บทที่62 ยัยโง่ ดูแลตัวเองไม่ได้หรือไง(2)
“กู้จุนเฟิง” เธอกัดฟันเอ่ยออกมาทีละคำ ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
“เวยมี่ ไปเถอะ ฉันจะพาไปทำแผล” โจ่วชิงซ๋วนจูงมือเธอ
เธอหมุนตัวออก ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีพร้อมแกะมือของอีกฝ่ายออก “โจ่วชิงซ๋วน นายก็เหมือนกับกู้จุนเฟิง! ปล่อยซะ ฉันไม่อยากเจอหน้าพวกนายอีก”
ใบหน้าของโจ่วชิงซ๋วนเหยเก ปล่อยมือออกอย่างจำยอม
“เวยมี่ เธอก็รู้ว่าต่อให้ฉันรู้เรื่องของเขาฉันก็ไม่เข้าไปยุ่งอยู่ดี”
เวยมี่แสยะยิ้ม แววตาดุดัน “นายรู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว แต่นายก็ไม่บอกฉัน นายก็คงจะเป็นพวกเดียวกับเขาสินะ ที่รวมหัวกันทำเรื่องเลวๆ!”
ใบหน้าของโจ่วชิงซ๋วนมีความลำบากใจปรากฏอยู่ เขารู้ว่าตอนนี้หลินเวยมี่กำลังโกรธ แต่สิ่งที่เธอพูดมามันก็ไม่ผิดสักนิด ในเมื่อเขารู้อยู่แล้วแต่กลับไม่เตือนให้เธอรู้
ว่าแต่เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน เขาก็ไม่กล้าถามออกไป
แต่ต่อให้เขาเตือนเธอแล้วยังไงล่ะ ยังไงซะกู้จุนเฟิงก็จัดการทั้งหมดได้อยู่ดี
หลินเวยมี่สูดหายใจลึกรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหน้าอก เธอไม่มีเรี่ยวแรงที่จะแบกรับความเจ็บปวดครั้งนี้ได้เลย
ผู้ชายที่เธอแอบรักมาตลอดสิบปี หลอกใช้เธอมาตั้งแต่แรก
สุดท้ายยังฆ่าคนในครอบครัวที่เธอรักที่สุด เธอจะทำใจได้อย่างไรกัน
“เวยมี่ยังไงซะก็ให้ฉันพาเธอไปทำแผลก่อนเถอะนะ” น้ำเสียงอีกฝ่ายออดอ้อนพลางจับมือเธอไว้แน่นพยามพาเธอขึ้นรถ
“ปล่อยเธอซะ”
ยังไม่ทันที่หลินเวยมี่จะได้ต่อต้าน เสียงเยือกเย็นที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นด้านหลังของทั้งสองคน
โจ่วชิงซ๋วนหยุดชะงัก ขมวดคิ้วมองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
หลินเวยมี่หันไปมองเช่นกัน ฉู่เฉินซีกำลังเดินมาหาเธอด้วยท่าทีเรียบนิ่ง อีกฝ่ายสวมชุดสบายๆสีน้ำเงินเข้ม เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายแข็งแรงนั้นยิ่งขับให้อีกฝ่ายดูดีขึ้นไปอีก
ผมด้านหน้าที่ค่อนข้างยาวนั้นบดบังดวงตาที่เฉียบคมของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างพอดิบพอดี
“ฉันจะพูดอีกครั้ง ปล่อยเธอซะ” แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มแต่น้ำเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยอำนาจคุกคาม
โจ่วชิงซ๋วนขมวดคิ้วสบตาอีกฝ่าย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงปลายกระบอกปืนเย็นเฉียบจ่อเข้าเอว เขาขมวดคิ้ว สายตาไม่ได้หวาดกลัวสักนิด แต่ก็ยอมปล่อยมือหลินเวยมี่โดยดี
หลินเวยมี่รีบเดินไปหาฉู่เฉินซีทันทีเมื่อเป็นอิสระ เมื่อคิดดูแล้ว เธอยอมที่จะอยู่กับปีศาจร้ายอย่างฉู่เฉินซี ดีกว่าอยู่กับคนที่เกี่ยวข้องกับกู้จุนเฟิง
“ขอบคุณคุณชายโจ่วที่ช่วยดูแลผู้หญิงของผม” ฉู่เฉินซีฉีกยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับสายตาที่ยียวน
โจ่วชิงซ๋วนมองหลินเวยมี่อย่างกังวล “เวยมี่ เธอจะไปกับเขาจริงๆเหรอ”
“ผู้หญิงของผมถ้าไม่ไปกับผมจะไปกับใครล่ะ?” ดวงตาฉู่เฉินซีแข็งกร้าว มือใหญ่โอบเอวหลินเวยมี่แน่นยิ่งขึ้น แล้วพาเธอเดินไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
โจ่วชิงซ๋วนมองหลินเว่ยมี่ที่ไปกับอีกฝ่าย เขากำลังจะตามไป แต่ปลายกระบอกปืนที่กดลงบนเอวนั้นแรงขึ้นทำให้เขาต้องชะงัก
“คุณชายโจ่ว ฉลาดหน่อยเถอะ นายท่านไม่ใช้คนที่คุณจะต่อกรด้วยได้”
หลินเว่ยมี่ผ่อนคลายขึ้นมาบ้างเมื่อขึ้นมาบนรถ เธอรู้สึกอ่อนล้า ศีรษะพิงลงบนขอบหน้าต่างรถ ดวงตาทั้งสองข้างปิดลง ความกดดันบางอย่างในใจทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ออก พอหลับตาลงในสมองก็มีแต่ภาพสีแดงของเลือด เธอกำมือแน่นจนแผลที่กลางฝ่ามือมีเลือดไหลออกมาอีกครั้ง
“หันหน้ามานี่” น้ำเสียงเยือกเย็นออกคำสั่ง
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็ยอมเชื่อฟังหันหน้าไปหาอีกฝ่าย เธอสบตาเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่าย ดวงตานั้นฉายแววดุดัน ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยความโกรธ
“ยัยโง่ เธอปกป้องตัวเองไม่เป็นหรือไง”
หลินเวยมี่เหยียดยิ้มดวงตาว่างเปล่าพลางเอ่ยอย่างโกรธแค้น “สมน้ำหน้า!”
“ถ้าฉันไม่พากู้จุนเฟิงกลับบ้านด้วย พ่อก็คงไม่ตาย ความจริงฉันนี่แหละคือฆาตกร เป็นฉันที่ทำให้คนที่ตัวเองรักที่สุดต้องตาย”
หลินเวยมี่จิกทิ้งผมตัวเองอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเธอทั้งนั้น
ฉู่เฉินซีรั้งตัวเธอเข้ามากอดไว้แน่น ประคองใบหน้าเธอไว้แล้วจูบลงหนักๆ พลางเอ่ยปลอบโยนเสียงเบา “ไม่เป็นไร เด็กดี ไม่เป็นไรนะ”
“ไม่ใช่ความผิดของเธอ ไม่ใช่ความผิดของเธอเลยสักนิด ต่อให้เธอไม่พาเขาเข้าบ้าน เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นอยู่ดี ใจเย็นๆเถอะนะ”
หลินเวยมี่ซบหน้าลงกับหน้าอกแกร่งของอีกฝ่าย แม้ไม่ได้ร้องไห้ออกมาเสียงดัง มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆเท่านั้น แต่มันกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก
ฉู่เฉินซีลูบเส้นผมเธอเบาๆ เขาผินมองใบหน้าด้านข้างของเธอด้วยสายตานิ่งลึก
เธอร้องไห้จนหลับไปบนอกแกร่งของเขา ฉู่เฉินซีหรี่ตาลงพลางเอ่ยเสียงเรียบ “หยิ่ง พรุ่งนี้อย่าลืมส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้กู้จุนเฟิงล่ะ”
“ครับนายท่าน” หยิ่งพยักหน้าพร้อมกับสายตาที่เยือกเย็น
“กู้จุนเฟิงคงคิดว่ามีพ่อตาเป็นรัฐมนตรีแล้วจะยิ่งใหญ่คับฟ้าสินะ เพ้อเจ้อจริงๆ” ฉู่เฉินซีหัวเราะเสียงเย็น
แต่ทว่าเขาก็รู้สึกขอบคุณกู้จุนเฟิง เพราะอย่างน้อยตอนนี้ผู้หญิงในอ้อมกอดก็ได้มาอยู่กับเขาแล้ว
เขาก้มหน้าลงจึงมองเห็นปานรูปผีเสื้อบนไหล่เล็กได้พอดี นิ้วมือเย็นของเขาลูบไล้เบาๆบนรอยนั้น
ฉู่เฉินซีสัมผัสลงบนแก้มที่ขึ้นรอยแดงของเธอด้วยสายตาครุ่นคิด “อยากรู้จริงๆว่าเธอจะตอบโต้ยังไง”
หยิ่งเงยหน้าขึ้นดวงตาเรียบนิ่งนั้นเปล่งประกาย แล้วจึงก้มหน้าลงเช่นเดิม “คุ้มค่าที่จะรอมากครับ”
“นายพูดถูก ฉันแทบรอไม่ไหวเลยล่ะ” ฉู่เฉินซียิ้มบางเบา พร้อมกับขยับตัวเล็กน้อย
คิ้วเรียวของหลินเวยมี่ขมวดมุ่น ร่างเล็กขยับเข้าไปซุกในเสื้อของเขาเพื่อหาที่ๆสบายแล้วจึงหลับต่อ
ฉู่เฉินซียกยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ และนั่งนิ่งไม่ขยับ
หยิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย ถ้านายท่านไม่ได้รู้สึกอะไรกับหลินเวยมี่ก็คงไม่ใส่ใจเธอขนาดนี้หรอกจริงไหม