บทที่ 59 ความเชื่อใจที่มองไม่เห็น(1)
สัมผัสที่ชุ่มชื่นแม้จะมีรสบุหรี่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ทำให้เธอรังเกียจเลยแม้แต่น้อย หลินเวยมี่ชะงักมองอีกฝ่ายอย่างนึกสงสัย
ทำไมจู่ๆอีกฝ่ายก็จูบเธอล่ะ ไม่ใช่ว่ากำลังจะแต่งงานหรอกหรือ
“เสี่ยวชี ถ้าวันหนึ่งฉันทำเรื่องให้เธอต้องเสียใจเธอจะเกลียดฉันไหม” แววตาภายใต้แสงจันทร์นั้นฉายแววขื่นขมและน้ำเสียงด้วยความเจ็บปวด
หลินเวยมี่ชะงัก ไม่รู้ว่าทำให้เจ็บปวดที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงอะไร
กู้จุนเฟิงยกยิ้มอย่างยากลำบาก เธอจะไม่เกลียดได้ยังไงกันล่ะ ตอนนี้เขารู้สึกกลัว ไม่กล้านึกถึงสายตาเกลียดชังที่เธอจะมองมายังตนด้วยซ้ำ
“เกลียดสิ” ผ่านไปซักพักเธอจึงตอบออกมา เธอตอบออกมาตามความจริง ในเมื่อกู้จุนเฟิงมีอิทธิพลกับใจเธอขนาดนี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรก็ต้องส่งผลกับเธออยู่แล้ว
“ฉันรู้แล้ว ดึกมากแล้วกลับไปพักผ่อนเถอะ” เอ่ยจบเขาก็หมุนตัวเตรียมจากไป
หลินเวยมี่จับมือเขาไว้ ใบหน้าเคร่งเครียด “คุณหมายความว่าอะไรกันแน่คะ”
“ไม่มีอะไรหรอก” เขาตอบเสียงเรียบ แต่มือกลับกุมมือเธอไว้แน่น เขาสูญเสียทุกอย่างไปตั้งนานแล้ว ไม่สามารถสัญญาอะไรกับเธอได้ทั้งนั้น
หลินเวยมี่ปิดเปลือกตาลงอย่างผิดหวังตอนที่อีกฝ่ายปล่อยมือจากเธอ ได้เพียงแต่มองอีกฝ่ายเดินจากไป
วันที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้ หลินเวยมี่ฟุบหน้าบนราวระเบียงพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหงา
“พี่คะ ฉันเอาผลไม้มาให้” เสียงน่ารักดังมาจากด้านหลังของเธอ
หลินเวยมี่หันไปมองหลินซินหยานที่กำลังส่งยิ้มมาให้เธอ คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยพลางเอื้อมมือไปหยิบแก้วมังกรชิ้นหนึ่งส่งเข้าปาก
“สองสามวันมานี้เหมือนไม่เห็นน้าหรานเลย” หลินเวยมี่เอ่ยถามเสียงเรียบ จริงๆไม่ใช่ว่าเธอแค่ถามไปอย่างนั้น ถึงอย่างไรเธอก็คิดว่าน้าหรานไม่ต้องกลับมาอีกก็ดี
หลินซินหยานนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ใบหน้ามีความกังวล “พี่คงยังไม่รู้เรื่องบริษัทของคุณพ่อสินะ”
หลินเวยมี่ชะงัก ในใจรู้สึกไม่สงบขึ้นมาทันที นึกไปถึงเรื่องที่หลินจ่านหงบอกกับเธอเมื่อวานนี้ หรือว่าบริษัทมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ
“บริษัททำไมเหรอ”
“กำลังจะถูกยึด” หลินซินหยานถอนหายใจออกมาอย่างกังวล “พ่อกับแม่กำลังหาทางอยู่ หวังว่าจะมีคนเข้ามาช่วยได้บ้าง”
“ทำไมถึงจะถูกยึดล่ะ” เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น บริษัทที่อยู่มาได้อย่างมั่นคงมาโดยตลอด เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ยังไม่แน่ใจนัก ฉันรู้แค่ว่านายกเทศมนตรีคนใหม่เป็นคนตัดสินใจโดยตรง จริงสิ ผู้ชายคนที่พี่พามาบ้านครั้งที่แล้วเหมือนนายกเทศมนตรีคนนั้นมาก…”
สมองของหลินเวยมี่เบลอไปชั่วขณะ ใบหน้าซีดลงเรื่อยๆ เป็นกู้จุนเฟิงได้ยังไง?
ตัวของเธอสั่นระริก สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน “เป็นเขาจริงๆเหรอ”
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า” หลินซินหยานถามอย่างระวังระคนสงสัย
ไม่น่าล่ะเมื่อวานอีกฝ่ายถึงถามเธอว่าจะเกลียดกันหรือเปล่า ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง
ไม่ได้ เธอต้องไปถามให้รู้เรื่อง เธอไม่เชื่อว่าสาเหตุจะมาจากบริษัทของพ่อเธอ ดังนั้นสิ่งเดียวที่อธิบายได้ตอนนี้คือมีคนใส่ร้ายแน่ๆ
เธอลุกขึ้นยืนและเตรียมออกไปข้างนอก เพียงแค่เปิดประตูออกไปเท่านั้นเธอก็พบกับร่างๆหนึ่งขวางทางเธอไว้ ยังไม่ทันได้มองว่าเป็นใคร เธอก็ถูกฝ่ามือนั้นตบลงมาบนใบหน้าเสียแล้ว
ใบหน้าถูกตบจนหันไปอีกด้านหนึ่งพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแสบ
“นังตัวดี! แกอยากทำลายครอบครัวฉันใช่ไหม แกร่วมมือกับคนอื่นเพื่อมาทำลายบ้านฉันใช่ไหม”
น้าหรานโกรธจนดวงตาแดงก่ำ มือจิกทึ้งเส้นผมของหลินเวยมี่เอาไว้พลางถามอย่างโมโห
“แม่ทำอะไรน่ะ” หลินซินหยานร้องขึ้นอย่างตกใจแล้วรีบไปดึงน้าหรานเอาไว้
“ปล่อยฉัน ฉันจะสั่งสอนนังตัวดีนี่! บ้านของพวกเรากำลังถูกมันทำลาย แกไม่รู้หรือไง” น้าหรานตวาดเสียงดัง มือยังคงจิกทึ้งเส้นผมหลินเวยมี่ไม่ยอมปล่อย
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงคำรามดังขึ้น ทำให้ทุกคนหยุดการกระทำทุกอย่างลงทันที
น้าหรานปล่อยมือพลางผลักหลินเวยมี่ออกอย่างโมโห หลินเวยมี่ที่เส้นผมยุ่งเหยิงโอนเอนไปอีกทาง ใบหน้าแทบดูไม่ได้ เธอมองไปยังหลินจ่านหงด้วยดวงตาแดงก่ำพร้อมกับน้ำตาที่คลอหน่วย
“คุณพี่คะ! ก็เพราะนังเด็กคนนี้มันชักศึกเข้าบ้าน ไม่อย่างนั้นบริษัทเราจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกันคะ” น้าหรานเอ่ยอย่างโกรธแค้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
หลินจ่านหงไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่มองหลินเวยมี่เงียบๆ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางเดินเข้าไปหาทุกคน “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเวยมี่ คุณจะโมโหเธอทำไมกัน”
“เห็นกันอยู่ว่านังนี่พากู้จุนเฟิงเข้ามา! คุณพี่คะบริษัทเราจะพังอยู่แล้ว คุณยังจะปกป้องมันอีกเหรอคะ!” น้าหรานกัดฟันมองหลินเวยมี่อย่างเคียดแค้นพร้อมก่นด่าอย่างโมโห
“ฉันบอกแล้วไงว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเวยมี่ คุณยังจะพูดบ้าอะไรอีก”
น้าหรานจ้องหลินเวยมี่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ จากนั้นจึงดึงหลินซินหยานออกไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เมื่อทั้งสองออกไปแล้ว หลินจ่านหงจึงเดินไปหาหลินเวยมี่พลางตบไหล่เธอเบาๆ “เวยมี่ อย่าคิดมากเลยนะ ลูกไม่ใช่สาเหตุของเรื่องนี้”
แววตาของหลินเวยมี่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เธอเงยหน้ามองหลินจ่านหง เอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง “พ่อคะ เป็นฝีมือของกู้จุนเฟิงจริงๆเหรอคะ”
หลินจ่านหงที่ชีวิตผ่านอะไรมาเยอะถอนหายใจออกมา “เวยมี่ ลูกอย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลย พ่อแค่อยากให้จากนี้ไปลูกมีความสุขก็พอแล้ว”
มือของหลินเวยมี่กำแน่น ที่หลินจ่านหงพูดแบบนี้แสดงว่าทั้งหมดคือความจริงสินะ เป็นฝีมือของกู้จุนเฟิงจริงๆ
“หนูจะไปถามเขา!” เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วรีบวิ่งออกมา ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องได้ยินจากปากของกู้จุนเฟิงว่าทำแบบนี้ทำไม!