บทที่ 35 นังตัวดี เธอวิ่งหนีไปไหนอีกแล้ว(1)
หลินเวยมี่เงยหน้ามองดูสายตาที่ประหลาดใจของหลินซินหยาง และดูเหมือนเธอจะเข้าใจแล้วว่าได้พูดผิดไป รีบใช้มือปิดปากไว้
“ฉันกับตาลุงนั่นเจอกันที่ข้างนอก” หลินเวยมี่ตอบอย่างเย็นชา และได้กวาดสายไปมองฉู่เฉินซีเขาทำหน้าเย็นชา เหมือนกับไม่ได้สนใจอะไร
“เฉินอะ นายต้องช่วยพี่เขยของนายนะ” น้าฉู่แสดงสีหน้ากังวล ดึงมือฉู่เฉินซีอย่างวิงวอน.
ฉู่เฉินซีเงยหน้ามองไปที่หลินจ่านหง มุมปากยิ้มเย้ยหยัน “เรื่องนี้ฉันไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้หรอก ให้พูดอีกทีก็คือมันเป็นปัญหาที่หลบซ่อนมาเมื่อ 20ปีก่อน ฉันจะช่วยยังไงได้ละ”
หลินเวยมี่มองพวกเขาอย่างแปลกๆ ไม่เข้าใจว่าพวกเขาจะพูดอะไรกันอีก อะไรคือปัญหาที่ซ่อนไว้เมื่อ20ปีที่แล้ว? แท้ที่จริงแล้วคือช่วงเวลาไหนกันแน่?
“เรื่องทั้งหมดนี้ฉันเป็นคนทำพลาดเอง ไม่ต้องให้ใครมาช่วยทั้งนั้น ฉันมันหาเรื่องเอง” หลินจ่านหงใช้สายตามองไปที่หลินเวยมี่ ด้วยแววตาที่เศร้าสร้อยแต่เข้าใจ และถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดต่อไปว่า
“เวยมี่ ฉันแค่หวังว่าเธอจะไม่มองคนผิดนะ เพราะถ้าผิดแล้วมันจะผิดไปทั้งชีวิต”
หลินเวยมี่มีอาการปากสั่นระริก เหมือนสมองจะนึกอะไรออก แต่ว่ามันกลับเร็วเกินไป กลับคว้าไว้ไม่ถึง แท้ที่จริงแล้วเหตุผลมันคือเรื่องอะไรกันแน่?
หลินจ่านหงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดินขึ้นไปด้านบนลำพัง หลินเวยมี่ให้ความสนใจกับหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะชา พาดหัวข่าวคือเรื่องการตรวจสอบสินค้าผิดกฎหมายของบริษัทพวกเขา
ทำไมของของบริษัทพวกเขาถึงผิดกฎหมายได้ละ? เธอได้ใช้สายตากวาดไปยังตัวของฉู่เฉินซี เขาใช้สายตาอันลุ่มลึกให้ความสนใจเธอ แววตาฉงน
“แหวนบนมือของเธอ..” น้าหรานอ้าปากค้างตกใจที่บนมือของหลินเวยมี่มีแหวนสวมอยู่ ท่าทางประหลาดใจ
หลินเวยมี่ชะงักไปหน่อยหนึ่ง แหวนดอกกุหลาบได้เผยออกมาต่อหน้าพวกเขา “น้าหราน น้าก็รู้จักแหวนวงนี้หรอ?
“แหวนประจำตระกูลโจ่ว ทำไมฉันถึงจะไม่รู้ละ” น้าหรานถอนใจเฮือกใหญ่ สายตามองไปยังอีกด้านหนึ่ง ภายในตานั้นเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าแหวนประจำตระกูลโจ่ววงนี้จะมาอยู่บนมือของเธอได้
กลับมาถึงห้อง หลินเวยมี่รู้สึกเหนื่อยไปทั่วทั้งร่างกาย เผลอหลับไป จวบจนตอนที่เธอตื่น ฟ้าก็กลายเป็นสีดำไปแล้ว
เธอเดินลงมา พร้อมกับตกใจเมื่อพบว่า ในบ้านมีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น
“พี่สาว” น้ำเสียงอันแผ่วเบาจากคนที่อยู่ข้างหลังของเธอ
เธอหันหลังกลับไปมองหลินซินหยานที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ ขมวดคิ้วย่น “ทำไมในบ้านเหลือแค่เรา 2 คนละ?”
“พ่อกับแม่ออกไปทำธุระข้างนอกแล้ว ลุงก็ออกไปเช่นกัน” หลินซินหยางพูดถึงตรงนี้ สังเกตสีหน้าของหลินเวยมี่อย่างระมัดระวัง
หลินเวยมี่ได้ยินว่าฉู่เฉินซีก็ออกไปแล้วนั้น คลายตัวลงและถอนใจโล่งเฮือกหนึ่ง ในที่สุดเจ้าปีศาจน่าขยะแขยงตัวนี้ก็ไปแล้ว ถ้าไม่กลับมาเลยอีกตลอดไปจะดีมาก
“พี่สาวกับคุณลุงดูมีความสัมพันธ์ต่อกันดีนะ” หลินซินหยานลองแกล้งถาม
สีหน้าของหลินเวยมี่เปลี่ยนไปมา กวาดสายตาพร้อมทั้งขมวดคิ้วไปยังหลินซินหยาง ความรู้สึกเอือมระอาถาโถม ไม่สมัครใจที่จะให้ใครต่อใครคอยจับคู่เขาและเธอให้อยู่ด้วยกัน
“ยังดีอยู่แหละ” เธอพูดจบ เดินลงไปข้างล่าง ในเวลานั้นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หลินเวยมี่ย่นคิ้ว มองไปยังเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย คนแรกที่คิดคือฉู่เฉินซี ชะงักไปพักหนึ่ง แต่เธอรับสายฟังแล้ว
“หลินเวยมี่ ฉันคือกู้จุนเฟิง”
จบประโยคนั้น ทำให้ความตื่นตระหนกทั้งหมดของหลินเวยมี่หายไป เธอยิ้มน้อยๆพลางเอ่ยปาก “เสี่ยวจื๋อ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“ฉันอยู่หน้าบ้านเธอแล้ว ออกมาหาหน่อยได้ไหม”
หลินเวยหมี่เริ่มรู้ตัวและกวาดสายตามองไปยังข้างนอกประตู ใบหน้ายิ้มพรายออกมา “ได้ เดี๋ยวฉันลงไป”
เธอรีบเดินลงมาชั้นล่าง พร้อมกับใบหน้าที่ไม่สามารถสะกดกลั้นความประหลาดใจไว้ได้ เป็นครั้งแรกที่เขาโทรหาเธอ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยติดต่อหาเธอเลย เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงจริงๆ
ตรงทางขึ้นลงบันได หลินซินหยานยืนอยู่ด้านหนึ่งมองหลินเวยมี่ที่ประตูทางออกอย่างเบิกบานใจ แววตาเกลียดชัง กำหมัดแน่น
ด้านนอกประตู มีรถออดี้คันใหม่จอดอยู่หนึ่งคัน หน้าต่างรถเปิดออก มือคาบบุหรี่พิงอยู่ที่หน้าต่าง
หลินเวยหมี่เดินเข้าไปใกล้เอามือแตะหลัง เอ่ยเสียงเบา “เสี่ยวจื๋อ”
กู้จุ้นเฟิงเปิดประตูรถ จุดไฟแช็ค สวมชุดสูททำมือจากฝรั่งเศส ยืนอยู่ต่อหน้าหลินเวยมี่ ภายในดวงตาดำขลับอันลึกลับราวกับมีผ้ามาคลุมไว้ ไม่ให้ใครดูออก ว่ามีอะไรแอบแฝงซ่อนเร้น
“คุณหนูหลิน ออกไปเดินเล่นด้วยกันไหม?” เขาถามเหมือนเป็นคนแปลกหน้า
เดิมทีหลินเวยหมี่รู้สึกเบิกบานใจได้เพียงชั่วครู่ก็กลับกลายเป็นความอึมครึม รับไม่ได้กับความเหินห่างของเขา เงยหน้ามองไปที่ตาเขา
ทั้งสองคนเหมือนอยู่กันคนละโลก ความเหินห่างอย่างนั้น ไกลจนไม่ก่อให้เกิดความรัก ดวงตาดำมืดมองลง พยักหน้า
กู้จุนเฟิงออกรถ เหลือบตามองผู้หญิงที่นั่งด้านข้าง เธอนอนหลับหัวผงกอย่างน่ารัก วางมือไว้ทั้งสองข้าง เขากลับเพียงแค่จุ๊บเบาๆเพราะกลัวเธอจะผิดหวัง
ผู้หญิงคนนี้กำลังผิดหวัง เป็นเพราะเขาปฏิบัติต่อเธออย่างเหินห่าง? ท่าทียิ่งถลำลึก มือจับที่พวงมาลัยแต่กลับไม่มีแรง
“วันนั้น เขาไม่ได้ทำอะไรเธอใช่มั้ย?” กู้จุนเฟิงถามติดขัด
หลินเวยมี่หรี่ตาลงเล็กน้อย เขามองออก กู้จุนเฟิงน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนที่ทำร้ายเธอวันนั้นคือใคร!
“เธอรู้เรื่องทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” หลินเวยมี่ถามอย่างควบคุมไม่ได้
กู้จุนเฟิงไม่ได้ตอบ นำรถจอดไว้ที่ข้างทาง ลงจากรถมายืนตรงราวสะพาน ปล่อยให้ลมทะเลพัดผ่านไป ทั้งตัวดูเหมือนรวมเข้าด้วยกันกับความมืด ความรู้สึกระทมทุกข์เหมือนกับสีของน้ำทะเล
หลินเวยหมี่ลงจากรถ ลมหนาวพัดมา เธอตัวสั่นเล็กน้อย กระชับเสื้อผ้าให้แน่น ไม่กล้าที่จะซักถามอะไร
บางทีทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ ทั้งหมดคือเรื่องบังเอิญ โดยเนื้อแท้กู้จุนเฟิงไม่มีทางมีเจตนาที่จะทำแบบนี้ เขาส่งเธอไปให้ฉู่เฉินซีแบบไม่มีเหตุผลได้อย่างไร?
ถูกต้อง ทั้งหมดคือเรื่องบังเอิญ เธอยืนอยู่ข้างหลังกู้จุนเฟิง ค่อยๆปิดตาปลอบใจตัวเอง ลมหนาวเกือบจะพัดพาร่างเธอไป ทันใดนั้น ร่างกายรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น กลิ่นจางๆของควันบุหรี่ถาโถม
เธอลืมตา มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้าม เขาโอบกอดเธอเบาๆ ความอบอุ่นแผ่ไปถึงเธอ
“เสี่ยว…เสี่ยวจื๋อ” เธอเรียกชื่อเขาด้วยความสงสัย เธอรู้สึกไม่เข้าใจการกระทำแบบนี้ของเขา ทำไมอยู่ดีๆเขาถึงมากอดเธอ
“เสี่ยวชี ยังจำได้ไหมทำไมฉันถึงเรียกเธอแบบนี้ เพราะตอนเด็กเธอชอบร้องไห้ ทุกครั้งล้วนเป็นฉันเองที่หยอกล้อเธอ หากไม่ปลอบ เธอก็ร้องไม่หยุด” กู้จุนเฟิงเบะปาก แสดงท่าทางน่าเอ็นดู
หลินเวยมี่อึ้งไป เหมือนได้ย้อนกลับไปเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก น้ำตาคลอเบ้า เดาไม่ออกเลยว่าแท้จริงเขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ทำไมอยู่ดีๆเขาพูดถึงเรื่องสมัยเด็ก