บทที่ 55 ลงอ่าง(1)
หลินเวยมี่เหมือนโดนฟ้าผ่า เธอนั่งช็อคอยู่บนเก้าอี้ เธออ้าปากค้างมองไปที่โจ่วชิงช๋วน เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวจื๋อกำลงจะแต่งงาน
ถึงตอนนี้แล้วเธอพึ่งจะตระหนักใจ ที่แท้การที่ได้คบหากับเสี่ยวจื๋อมันก็แค่เหมือนคนที่เดินผ่านมาตามทางเท่านั้น เป็นแค่คนแปลกหน้า ไม่เคยที่จะสนิทกัน
และเธอก็เคยไปบ้านเขาเพียงแค่ครั้งเดียว รู้แค่ว่าเขาเป็นนายกเทศมนตรี นอกนั้นเธอก็ไม่รู้อะไรเลย
ไม่เคยได้เดินเข้าไปในโลกของเขาเลย
“เวยมี่”โจ่วชิงช๋วนท่าทางเจ็บปวด คิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นแบบนี้จริงๆ เหมือนกับที่เขาคิดไว้ในใจไม่มีผิด หรือว่าในใจของเขากู้จุนเฟิงสำคัญมากขนาดนั้น
หลินเวยมี่ได้ยินเสียงของโจ่วชิงช๋วนก็รีบหัวเราะแบบแห้งๆออกไป เก็บความเศร้าเอาไว้ “ไม่เป็นไร แค่จู่ๆได้ยินข่าวว่าเขาจะแต่งงานก็เลยตกใจ”
“เขาจะแต่งเมื่อไหร่”
“วันมะรืน”
เธอเอามือลูบผมแล้วมองไปข้างนอก แววตาของเธอดูเย็นชา วันมะรืนหรอ คิดไม่ถึงเลยว่าจะแต่งเร็วขนาดนี้
ตอนที่กลับถึงบ้านฟ้าก็มืดแล้ว ตอนเธอกลับถึงบ้านภายในบ้านเงียบสงบ เธอไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องพวกนี้ รีบเดินตรงไปที่ห้องของตัวเอง
“เวยมี่ กลับมาแล้วหรอ” เสียงของผู้ชายลอยมา
หลินเวยมี่กระพริบตา และหันหน้าไปมองหลินจ่านหงที่ยืนอยู่ในห้องหนังสือ
“พ่อ” เธอเรียกและเดินตามเข้าไปในห้องหนังสือ
หลินจ่านหงยืนอยู่ข้างโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือ สายตาจ้องมองไปที่รูปถ่ายบนโต๊ะ แบบพูดเบาๆว่า “เวยมี่ ปีที่ผ่านมาเพราะว่าเรื่องของแม่เธอฉันเลยเป็นหนี้เธอ เธอคงไม่โกรธฉันหรอกใช่มั้ย”
หลินเวยมี่เงยหน้าและจ้องมองหลินจ่านหงอย่างลึกๆ เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ไม่คิดเลยว่าจะได้รับความรัก
“ไม่หรอก พ่อคือพ่อของหนู” เธอรีบตอบราวกับว่ากลัวความรู้สึกถูกรักนี้จะหายไป
“เด็กน้อย ช่วงที่ผ่านมานี้พ่อได้ทำเรื่องผิดพลาดไว้เยอะมาก อีกไม่นานพ่อคงได้รับบทลงโทษ ไม่ว่าจุดจบจะเป็นยังไง ไม่ต้องไปโกรธเกลียดคนอื่น” หลินจ่านหงถอนหายใจ เปิดตู้เชฟและหยิบกล่องไม้ออกมา ใช้กุญแจเปิดออก มันเป็นกุญแจสีเงินเล็กๆน้อยๆที่แขวนอยู่บนโซ่
“อันนี้ลูกเก็บไปไว้นะ พอถึงเวลาที่เหมาะสมจะมีคนบอกลูกเองว่านี่มันคือกุญแจของอะไร” เขาเอากุญแจห้อยคอไว้ให้เธอ “จำไว้นะ อย่าเชื่อใจใครง่ายเกินไป”
หลินเวยมี่พยักหน้า ก้มมองกุญแจที่ห้อยอยู่บนคอของเธอ คิดไม่ถึงว่าจะรู้สึกลับขนาดนี้
“ไปพักผ่อนเถอะ”
หลินเวยมี่เดินออกมาจากห้องหนังสือ พึ่งสังเกตได้ว่า สีหน้าของหลินจ่านหงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และเรื่องที่เขาพูดมันหมายความว่ายังไงกันแน่ ราวกับว่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
แต่ไหนแต่ไรเธอไม่ใช่คนที่จะชอบถามซอกแซก ในเมื่อเรื่องนี้ยังไม่รู้จุดจบ เธอก็ไม่คิดต่อ
พอคิดแบบนี้แล้ว เธอก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง
และเสื้อคลุมไว้ข้างๆ หยิบผ้าเช็ดตัวและเดินเข้าห้องอาบน้ำไป
พอเดินไปครึ่งทางเธอสังเกตได้ว่าภายในห้องมีอะไรที่ผิดปกติ จู่ๆเธอก็ตื่นตัวขึ้นมา และมองขึ้นไปบนเตียง
มีคนนึงพิงอยู่ที่นั้นอย่างสบายใจ ใบหน้าที่หล่อซ่อนอยู่ในความมืด ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกได้ถึงความคมชัดในสายตาของเขา
เธอไม่ได้รู้สึกตกใจใดๆ เธอขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ สองคบสบตากันอย่างเงียบๆ
“เปิดไฟ ผมเห็นหน้าคุณไม่ชัด” เขาพูดอย่างเชื่องช้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อย
หลินเวยมี่ถอนหายใจออกมายาวๆ ผู้ชายที่ตามเป็นวิญญาณตามติดคนนี้ ตอนกลางวันพึ่งจะหนีออกมาจากที่นั้น ตอนกลางคืนยังจะตามมาอีก เธอเบ้ปาก และเปิดไฟ
ไฟสีขาวทำให้ภายในห้องสว่าง จู่ๆแสงไฟที่จ้าทำให้เขาต้องหรี่ตาลง
“คุณกลับบ้านดึกจังเลยนะ”เขายิ้มมุมปาก แต่รอยยิ้มยังไม่ทันได้ส่งไปถึงดวงตาของเขาก็กลายเป็นความเย็นชา
“คุณก็ตามเป็นวิญญาณตามติดจังเลยนะ” เธอหัวเราะเบาๆ เธอกำหมัดแต่ก็กำไปโดนแผลเธอเลยขมวดคิ้วขึ้นมา
“มาดูคุณ”เขายักคิ้ว อาการของเธอเมื่อกี้เขามองเห็นหมดแล้ว “คุณจะไปลงอ่างกับผมหรอ”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก และสีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความรำคาญ “หมายความว่านายเป็นเป็ดใช่มั้ย”
คำพูดของเธอมีความหมายแฝง หลังจากเธอพูดเสร็จสีหน้าเขาของก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงจริงๆ
“คนนิสัยไม่ดี” เขาหัวเราะเบาๆ และยื่นมือไปจับเธอ “มานี่”
“จะทำอะไรอีก” เธอถามด้วยความลำคาน ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
“เร็วเข้า” เขาออกคำสั่ง “ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรคุณ รีบเข้ามา”