บทที่68 ฉันจะทำให้เธอต้องมาขอร้องฉัน(2)
“ผมกับเธอไม่ได้เกี่ยวข้องกัน”
น้ำเสียงและแววตากู้จุนเฟิงเรียบนิ่ง “โจ่วซิน ผมและเธอไม่ได้มีอะไรกันทั้งนั้น ถ้าคุณอยากหย่างั้นพรุ่งนี้เราก็หย่ากันเถอะ”
ประโยคนั้นทำให้ลมหายใจโจ่วซินสะดุด ต่อมาเธอก็รู้สึกกลัว คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยอมหย่า
ที่บอกว่าจะหย่าเธอแค่เรียกร้องความสนใจไปอย่างนั้น แต่ในใจเธอไม่ยอมหย่าอยู่แล้ว เธอทนไม่ได้หากกู้จุนเฟิงจะมีผู้หญิงคนอื่นจริงๆ
ในงานแต่งงานของเธอ หลินเวยมี่กล้าที่จะทำท่าทีมีลับลมคมในกับกู้จุนเฟิงต่อหน้าเธอ และไหนจะพูดแบบนั้นกับเธออีก ดูก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ธรรมดา
“หยุดวุ่นวายได้แล้ว!” โจ่วลี่เฉียงตะคอก ใบหน้าโกรธเกรี้ยวมองไปยังกู้จุนเฟิง “จินเฟิง เรื่องระเบิดยังไงก็ต้องหาคำตอบมาให้ได้!”
กู้จุนเฟิงมองโจ่วลี่เฉียง ปากหนาเม้มแน่น ใครเป็นคนระเบิดเขารู้ดีอยู่แล้ว แต่เกิดขึ้นในวันงานแต่งของเขา มันหยามหน้าเขามาก
“ครับ” เขาตอบรับ สายตาเยือกเย็น
กู้จุนเฟิงรู้ดีว่าเรื่องนี้มันทำให้เขาเครียดมากแค่ไหน สมองของเขาวุ่นวายไปหมด โดยเฉพาะสมองของเขามันยังปรากฏภาพที่หลินเวยมี่โน้มลำคอเขาลงมากระซิบแนบชิด
เขาบ้าไปแล้วจริงๆ สถานการณ์แบบนี้ยังจะคิดถึงเธออยู่อีก
แต่เขาก็ไม่ลืมสายตาเกลียดชังที่เธอส่งให้ ตอนนี้เธอคงเกลียดเขามากสินะ
“พี่เขย ผมเพิ่งไปหาหลินเวยมี่มา”
กู้จุนเฟิงได้ยินดังนั้นก็รีบเลื่อนสายตากลับมาทันที แล้วจึงพบว่าตอนนี้ห้องรับแขกเหลือเพียงเขาและโจ่วชิงซ๋วน
“นายไปหาเธอ?” สีหน้าเขาเคร่งขรึม แววตาสั่นไหว “เธอได้คุยอะไรกับนายบ้างไหม”
“แทบไม่ได้พูดอะไรเลย เพราะคุณเธอเลยเกลียดผม” โจ่วชิงซ๋วนดูเสียใจมาก เขาพิงโซฟาอย่างเฉื่อยชา “ถึงผมจะไม่รู้ว่าระหว่างคุณกับเวยมี่รู้สึกยังไงต่อกัน แต่ผมขอเตือนคุณ ตอนนี้คุณเป็นพี่เขยของผม หวังว่าคุณจะไม่ทำให้พี่สาวของผมเสียใจ”
กู้จุนเฟิงมองอีกฝ่ายนิ่ง แววตาเยาะเย้ยตัวเอง “ฉันกับเธอไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทั้งนั้น”
“ดีแล้วล่ะ” โจ่วชิงซ๋วนลุกขึ้นพลางบิดขี้เกียจ “ผมไม่สนว่าคุณจะทำอะไร แต่หวังว่าคุณจะได้โปรดโอนอ่อนกับเวยมี่ด้วย”
มือที่กำแน่นของกู้จุนเฟิงวางไว้บนโต๊ะสายตายากที่จะคาดเดา เขาสับสนอย่างมาก ทำไมในเมื่อหลินจ่านหงก็ตายไปแล้วแต่เขากลับไม่ดีใจที่ได้แก้แค้นเลย
อีกทั้งทุกครั้งที่ได้เห็นสายตาเกลียดชังของหลินเวยมี่ ในใจก็รู้สึกผิดขึ้นมา รู้สึกผิดที่ตัดสินใจทำแบบนี้ ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ของเขากับหลินเวยมี่คงจะดีกว่านี้
ขมวดคิ้วจนเป็นปม พิงศีรษะลงบนพนักโซฟา แววตาปรากฏความเศร้าซึม เขายกแขนขึ้นบนข้อมือมีสร้อยสีเงินเส้นหนึ่งสวมไว้อยู่
สร้อยข้อมือไม่มีความแวววาวเหลืออยู่แล้ว ไม่ได้สวยงามเมื่อเขาสวมใส่มัน แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะทิ้งมันไป
เขานึกถึงฤดูกาลที่ดอกฮว๋ายฮวาผลิบานตอนนั้น เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกระโดดเข้ามาในอ้อมกอดเขา ถ้าเหตุการณ์ตอนนั้นไม่เกิดขึ้นเรื่องระหว่างพวกเขาคงไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหม
ใบหน้าเศร้าหมอง จิตใจห่อเหี่ยว แต่เขาเข้าใจดีว่าโลกนี้ไม่สามารถย้อนเวลาได้
คฤหาสน์ตระกูลหลินกำลังวุ่นวาย มีคนขนของเข้าๆออกๆตลอด หลินเวยมี่มองภาพตรงหน้าอย่างสงสัย รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
เธอเดินหลบคนเหล่านั้นแล้วเดินเข้ามาภายในบ้าน ขณะนั้นเองน้าหรานก็มองเห็นเธอ
“น้าหราน เกิดอะไรขึ้น” หลินเวยมี่ถามอย่างร้อนใจ
เพี้ยะ! เสียงตบดังขึ้น หลินเวยมี่ชะงักหลับตาแน่น เมื่อลืมตาขึ้นก็พบกว่าหลินซินหนานที่ใช้ตัวบังเธอไว้ เธอดึงอีกคนออกทันที
ใบหน้าของหลินซินหยานถูกตบลงมาเต็มแรง ดังนั้นแก้มเธอจึงขึ้นรอยช้ำอย่างรวดเร็ว
“แกโง่รึไง ไปรับตบแทนมันทำไม” น้าหรานถามอย่างโมโห
หลินซินหยานมองน้าหรานอย่างน่าสงสาร พลางอ้อนวอน “แม่อย่าทำแบบนี้กับพี่เลย มันไม่ใช่ความผิดของพี่”
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้น มองหลินซินหยานอย่างซาบซึ้งใจ อย่างน้อยในสถานการณ์แบบนี้ก็มีหลินซินหยานที่ช่วยเธอพูด เธอซาบซึ้งจริงๆ
“ถ้าไม่ใช่มัน เรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไง พวกเราจะเสียทุกอย่างไปแบบนี้ไหม แล้วไหนจะหนี้อีก!” น้าหรานกัดฟันเอ่ยอย่างโมโห สายตาเชือดเฉือนราวกับมีดมองมายังหลินเวยมี่อย่างไม่ลดละ
หลินเวยมี่ชะงัก ไม่เข้าใจสิ่งที่น้าหรานพูด เธอรีบถามขึ้นทันที “น้าหราน น้าพูดอะไร หนี้ของพวกเรา? เราไม่เหลืออะไรแล้วงั้นเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ! แกเก่งนักไม่ใช่เหรอ ถ้าเก่งนักก็ไปจับผู้ชายรวยๆมาสักคน ให้มันใช้หนี้ให้พวกเรา แล้วเอาบ้านคืนกลับมา!” น้าหรานเกรี้ยวกราด
ศีรษะหลินเวยมี่เหมือนโดนตีแรงๆ เธอไม่นึกเลยว่าตอนนี้เธอจะไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แม้กระทั่งบ้านที่เธออาศัยมาทั้งชีวิต!
บ้านแห่งนี้มีความทรงจำเต็มไปหมด ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่ยอมให้บ้านหลังนี้โดนขายเด็ดขาด
ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงคำพูดและรอยยิ้มร้ายของผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนั้น อีกฝ่ายเอ่ยกับเธออย่างมั่นใจว่า ‘อีกหนึ่งสัปดาห์ ฉันจะทำให้เธอต้องมาขอร้องฉัน’
คิ้วเรียวของเธอขมวดแน่น หรือเธอจะต้องไปขอร้องอีกฝ่ายจริงๆ?