บทที่116 ดูว่าฉันจะลงโทษคุณยังไง
คืนนี้เธอหลับอย่างสงบ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็สว่างหมดแล้ว ลุกขึ้นนั่งที่เตียงแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ด้านนอกอากาศดี พระอาทิตย์ส่องแสง
เพียงแต่ในใจยิ่งนับวันย่งห่อเหี่ยว ถ้าหากว่าไม่ได้พบเจอกับฉู่เฉินซี โลกของเธอก็จะไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหม?
เธอสางผม เดินเข้าไปในห้องน้ำแบบโกรธๆแล้วล้างหน้าแปรงฟัน
เธอสวมชุดสีแดงสด ผมยาวเปียกตกอยู่กลางหลัง หยิบแก้วน้ำแล้วเท้าเล็กก็เดินออกด้านนอก
ผมที่ยังไม่แห้งสวยงามดังเดิม แม้ใบหน้าขาวเล็กๆไม่ได้ปะแป้ง แต่เมื่อมองไปมาแล้วกลับลื่นตาคน รูปร่างวิจิตรา
เหมือนนางฟ้าที่ตกลงในกองเพชรระยิบระยับ บริสุทธิ์เสียเหลือเกิน
เธอรินน้ำ แล้วจิบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ถึงแม้ว่าจะเบามาก แต่เธอก็ยังรู้สึกถึงได้
ไม่รอให้เธอได้ตอบสนอง ก็ตกลงไปในอ้อมกอดอันร้อนเร่าของเขาแล้ว
กลิ่นบุหรี่กับโคโลญผสมตีกันอย่างหนัก ทำให้เธอหายใจได้ไม่สะดวก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน
คนที่อยู่ด้านหลังกลับไม่รู้เรื่องอะไร แขนโอบเอวเธอแน่น เอาคางเกยหัวของเธอ หายใจรดเข้าที่หูของเธอ
ใบหน้าเล็กของหลินเวยมี่แข็งทื่อ มั่นใจว่านี่ไม่ใช่ฉู่เฉินซี จึงกระทืบลงที่เท้าของอีกฝ่ายอย่างแรง แต่เพราะไม่ได้ใส่รองเท้า จึงไม่ได้ทำให้เขาเจ็บมาก
ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะออกมาจากข้างหู หัวเราะแล้วพูด “มี่มี่ เธอนี่ไม่เรียบร้อยเลยนะ ”
หลินเวยมี่หน้าสีเปลี่ยน รีบหันตัว มองหน้าของเฉินเห้าหมิงที่อยู่ในระยะประชิด “ใครไม่เรียบร้อย?”
“ก็เธอน่ะสิ ใส่ชุดแบบนี้จะอ่อยฉันเหรอ?”สายตาเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วเขยิบใกล้เข้ามาอีก
หลินเวยมี่ถอยหลังอย่างตื่นตระหนก มองเฉินเห้าหมิงอย่างหวาดระแวง “อย่าเข้ามานะ!”
“คำพูดเธอช่างทำร้ายใจฉันจังเลย ยังไงพวกเราก็เคยมีไมตรีจิตต่อกันมาก่อน ทำไมเธอถึงลืมฉันง่ายขนาดนี้?”เฉินเห้าหมิงพูดจบก็ทำสีหน้าสงสาร ราวกับว่าเธอทำเขาเสียใจจริงๆ
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องที่พวกเขาไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งด้วยกันครั้งนั้น แต่เรื่องที่ออกมาจากปากเฉินเห้าหมิง ทำไมถึงได้เปลี่ยนรสชาติของเรื่องนะ?เหมือนพวกเขามีอะไรกันจริงๆอย่างนั้น
รู้สึกว่าคนๆนี้ใช้ความคิดเยอะเกินไป ขี้เกียจจะเข้าใกล้
มือกำแก้วน้ำแน่น แต่ไม่ทันใดก็ถูกเขาจับเข้าที่มือ ร่างสูงใหญ่ของเขาก็กดลง หายใจรดหน้าเธอ
ทั้งสองใกล้ราวกับแลกลมหายใจกัน หลินเวยมี่เบิกตากว้างมองเขา ในสายตาตื่นตระหนก แต่ไม่นานก็หนักแน่นมั่นคง
“มีความรู้สึกหัวใจเต้นไวขึ้นเหรอ?”เฉินเห้าหมิงกระพริบตาแล้วยิ้มถาม
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว ปากเล็กเม้มตึง “เปล่า ”
“พูดเท็จ!”เขาจับเข้าที่คางแล้วช้อนใบหน้าเล็กขึ้น สายตาหยอกล้อมากขึ้นเรื่อยๆ “ผู้หญิงพูดจาโกหกไม่น่ารักนะ เห็นอยู่ว่าเมื่อกี้เธอลน แล้วก็ประหม่า แน่นอนว่าจังหวะหัวใจก็ต้องเต้นเร็วขึ้นด้วย แล้วมันก็สร้างผลลัพธ์ว่าเธอตกหลุมรักฉัน ”
เขาวิเคราะห์เสร็จ ก็ขำเอาเอง แววตาดีอกดีใจ
หลินเวยมี่ยิ้มมุมปาก รับไม่ได้กับความคิดแปลกๆของเขาจริงๆ เขาวิเคราะห์ได้มากเกินไปแล้ว คิดออกมาได้ เอาความตื่นตระหนกของเธอมาโยงว่าเธอตกหลุมรักเขาแล้วซะงั้น?
ความคิดแปลกๆแบบเขาใครก็คิดไม่ถึง เธอถอนหายใจ พูดอย่างรำคาญ “นายปล่อยฉันก่อนได้ไหมล่ะ?ตอนนี้มาสบอารมณ์ ”
“ไม่สบอารมณ์เหรอ?ทำไมฉันถึงไม่คิดว่าแบบนั้นนะ?ฉันชอบท่าแบบนี้มากเลยล่ะ ”เขาพูดอยู่ก็เขยิบเข้ามาหาเธอข้างหน้า กลิ่นแปลกบนตัวก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
หลินเวยมี่กลั้นหายใจทันที ผู้ชายที่ฉีดน้ำหอมเป็นปกติเธอรับได้ ชายที่สูบบุหรี่เธอก็รับได้ แต่ผู้ชายที่ทั้งสูบบุหรี่ทั้งฉีดน้ำหอม เธอรับไม่ไหวจริงๆ
“เหม็นโคตรเลย ”เธอกลั้นจนหน้าแดง
“อะไร?”เฉินเห้าหมิงถามแบบไม่สบายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย เดาไม่ออกเลยว่าท่าทางแบบนี้ของเธอนั้นหมายถึงอะไร
“กลิ่นตัวนายน่ะเหม็น เวียนหัวหมดแล้ว ”เธอส่งสายตารังเกียจ บอกเสียงต่ำ
เฉินเห้าหมิงเหมือนจะชะงักไป แล้วก็ยิ้มขึ้นมา “เธอรู้อะไรไหม?นี่เรียกว่ากลิ่นตัวผู้ชาย เราแนบชิดกันบ่อยๆ เดี๋ยวเธอก็ชินกับกลิ่นชายบนตัวฉัน พอชอบแล้วเธอก็จะรักกลิ่นนี้แบบโงหัวไม่ขึ้นเลยล่ะ ”
“แต่ ฉันคิดว่าเราสองคนต้องเรียนรู้กันลึกกว่านี้หน่อย ”เขายิ้มแบบมีเลศนัย แล้วอยากที่จะเข้าใกล้เธอเข้ามาอีก
ขณะที่ปากของเขากำลังจะจูบเธอนั้น เธอก็หันข้างให้อย่างเร็ว ทำให้เขาจุ๊บลงบนแก้มเธออย่างแม่นยำ
“ออกไป!ไม่งั้นอย่ามาหาว่าฉันไม่เกรงใจ!”หลินเวยมี่กลั้นเอาไว้จนหน้าแดง ผิวของเธอปรากฏขึ้นทันที
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเฉินเห้าหมิงจะกล้าลงไม้ลงมือกับเธอที่นี่ เธอกวาดสายตาไปทุกมุม พบว่าฉู่เฉินซีไม่ได้อยู่ที่โถงนี่
สายตาเธอมืดดำลง มือกำแก้วแน่น ถ้าหากว่าเขาทำอะไรที่ข้ามเส้นอีก เธอก็จะไม่เกรงใจแล้วจริงๆ “ไม่เกรงใจ?วิธีที่ไม่เกรงใจเป็นยังไงเหรอ?”มือเขารัดเอวเธอเอาไว้ ออกแรงดึง ดึงเข้ามาในอ้อมกอด ทั้งสองคนแนบชิดติดกัน
จูบของเขากำลังจะลงมาอีกครั้ง เธอกันหมุนหัวไปอีกข้าง กลับร่วงลงบนคอของเธอ แล้วเขาก็ดูดอย่างแรง
จู่โจมเข้ามาอย่างน่ารังเกียจ ในหัวเลอะเทอะไปหมด แทบจะไม่คิด ก็ยกแก้วในมือขึ้นแล้วกระแทกลงบนหัวของเขา
“โป๊ะ”
เสียงแก้วตกกระทบลงบนพื้นดังขึ้น ประตูโถงเปิดออก ฉู่เฉินซีเปลือยท่อนบน ใส่กางเกงว่ายน้ำสีน้ำเงินปรากฏตัวขึ้นตรงประตู
อกแกร่งยังมีหยดน้ำติดมาอยู่ หยดน้ำใสเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์
เขาหรี่ตามองเฉินเห้าหมิงที่อยู่ในห้องโถง สายตามีรังสีอันตราย สายตาลดลงมาจ้องหลินเวยมี่ที่ท่าทางลนลานไม่รู้จะทำยังไง
เฉินเห้าหมิงใช้มือค้ำโซฟา มืออีกข้างกดลงแน่นๆที่หัว พลิกมือกลับมาดู ก็เห็นเลือดที่กลางฝ่ามือ
“เธอคนนี้นี่ แรงดีจัง ”
หลินเวยมี่ได้ยิน สีหน้าก็ตกใจสับสน อยากจะเข้าไปดูแผลให้เขา แต่พอนึกถึงสิ่งที่เขาเพิ่งทำไปเมื่อกี้ก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่ต้องเข้าไปดู
“มี่มี่ มานี่ ”เสียงทุ้มต่ำดังออกมาจากประตู
หลินเวยมี่จึงตั้งใจเดินไปยืนที่ชายที่ยืนอยู่ตรงประตู สีหน้าเธอเปลี่ยน วิ่งไปหาเขาอย่างตื่นตระหนก “ฉู่เฉินซี เมื่อกี้นี้ฉัน……”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว ”เขาโอบเธอเข้าที่กลางอก เสียงเข้มบอกคนด้านหลัง “ไปเรียกหมอมาทำแผลให้เขา ”
ฉู่เฉินซีโอบเธอไปนั่งที่โซฟา หันมาดูรอยจ้ำบนคอของเธอ แววตาเข้ม เหมือนกับซ่อนอารมณ์โกรธอยู่
“พี่ใหญ่ ผู้หญิงคนที่เผ็ดนะ แต่ว่า ผมชอบ ”เฉินเห้าหมิงน้ำเสียงหยอกยั่ว ถึงแม้ตอนนี้เลือดจะอาบหน้าเขาไปแล้วครึ่งหน้า แต่กลับไม่มีท่าทางสนใจเลยสักนิด
ฉู่เฉินซีไม่ได้มองเขา สายตายังคงจ้องอยู่ที่คอของหลินเวยมี่เหมือนเดิม เขาใช้ขึ้นไปกด มือเย็นจับลูบคลอเคลียไปมา
“เม่นน้อยของฉันไม่ว่าใครก็จับต้องได้งั้นเหรอ?”
หลินเวยมี่เงยหน้า มองไปที่ฉู่เฉินซี สายตาของเขานิ่งสงัด ไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่เมื่อเขายิ่งเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้หลินเวยมี่อ่านไม่ออก
เฉินเห้าหมิงก็เหมือนกับได้สัญญาณเตือนจากคำที่ฉู่เฉินซีพูด หัวเราะออกมาสองครั้งอย่างอดไม่ได้ มานั่งข้างหลินเวยมี่อย่างสะเปะสะปะ
“แต่ฉันคนนี้มันเป็นโรค ยิ่งสนใจของอะไรบางอย่างมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากจะแย่งมาให้ได้เท่านั้น ”
เขายิ้มมีแสงออกมาจากตา เบี่ยงสายตาไปที่ตัวของหลินเวยมี่ ราวกับวิจารณ์สินค้า
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วแน่น ชักสีหน้ารำคาญ อึดอัดในใจ ตามหลักแล้วเฉินเห้าหมิงคือลูกน้องของฉู่เฉินซี ทำไมถึงได้รู้สึกว่าฉู่เฉินซีมีขีดจำกัดไปทุกที่?
“ฉันก็เป็นโรคเหมือนกัน ยิ่งคนอื่นอยากแย่งของเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งไม่อยากให้ ”
ฉู่เฉินซีพูดนิ่งๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ยอม แต่คำตอบกลับของเขากลับทำให้เฉินเห้าหมิงยิ้มขึ้นอีกครั้ง
“ข่าวคราวสองวันก่อนของพี่ใหญ่ดังนะ ถึงขนาดเอาคนเข้าไปในตระกูลโจ่ว อย่างกับกลัวว่าเรื่องจะดังไปถึงหูคุณท่าน ”เฉินเห้าหมิงยิ้มมุมปากเหมือนเดิม เหมือนกับจะพูดเรื่องสนุกอีกหนึ่งเรื่อง
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว ไม่อยากได้ยินพวกเขาเถียงกันแย่งเธอเป็นสิ่งของ แต่กลับได้ยินเฉินเห้าหมิงพูดถึงตระกูลโจ่วอะไรสักอย่าง หรือว่าฉู่เฉินซีไปก่อเรื่องอะไรที่ตระกูลโจ่วแล้ว?
เธอถถอนหายใจ สุดท้ายก็ทำให้โจ่วชิงช๋วนลำบากใจ
“แต่ก็ไปตระกูลโจ่วพื่อเป็นแขก ก็คุ้มที่นายไปรายงานพ่อฉันงั้นเหรอ?”น้ำเสียงเขาเหน็บแนม ถึงขั้นที่เยาะเย้ย “นายอย่าลืมนะ ใครคือลูกที่พ่อฉันให้กำเนิด ”
คำสวนกลับของฉู่เฉินซีทำให้สีหน้าเฉินเห้าหมิงขาวทันที หมอประจำตระกูลเข้ามาพอดี เพื่อมาห้ามเลือดเขา
“ไปเยือนเป็นแขกที่ตระกูลโจ่วดึกๆดื่นๆ ก็มีแต่พี่ใหญ่เท่านั้นแหละ แต่ถ้าท่านรู้ว่านายไปเพราะผู้หญิงคนเดียวล่ะ?”สายตาเขาแผ่รังสีอันตราย เหมือนจะพังพินาศไปกับเขา
“ผู้หญิงอะไร?”ฉู่เฉินซียิ้มแล้วพูดนิ่ง แต่ก็โอบเอวหลินเวยมี่แน่นขึ้น “ฉันไม่ทำอะไรเพื่อผู้หญิงหรอก ฉันแค่ตั้งใจไปเยือนตระกูลโจ่วแค่นั้นเอง ”
เฉินเห้าหมิงหรี่ตาลง แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรต่อ แต่สายตาที่มองไปทางหลินเวยมี่กลับยิ่งฉุกละหุก ราวกับจะแย่งเธอมาอย่างอดใจไม่ไหว
เหมือนว่าฉู่เฉินซีก็เห็นสายตาของเขาแล้วเหมือนกัน ลุกขึ้นยืนแบบไม่ลังเล พูดอย่างขี้เกียจ “เมื่อวานเธอเหนื่อยมากแล้วใช่ไหม?ดูหน้าเล็กๆซีดเหี่ยวหมดแล้ว ฉันไปพักผ่อนเป็นเพื่อนนะ ”
ฉู่เฉินซีเสียงของเขาไม่ดังไม่เบา แต่ก็พอทำให้เฉินเห้าหมิงได้ยินชัด
หลินเวยมี่เงยหน้ามองเขา เม้มปากตึง ไม่พูดอะไร ให้เขาโอบพาขึ้นไป
เดินไปถึงมุมบันได แขนของฉู่เฉินซีรัดแน่น โอบเธอเข้าอ้อมกอด แนบชิดแน่นตรงอกเขา คำพูดมีเสน่ห์เร่าร้อนออกมาจากปาก “ดูสิว่าฉันจะลงโทษเธอยังไง!”
หลินเวยมี่ขัดขืน ใบหน้าเล็กเกือบแนบไปหาเขา ระหว่างขัดขืนเขาก็รัดแขนแน่นขึ้น เขาไม่ทันระวังตัว ปากแดงก็กระทบเข้าที่ผิวนิ่มของเขา