บทที่ 66 เข้าร่วมงานแต่งงาน(2)
สายตาเธอเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม เธอลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังกู้จุนเฟิง
ฉู่เฉินซีเลิกคิ้วขึ้นพร้อมยกยิ้มอย่างนึกสนุก ไม่ได้เข้าไปห้ามเธอ
“จินเฟิงเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ” โจ่วซินจับแขนของกู้จุนเฟิงแน่นด้วยความหวาดกลัว
กู้จุนเฟิงจ้องมองผู้หญิงที่กำลังเดินมาหาเขา มือของเธอกำแน่น ใบหน้าสวยนั้นเย็นชา
“เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน” โจ่วซินมองคนที่วิ่งออกไปจากพิธีแต่งงานของเธออย่างผิดหวัง ดวงตาหม่นหมอง เธอไม่นึกเลยว่างานแต่งงานที่เธอรอคอยมาตลอดจะพังลงแบบนี้
ใบหน้าของหลินเวยมี่ปรากฏรอยยิ้มแค้น เธอยืนตรงหน้ากู้จุนเฟิง เหลือบมองโจ่วซินอย่างเยาะเย้ย มือบางโน้มคอกู้จุนเฟิงลงมา ริมฝีปากขยับชิดใบหูอีกฝ่าย
“กู้จุนเฟิง คุณไม่ละอายใจบ้างเหรอ ตอนกลางคืนคุณนอนหลับได้ลงงั้นเหรอ” เธอกระซิบเสียงเบา ในสายตาคนอื่นคงดูเหมือนทั้งสองสนิทสนมกัน
โจ่วซินมองทั้งสองด้วยใบหน้าซีดเผือด เธอนึกไปถึงกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เธอเจอในถังขยะ และสายตาของคนทั้งสองที่มองกันในห้องน้ำ
แสดงว่าทั้งสองคนมีปัญหากันงั้นเหรอ!
และตอนนี้กู้จุนเฟิงก็ไม่ได้ผลักหลินเวยมี่ออกไป
ดวงตาลึกล้ำ จมูกสูดกลิ่นกายหอมสะอาดจากตัวเธออย่างไม่รู้เบื่อ ทำให้จิตใจของเขาสงบลงชั่วคราว
ถึงแม้จะรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังจากดวงตาสวยของเธอ แต่เขาก็ไม่ได้ผละออกห่าง
“ความแค้นเรื่องพ่อฉันไม่ลืมมันแน่ และความแค้นระหว่างเราฉันจะค่อยๆให้คุณชำระมัน กู้จุนเฟิงตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าการเกลียดใครสักคนรสชาติมันเป็นยังไง”
กู้จุนเฟิงรู้สึกได้ถึงความแค้นในน้ำเสียงของเธออย่างชัดเจน ดวงตาคมมีความอ่อนล้า
“การเกลียดใครสักคนมันเหนื่อยมาก”
“เหนื่อย?” คิ้วเรียวเลิกขึ้น “ก็คงดีกว่าการที่ต้องทนเจ็บปวด”
ร่างของเธอเต็มไปด้วยกระแสของความเจ็บปวด ดวงตาถูกระบายไปด้วยความแค้น เธอยิ้มเย็นชาแล้วสัมผัสลงบนลำคออีกข้างของเขาที่โจ่วซินมองไม่เห็น
กู้จุนเฟิงไม่ได้ต่อต้าน ยืนนิ่งๆปล่อยให้เธอขบกัด
กระทั่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวของเลือด เธอจะปล่อยเขาเป็นอิสระ สายตาเย้ยหยันส่งไปยังโจ่วซิน “คุณโจ่วซินคะ ครั้งหน้าก็เฝ้าผู้ชายของคุณดีๆนะคะ อย่าโง่ปล่อยให้เขาไปแอบกินที่ไหนอีก”
เธอยิ้มส่งท้ายแล้วหมุนตัว มือเล็กกำเข้าหากันแน่น เท้าหนักอึ้งเดินเข้าไปหาฉู่เฉินซี อีกฝ่ายวางแก้วเหล้าลง ยืนขึ้นพร้อมกับโอบเอวเธอเอาไว้
มือหนาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดริมฝีบางของเธอ และทิ้งผ้าลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี จากนั้นก็เดินออกจากงาน
หลินเวยมี่ที่ไร้เรี่ยวแรงถูกฉู่เฉินซีประคองออกมา จนกระทั่งถึงรถเธอจึงถอนหายใจออกมาอย่างแรง
ฉู่เฉินซีนั่งลงข้างๆเธอ มือหนาเชยคางเรียวขึ้นแล้วประกบจูบร้อนแรงลงมาทันที เขาละเลียดทุกซอกทุกมุมของปากเธอ
ราวกับต้องการล้างสัมผัสที่เธอเพิ่งทำไปเมื่อครู่กับผู้ชายคนอื่น จนกระทั่งริมฝีปากและลิ้นแห้งผากเขาก็ผละออก
ฉู่เฉินซีจดจ้องและสัมผัสลงบนริมฝีปากแดงของเธอพลางเอ่ยเบาๆ “ฉันไม่พอใจ”
แววตาหลินเวยมี่เรียบนิ่ง ใบหน้าเย็นชาหันไปอีกทาง แต่ก็ถูกมือหนารั้งให้เธอหันมาดังเดิม
น้ำเสียงดุดันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หลินเวยมี่ ฉันบอกว่าฉันไม่พอใจไง”
หลินเวยมี่สบหน้าอีกฝ่ายแล้วหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงเย้ยหยันเอ่ยถาม “ทำไมคะ คุณชายฉู่เป็นอะไรไป หึงงั้นเหรอ?”
คิ้วหนาขมวดเป็นปมอย่างโมโห ดวงตาลึกล้ำน้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น “หลินเวยมี่ ฉันไม่ได้เป็นคนทำลายครอบครัวของเธอสักหน่อย เธอไม่มีสิทธิ์มาโมโหฉันแบบนี้”
“หึหึ ฉู่เฉินซี คุณรู้ทุกอย่างตั้งแต่แรก แต่คุณก็ไม่หยุดมัน และก็ไม่บอกฉันอีกด้วย” หลินเวยมี่ราวกับสัตว์ตัวเล็กที่กำลังโมโห เสียงเย็นถามซ้ำ “คุณก็เหมือนคนอื่นๆที่เฝ้ามองเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วพอถึงเวลาก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆฉัน”
“เทียบกันแล้ว คุณไม่ได้เปิดเผยเท่ากู้จุนเฟิง ไม่สิ คุณสองคนก็เลวเหมือนกันนั่นแหละ!” หลินเวยมี่กัดฟันด่าอย่างโมโห
สีหน้าฉู่เฉินดุดัน ความโกรธแผ่กระจายออกมาทั่วรถจนเย็นยะเยือก
ทั้งสองจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมแพ้
“จอดรถ!” เขาเอ่ยเสียงเย็น มือใหญ่กำแน่นจนเส้นเลือดเด่นชัด
รถหยุดลงทันที เขาเปิดประตูอย่างแรง จับเข้าที่คอเสื้อของหลินเวยมี่แล้วโยนเธอลงบนพื้น
หลินเวยมี่ฟุบลงบนพื้น มองดูรถที่เคลื่อนออกไปด้วยความเร็ว มุมปากยกยิ้มอย่างโล่งอก เธอพยุงตัวลุกขึ้น ชุดราตรีถูกก้อนหินเฉือนจนขาดรุ่ย แขนของเธอก็ถลอกจนเลือดไหลออกมา
เธอถอนหายใจออกมา มองเมืองใหญ่แห่งนี้อย่างสิ้นหวัง คิดขึ้นได้ว่าเธอไม่มีที่ให้ไป เธอควรจะไปที่ไหนดีนะ เป็นครั้งแรกที่คิดว่าบ้านที่หนาวเหน็บหลังนั้นก็ไม่เลว