บทที่ 57 ลึกซึ้งถึงขั้นไหนแล้ว(1)
หลินเวยมี่มองใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มของผู้ชายที่ยืนขวางประตูห้องน้ำอย่างกลัดกลุ้ม ในเมื่อเธอไล่แล้วและอีกฝ่ายก็รู้ความหมายที่เธอต้องการจะสื่อออกไปทั้งหมด แต่ก็ยังไม่ไป
“ในเมื่อตกลงกันได้แล้ว คุณอาบน้ำเสร็จก็กลับไปเถอะ”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องน้ำ สีหน้าของฉู่เฉินซีดูไม่ดีนัก เขาเดินเข้าไปหาพร้อมกับเอื้อมมือหวังจะสัมผัสแก้มใสนั้น แต่หลินเวยมี่กลับเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว
ดวงตาพยายามซ่อนความรังเกียจเอาไว้ ถึงแม้จะเก็บซ่อนไว้ลึกเพียงใด แต่ฉู่เฉินซีกลับดูออกอย่างง่ายดาย มุมปากยกยิ้มบางๆ
“เธอเกลียดฉัน?”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วพลางขบคิดว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากคำถามนี้ เธอควรตอบตามจริงหรือโกหกดีนะ
ฉู่เฉินซีเหมือนรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เอ่ยขึ้นอย่างสบายๆ “ฉันต้องการฟังความจริง”
หลินเวยมี่มุมปากขยับพลางกระแอ่มไอเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ฉันเกลียดคุณแน่นอนอยู่แล้ว”
สีหน้าฉู่เฉินซีเปลี่ยนไปทันที ก็ถูกแล้ว เขาขอให้หลินเวยมี่พูดความจริงนี่
ยัยโง่นี่ก็พูดความจริงออกมาจริงๆซะด้วย!
“เธอเชื่อฟังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ฉันก็เชื่อฟังมาตลอด แค่คุณไม่เคยรู้” หลินเวยมี่โต้กลับ เสื้อผ้าที่เปียกชื้นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก เดิมทีเธอนึกว่าอีกฝ่ายจะรีบออกไปแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เธอจึงทำได้เพียงอดทนไว้“งานแต่งงานนายกเทศมนตรีกู้วันมะรืนนี้ ไม่รู้ว่าคุณหลินสนใจไปด้วยกันรึเปล่านะ” ฉู่เฉินซีเลิกคิ้วยียวนมองผู้หญิงตรงหน้า เธอชะงักงันพร้อมกับแววตาที่หม่นแสงลง
ดูเหมือนกู้จุนเฟิงคนนี้จะมีอิทธิพลกับหลินเวยมี่ไม่น้อยเลยเธอจึงดูใส่ใจมากขนาดนี้
ทำไมใจของเขาถึงรู้สึกเจ็บแปลกๆกันนะ
เขาหรี่ตาลง ในเมื่อนี่คือผู้หญิงของเขา ไม่ว่าจะร่างกายหรือหัวใจ ก็เป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น!
“ฉันไม่ไป!” หลินเวยมี่ตอบเสียงแข็งด้วยความไม่พอใจ จนรู้สึกได้ถึงความโกรธที่ถูกระบายออกมา
เมื่อเอ่ยออกไปแล้วเธอก็ตะลึงงัน ดูเหมือนในใจของเธอนั้นไม่ยอมรับและต่อต้านเรื่องการแต่งงานของกู้จุนเฟิง
“โอ๊ะ ไม่ไปจริงๆเหรอ?” เขาถามต่อ “ยังไงซะเขาก็เป็นคนในใจของเธอ เธอควรจะไปนะ”
สีหน้าของหลินเวยมี่ซีดลงพลางโต้กลับด้วยอารมณ์โกรธ “คนในใจอะไรกัน คุณอย่าพูดบ้าๆแบบนี้นะ ฉันกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกัน!”
พูดออกไปแล้วใจของเธอก็รู้สึกเจ็บ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันจริงๆ ไม่มีอะไรให้สงสัยทั้งนั้น จิตใต้สำนึกของเธอไม่อยากฟังสิ่งที่ฉู่เฉินซีกำลังสงสัยเกี่ยวกับเธอและกู้จุนเฟิงแม้แต่น้อย
แม้แต่น้อยก็ไม่อยากฟัง เพราะระหว่างเธอกับเขามันขาวสะอาดราวกับกระดาษ ไม่มีอะไรเลย…
“ตื่นเต้นทำไมกัน” เขาเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้แล้วกระซิบแนบชิดใบหูของเธอ “เคยอยู่ด้วยกันมาก่อนไม่ใช่หรือไง? ทำไมตอนนี้ถึงพูดว่าไม่เกี่ยวข้องกันแล้วล่ะ”
หลินเวยมี่จ้องเขาทันที แววตาไม่ได้ปิดบังความโกรธแม้แต่น้อย “ฉู่เฉินซี! คุณอย่าคิดว่าคนอื่นจะมีความคิดสกปรกเหมือนคุณสิ! ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ระหว่างฉันและเขามันไม่มีอะไรเลย”
ฉู่เฉินซีมองท่าทางการอธิบายที่ร้อนรนนั้น เขาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิดซ้ำยังรู้สึกโกรธเพิ่มขึ้น ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้วแววตาเจ็บปวดนั้นมันคืออะไรกันล่ะ
“แต่ดูจากแววตาของเธอแล้วฉันคิดว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นนะ จริงๆแล้วเธอกำลังหวังอะไรเกี่ยวกับเขากันแน่” เขาถามหยั่งเชิง
ดวงตาเธอฉายแววหวาดกลัวชั่วครู่ ราวกับกลัวว่าจะถูกล่วงรู้ความในใจ
เธอรีบหันหน้าหนีไปอีกทางพลางตอบเสียงอู้อี้ “ฉันจะคิดยังไงก็เป็นเรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับคุณสักนิด ออกไปได้แล้ว!”
ฉู่เฉินซีไม่เพียงแต่ไม่ออกไปแต่ยังขยับเข้าใกล้ ร่างกายสูงใหญ่ของเขากักกันเธอเอาไว้ “อย่าลืมสิว่าฉันเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ เรื่องของเธอจะไม่เกี่ยวกับฉันได้ยังไง”
เขาจงใจเน้นย้ำคำว่า ‘ผู้ชายคนแรก’ อย่างชัดเจน จากนั้นก็เห็นว่าใบหน้าของหลินเวยมี่ซีดเผือดลง แต่แววตาแห่งความเกลียดชังกลับเพิ่มขึ้น
“คุณต้องการให้ฉันพูดอะไรกันแน่?” เธอแหงนหน้ามองอีกฝ่ายพลางเอ่ยเสียงเย็น “ต้องการให้ฉันยอมรับว่ามีความสัมพันธ์กับกู้จุนเฟิงให้ได้เลยใช่ไหม”
“โอเค ฉันจะทำตามที่คุณต้องการ ฉันกับกู้จุนเฟิงมีความสัมพันธ์กัน แบบลึกซึ้งเลยล่ะ พอใจคุณรึยัง”
ฉู่เฉินซีขมวดคิ้วมองเม่นน้อยตัวเล็กตรงหน้า มุมปากยกยิ้มลึก “ลึกซึ้งขนาดไหนล่ะ กำลังดูๆกันอยู่?”
แทบจะไม่ได้คิดอะไร ฝ่ามือของหลินเวยมี่ก็ถูกส่งออกไปก่อนแล้ว
ฉู่เฉินซีจับข้อมือเล็กที่อยู่ห่างจากใบหน้าตนเพียงไม่กี่เซนติเมตรเอาไว้แน่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมราวกับกำลังโมโหใครอยู่
“เธอชอบเขาไม่ใช่หรือไง”
เพียงแค่ประโยคนี้ประโยคเดียวสิ่งที่หลินเวยมี่พยายามปกปิดเอาไว้ก็พังลง แววตาหม่นแสงลง ชอบแล้วยังไงล่ะ ก็ได้แค่แอบชอบเท่านั้นเอง
“ใช่ ฉันชอบเขา คุณต้องการให้ฉันพูดแบบนี้ใช่ไหม” เธอยิ้มเย็น พยายามแกะมือแข็งนั้นออก “ฉู่เฉินซี ฉันขอให้คุณระวังคำพูดเอาไว้ด้วย ใช่ ฉันชอบเขาแต่เรื่องมันก็มีแค่นี้แหละ ขอร้องคุณอย่าพูดถึงเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องพูดเลยนะ มันน่าโมโห!”