่ากลัวเหมือนกับปีศาจร้าย
“อย่าลืมสิ คนที่แนะนำคุณให้ผมก็คือกู้จุนเฟิง ความใส่ซื่อที่คุณแสดงออกมาตอนอยู่ต่อหน้าเขามันเป็นแค่ภาพลวงตา แต่ว่าคิดไม่ถึงจริงๆว่าเขายังจะเก็บของเก่าที่ผมเคยใช้แล้วมาใช้ต่อ เหลือเชื่อจริงๆ”
คำพูดที่ทิ่มแทงของฉู่เฉินซี มันเหมือนกับดาบที่พุ่งมาแทงที่เธอ จนร่างกายของเธอเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ตอนนี้เธอไม่ได้สนใจคำเหน็บแนมของเขาต่อไป เธอสนแค่ว่าตอนนี้กู้จุนเฟิงจะเป็นยังไงบ้าง
เรื่องมันเป็นแบบที่ฉู่เฉินซีพูดจริงๆหรอ กู้จุนเฟิงวางแผนให้เธอไปอยู่บนเตียงของฉู่เฉินซีตั้งแต่ตอนแรกแล้วหรอ ยังไงเธอก็ไม่ยอมเชื่อว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจริง
“นายพูดจาเหลวไหล เสี่ยวจื๋อไม่ใช่คนแบบนั้น” จิตใต้สำนึกของเธอกำลังเถียง เธอไม่เชื่อคำพูดของฉู่เฉินซี คำพูดของฉู่เฉินซีมีไว้เพื่อเหน็บแนมเธอเท่านั้น จะเอามาคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงไม่ได้
“เหอะ ผู้หญิงโง่ที่ไร้การศึกษา” เข้าแสยะยิ้ม
หลินเวยมี่หลับตา รู้สึกว่าเท้าและแขนทั้งสองข้างเริ่มไม่มีกำลังและชา พยายามไม่สนใจความรู้สึกนี้ เธอกัดฟันแน่นไม่ยอมให้มีเสียงเล็ดรอดออกมา
สายตาของเขาจ้องมองดูผู้หญิงที่อยู่ข้างล่าง เมื่อกี้เขาได้รู้แล้วว่ากู้จุนเฟิงไม่ได้มีอะไรกับเธอ แต่ว่าถึงจะรู้แบบนี้แล้วมันก็ไม่สามารถหยุดความโกรธของเขาไว้ได้
เขายิ้มอย่างชั่วร้าย เอามือไปจับเอวของเธอแน่น และขยับอย่างบ้าพลัง
“อ๊า” เธอเจ็บจนในที่สุดเสียงก็หลุดออกมา
เสียงนั้นก็เป็นเสียงสะอื้นไห้ของเธอด้วย แต่เธออาจจะไม่รู้เลยว่า ยิ่งผู้หญิงอ่อนแอแบบนี้ ยิ่งทำให้ผู้ชายได้ใจ
เขาเหมือนโดนเธอวางยาพิษ ไม่สามารถถอนตัวได้ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ราวกับว่าสูญเสียการควบคุมตัวเองไป ผู้หญิงที่อยู่ข้างล่างสวยจนเขาไม่สามารถปล่อยไปได้
คืนที่สวยงาม
มีเสียงดังออกมาจากข้างนอก เหมือนกับว่าบอร์ดี้การ์ดที่อยู่ข้างนอกประตูกำลังหาว ในเมื่อเป็นแบบนี้ สีหน้าก็ผู้ชายก็เริ่มเปลี่ยน
คว้าหมอนแล้วจับโยนออกไป
“ไสหัวไป”
บอดี้การ์ดตกใจแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกมา และค่อยๆหยิบหมอนขึ้นมาอย่างระมัดระวังและวางไว้ข้างๆก่อนที่จะค่อยๆปิดประตู
ฉู่เฉินซีก้มหน้าลงไปมองผู้หญิงที่อยู่ข้างล่าง และเป็นครั้งแรกที่มองหน้าเธออย่างละเอียด เธอหน้าตาปี๋ ขนตายาวๆของขยับเป็นบางที สมูกโด่ง ปากเล็กๆ ไม่พูดไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้สวยมาก ทำให้คนที่มองรู้สึกสบาย
“เสี่ยวจื๋อ” เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดชื่อของเขาออกมาเบาๆ
สีหน้าของฉู่เฉินซีเปลี่ยนไปจนแทบดูไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าเรียกชื่อของผู้ชายคนอื่น
มือใหญ่ๆหยิกเธออย่างแรง สาวน้อยตื่นขึ้นมาจากความเจ็บปวด ดวงตาที่พร่ามัวคู่นั้นจ้องไปที่เขา
“ดูให้ชัดๆสิ ว่าผมเป็นใคร” ฉู่เฉินซีหน้าตาบึ้งตึงและถามด้วยน้ำเสียงที่โกรธ
บรรยากาศรอบๆเต็มไปด้วยความเยือกเย็น หลินเวยมี่รู้สึกหนาวไปทั้งตัว สายตาของเขามันเหมือนกับสายตาของหมาป่า ทำให้เธอรู้สึกกลัว
คางของเธอถูกเค้าบีบไว้แน่น ทำให้สมองของเธอตื่นตัว เธอน่าจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เยือกเย็นและตามมาด้วยกลิ่นอายของความโกรธ
“พูดสิ”
“อะไร” หลินเวยมี่มองที่เขาด้วยท่าทางงงวย ไม่รู้ว่าเขาโกรธอะไรกันแน่
“ผมเป็นใคร”
“คุณเป็นบ้าไปแล้วหรอ เป็นบ้าก็ไปหาหมอสิ” หลินเวยมี่ขมวดคิ้วและเถียงออกไป และรู้สึกถึงความกดดันกำลังจู่โจมเข้ามา
“ให้ตายสิ มองให้ชัดๆ ถ้าคุณเรียกชื่อผู้ชายคนอื่นให้ผมได้ยินอีกผมจะเย็บปากคุณซะ” ฉู่เฉินซีพูดออกมาอย่างโมโห สายตาของเขาไม่อาจเก็บซ่อนความโกรธเอาไว้ได้
หลินเวยมี่คิดอยากจะเถียง แต่พอได้ฟังคำหลังเธอก็เงียบไปในทันที จะเย็บปากเธองั้นหรอนึกไม่ถึงว่าผู้ชายสารเลวคนนี้จะใช้วิธีนี้ขู่เธอ
ฉู่เฉินซีเห็นท่าทางเธอเริ่มประนีประนอม ความโกรธก็ลดลงไปครึ่งนึง ก็ล้มตัวลงนอนข้างๆเธอ และดึงเธอเข้ามากอด และค่อยๆหลับไป
แต่หลินเวยมี่ไม่ได้รู้สึกอยากนอนหลับเลย ถูกฉู่เฉินซีเคี่ยวกรำจนร่างกายเจ็บปวดไปหมด จนแรงจะขยับยังไม่มี จึงทำได้แค่นอนนิ่งให้เขากอด
ในใจก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา ยังไงเธอก็ไม่อาจจะหลุดพ้นจากพันธนาการของฉู่เฉินซีได้งั้นหรอ ไม่ใช่ตกลงกันแล้วหรอว่ามีเวลาเพียงแค่สามวัน เขามีสิทธิ์อะไรมาทำกับเธอแบบนี้
ในช่วงเวลาไม่นานสมองก็เริ่มสับสนวุ่นวายขึ้นมา สติก็เริ่มเลอะเลือนและหลับไป