บทที่106 นอนด้วยกัน(2)
หลินเวยมี่ได้ยินคำพูดอันห่วงใยของเขา ใบหน้าน้อยใจซบลงบนอกเขา การที่เขาเเละเธอได้อยู่ด้วยกันเป็นเรื่องยากอยู่เเล้ว เธอจะปล่อยให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาถ่วงช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันได้ยังไง ?
“ยัยโง่ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอ” กู้จุนเฟิงเดาความคิดของเธอออกอย่างชัดเจน แววตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู
“จุนเฟิง นี่คือเเฟนหรอ ? สวยดีนะ” คุณป้าคนหนึ่งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าของหลินเวยมี่แดงจนลามไปถึงต้นคอในทันที มือกำเสื้อของเขาเเน่น แต่ในใจตั้งหน้าตั้งตาเฝ้าคอยดูว่าเขาจะตอบยังไง
“ครับ ขอบคุณมากนะครับป้าหวาง มีเวลาจะไปเยี่ยมนะครับ”
หลินเวยมี่ยักคิ้ว เขาไม่ได้อธิบายอะไร นั่นแปลว่าเขายอมรับโดยปริยายงั้นหรอ ? ไม่รู้ว่าทำไมในหัวใจของเธอช่างมีความสุขเหลือเกิน
พวกเขามาถึงบ้านเล็กหลังนึง กู้จุนเฟิงคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี เอากุญแจเปิดประตูเดินเข้าไปอย่างชำนาญ
ลานบ้านดูสะอาดเเละเป็นระเบียบ ไม่มีของวางเกะกะ และเมื่อเข้าไปภายในบ้านก็รู้ได้ว่าทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้งไม่มีแม้แต่ไรฝุ่น
“คุณมาที่นี่บ่อยหรอ ?” หลินเวยมี่มองไปรอบๆ บ้าน นี่เป็นห้องที่โทรมๆ เเละง่ายๆ มีเเค่เตียงหนึ่งหลัง โต้ะหนึ่งตัว เก้าอี้ไม่กี่ตัว
“เดือนละครั้ง” เขานำกล่องยามาจากที่ไหนก็ไม่รู้แล้วเอามาวางไว้บนเตียง
เขาดึงขากางเกงของเธอขึ้นมาโดยไม่ได้ตะขิดตะขวงใจ มองไปที่ข้อเท้าอันบวมเเดงเเล้วขมวดคิ้วอัติโนมัติ
“บางทีข้ออาจจะพลิก เดี๋ยวผมจะช่วยให้กลับคืนมานะ” เขาเงยหน้ามองนาของเธอ น้ำเสียงเคร่งขรึม “อาจจะเจ็บมาก อดทนไว้นะ”
“อืม มาเลย” หลินเวยมี่กัดฟันเเน่นพร้อมปิดตาของเธอ
ความเจ็บปวดหนึ่งซู่พร้อมเสียงก็อกเเก็กนิดหน่อย
กู้จุนเฟิงรีบเอายาใส่ขาที่บวมเเดงของเธอเเละพันไว้
“รอผมอยู่นี่นะ” เขาเงยหน้าขึ้นเช็ดน้ำตามที่หางตา เเละจิกที่ตาเธออย่างเบาๆ เเล้วเดินไปข้างนอก
หลินเวยมี่สูดจมูกของเธอเเละมองไปรอบๆ เเม้ว่าห้องไม่ใหญ่ เเต่ตั้งโต้ะอ่านหนังสือหนึ่งตัว บนโต้ะเต็มไปด้วยหนัง เเละยังมีรูปภาพของผู้หญิงหนึ่งใบ
เธอขยับตัวไปข้างๆ โต๊ะหนังสือยังสงสัย หยิบรูปภาพนั้นขึ้น รูปภาพคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ยิ้มอย่างสดใส เธอจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือแม่ของกู้จุนเฟิง
คิ้วอันวิจิตรตระการตาเชื่อมเข้าหากัน มองไปรอบๆ เกิดอะไรขึ้นกับกู้จุนเฟิงก่อนหน้านี้ ? ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่? แม่ของกู้จุนเฟิงไปไหนเเล้วล่ะ?
ระหว่างที่กำลังคิดอยู่ ประตูก็ถูกเปิดขึ้น กู้จุนเฟิงถือข้าวกล่องเดินเข้า มองเห็นเธอกำลังดูรูปภาพก็ไม่ได้เเปลกใจมากเเละไม่ได้เเสดงถึงไม่พอใจ
“เขาคือคุณหญิงกู้หรอ ?” ถามอย่างลังเล ๆ เพราะกลัวว่าจะเห็นความเศร้าหรือไม่สบอารมณ์บนใบหน้าของกู้จุนเฟิง เมื่อกู้จุนเฟิงได้ยินคำนี้ก็ไม่ได้มีสีหน้าท่าทีอะไร พยางค์หน้าอย่างเฉยเมย “แม่ผมเอง”
หลินเวยมี่พยักหัวอย่างลับๆ แต่ไม่ได้ถามอะไรต่อไป เพราะเธอไม่อยากล่วงล้ำทุ่นระเบิดที่อยู่ในตัวของกู้จุดเฟิง
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดขึ้นเรื่อยๆ หลินเวยมี่พิงข้างๆ หน้าต่าง เเต่ไม่รู้ว่าทำไมอากาศตรงนี้สดชื่นเเละสบาย ความกดดันหายไปหมดสิ้น ไม่มีใครสักคนรู้จักเธอ พวกเขามีชีวิตอยู่ง่ายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เเบบนี้ดีจังเลยนะ
หลินเวยมี่หลับตาลงใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความพึงพอใจ จนกระทั่งเธอได้ยินเสียง เธอจึงเปิดตาของเธอขึ้นอีกครั้ง
สัมผัสได้ถึงกู้จุนเฟิงที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าของเธอเเข็งทื่อ เเก้มของเธอร้อนผ่าวขึ้นพร้อมกัน
ที่นี่มีแค่ห้องเดียว งั้นแปลว่าคืนนี้พวกเขาจะต้องอยู่ด้วยกันงั้นหรอ?
หน้าของเธอร้อนขึ้นทั่วเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
“นี่ คุณง่วงไหม ? ไปนอนก่อนสิ คืนนี้พระจันทร์สวยดีนะ” หลินเวยมี่พูดอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเคอะเขิน
เเววตาของกู้จุนเฟิงเปล่งประกายความขี้เล่นเล็กน้อย เเล้วขยับเข้าไปไกลเธออีกนิดหน่อย “ไม่ใช่ว่าคุณเหนื่อยหรอ นอนด้วยกันไหม ?”
นอนด้วยกัน……เเก้มของหลินเวยมี่เเดงขึ้นเรื่อยๆ เเละเขินอายไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี อดกลั้นใบหน้าสีเเดงไว้ เเต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกว่าต้นหูของเธอร้อนขึ้น เงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ มองเห็นกู้จุนเฟิงเข้ามาใกล้ เเววตาของเขายิ้มและวางมือบนไหล่ของเธอ
“คุณกำลังกระวนกระวายนะ”
หลินเวยมี่หยุดชะงัก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง เเววตามองไปที่กูเจุนเฟิงด้วยความลุกลี้ลุกลน “ใคร…ใคร กระวนกระวายกันล่ะ?”
“คุณนั่นเเหละกระวนกระวาย มือคุณมีเหงื่อเเล้ว” เขากุมมือเธอพร้อมทั้งยิ้ม รืมฝีปากอันอบอุ่นของเขาวาดไปทั่วเเก้มของเธอเเละเธอรู้สึกว่าสมองของเธอระเบิดบึ้ม
ความคิดของเธอสับสน ทุกอย่างดูยุ่งเหยิงไปหมด ทันใดนั้นภาพสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ฉู่เฉินซี เขายิ้มอย่างโหดเหี้ยมและมองเธอด้วยสายตาอันเย็นชา
เธอสั่นเครือเล็กน้อย สูดลมหายใจอันหนาวเหน็บ เธอนึกถึงเขาได้ยังไงกันนะ ?
“คุณเป็นอะไรไป?” กู้จุนเฟิงมองเห็นเธอบางครั้งจะสูดลมหายใจ บางครั้งจะส่ายหัว
หลินเวยมี่ส่ายหัว “ไม่ได้เป็นไร ฉันเเค่ง่วงเเล้ว ฉันนอนเเล้วนะ”
เธอพูดพร้อมทั้งหมุนตัวนอนเหยียดลงไป เเละหันหลังให้กู้จุนเฟิง
สักพักกู้จุนเฟิงก็นอนอยู่ข้างๆ ตัวเธอ ไม่นานก็มีเสียงหายใจที่สม่ำเสมอขึ้นมา
แต่สำหรับหลินเวยมี่ถึงยังไงก็นอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาก็นอนไม่หลับเหมือนเดิม แค่หลับตาลงก็มองเห็นใบหน้ามันชั่วร้ายของฉู่เฉินซี
ณ บ้านจัดสรรหลี่เจียง เสียงนาฬิกาติ้กตอกเดินไป ในห้องรับแขกเงียบสงบ อากาศหนาเเน่นราวกับจะเกิดพายุฝนอันรุนเเรง
ฉู่เฉินซีมองไปยังเข็มนาฬิกา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
“ไปหาที่ตระกูลหลินหรือยัง เธอไม่ได้กลับไปจริงๆ หรอ?” คำพูดเปล่งออกอย่างเย็นชา คนที่อยู่รอบๆ รีบตอบขึ้น
คิ้วของชูเฉินซีถูกล็อคอย่างแน่นหนา เธอไม่ได้กลับบ้าน เเล้วเธอจะไปที่ไหนได้ ? เเละเท่าที่เขารู้ เธอไม่มีเงินติดตัวสักบาท เเล้วนี่ก็เที่ยงคืนอีกครั้งเเล้ว
ความกังวลทยอยเข้ามาโจมตีอย่างท่วมท้น
ผู้หญิงนี่ หนีไปที่ไหนล่ะเนี่ย?
ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น…หัวใจราวกับถูกจับไว้ในมือใหญ่ที่มองไม่เห็น
เขาไม่กล้าคิดต่อไปมากกว่านี้ จึงยืนขึ้นมันที่ “หาต่อไป ! ต่อให้ต้องคว่ำเมือง A หาทั้งหมด ก็ต้องหาเธอออกมาให้ฉัน !”
เหล่าลูกน้องที่ได้ยินคำสั่ง ส่งเสียงอึกทึกออกไป ยังไงก็ตาม ออกไปหาข้างนอกยังดีกว่าเผชิญหน้ากับระเบิดที่ติดไฟได้
“นายครับ บางทีคุณอาจจะไปหาเพื่อนก็ได้นะครับ” หยิ่งพูดเชิงปลอบใจ
ฉู่เฉินซีกำหมัดเเน่น ในแววตาเต็มไปด้วยความกังวล “ไม่ใช่เราตรวจสอบเพื่อนของผู้หญิงโง่ทั้งหมดแล้วหรอ ไม่มีใครเห็นเธอสักคน !”
ในตอนนี้ เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขาเอาโทรศัพท์ออกมาอย่างเร่งรีบและรับสายอย่างไม่คิด
“ผู้หญิงสารเลว ! เธออยู่ที่ไหน !”
“โหย พี่ใหญ่ ทำไมโกรธขนาดนี้ล่ะ ? หรือว่าเพราะคุณหลินหนีพี่ไปเเล้วหรอ?” เฉินเห้าหมิงยิ้มเยาะเย้ยด้วยเสียงผ่านโทรศัพท์ “ใช่เเล้ว ตอนบ่ายผมได้ดูในทีวี คุณหลินกับโจ่วชิงช๋วนพูดในงานเเถลงข่าวด้วยกัน ว่าจะเเต่งงาน” ……
เฉินเห้าหมิงพูดยังไม่จบ ฉู่เฉินซีก็ฟาดโทรศัพท์ไปอีปด้าน คำพูดที่เยือกเย็นพ่นออกมา “ไปตระกูลโจ่ว !”