บทที่113 คุณไม่ได้ไปไหน
สีเลือดในใบหน้าของหลินเวยมี่หายไปทันใด ผู้ชายคนนี้อยากอยู่ตรงนี้……ไม่ใช่เเค่พวกเขาสองคนที่อยู่ในน้ำ แต่ยังมีบอดี้การ์ดอีกตั้งหลายคนที่ยังอยู่ข้างนอกอีกด้วย
นี่มันต่างอะไรกับการเเสดงกลางเเจ้ง ?
เธอรู้สึกหนาวเข้ากระดูกในทันที การที่เธอยืนอยู่ต่อหน้าฉู่เฉินซีเเม้ว่าจะไร้ศักดิ์ศรี แต่ก็ไม่ควรให้เขาดูหมิ่นขนาดนี้
“ฉู่เฉินซี ไม่ได้นะ !” เธอร้องอย่างตื่นตระหนก เเล้วใช้มือผลักเขา
เเต่เขายังคงอยู่ที่เดิม เเขนของเขากอดรัดอยู่ในเอวของเธออย่างเหนียวเเน่น ผลักเธอไปที่ริมขอบสระ ให้เธอพิงอยู่ข้างบน แล้วขยายตัวทับเธอลงไป เขาก้มหัวลงไปหาเธอ เเต่เธอเบือนหน้าหนีอย่างดื้อรั้น
การที่เธอทำเเบบนี้ยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้นไปอีก
เขาบีบคางของเธออย่างรุนเเรง เเล้วเอาใบหน้าเธอหันกลับมา มองเห็นความโกรธเเค้นเข้ากระดูกดำของเธอ มุมปากก็ยิ้มขึ้นอย่างพลการ
“หลินเวยมี่ คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดคำว่าไม่”
หลังที่ติดกับขอบสระรู้สึกเจ็บเเสบกระตุ้นเส้นประสาทของเธอ เธอลืมตาเเละมองไปยังตาสีน้ำตาลเหมือนเเมงป่องของเขา ในเเววตารู้สึกอดสงสารไม่ได้ เเต่เธอยังคงใช้กำลังอย่างรุนเเรงในการกันลิ้นเขาให้เเตก เเล้วผลักเขาออกไป ฉู่เฉินซีมองไปที่เธออย่างเย็นชา ทั้งปากอบอวลไปด้วยกลิ่นรสชาติของเลือด
นึกไม่ถึงเลยเธอจะกล้ากัดเขา
สีหน้าของเขาเสียทันที ทั้งตัวทับลงไปอีกครั้ง ใช้มือเข้าไปสำรวจในเสื้อผ้าของเธอ ในสายตาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งปีศาจ
เเต่หลินเวยมี่รู้สึกว่าเขาร้อนเหมือนไฟ แม้ว่าอยู่ในน้ำที่เย็นเฉียบ แต่ก็ไม่สามารถทำให้อุณหภูมิภายในตัวของเขาเย็นลงได้เลย
ทันใดนั้นเธอนึกถึงบางอย่างขึ้นมา จึงยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของเขา เป็นดังคาด ร้อนจนลวกมือ
“ฉู่เฉินซี คุณเป็นไข้เเล้ว !”
“เเล้วไง !”เขาเอ่ยปากขึ้นอย่างไม่แยแสน้ำเสียงแปรเปลี่ยนไปเป็นแหบแห้ง
“พวกเราขึ้นไปเถอะนะ คุณต้องกินยา ตัวคุณร้อนเกินไป” หลินเวยมี่พูดอย่างลุกลี้ลุกลน สมองคิดเชื่อมโยงไปไกลว่าถ้าหากเป็นไข้แล้วจะทำให้ร้อนจนสมองฟั่นเฟือน
ยังไงก็ตามเธอไม่กล้าจินตนาการจริงๆ ถ้าหากฉู่เฉินซีร้อนจนสมองฟั่นเฟือนจะเป็นยังไงล่ะเนี่ย
“อย่าเสแสร้งแกล้งเป็นห่วงผมเลย คุณแค่เอามาเป็นข้ออ้างไม่อยากให้ผมลงมือกับคุณ” เขาเม้มปากอย่างฉุนเฉียว ลดใบหน้าลงเป่าอากาศร้อนไปใส่เธอ และก้มหัวอมติ่งหูของเธอ
“ไม่ใช่เเบบนั้นนะ คุณอยากปัญญาอ่อนหรือไง ?” เธอตอบขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณไม่อยากปัญญาอ่อนก็รีบขึ้นมา”
ใบหน้าของฉู่เฉินซีนั้นเข้มขึ้น แต่เมื่อมองดูความตื่นตระหนกของผู้หญิงตัวเล็กๆ เขากลับรู้สึกสบายใจอย่างมาก
“งั้นคุณก็พูดออกมาสิว่าคุณเป็นห่วงผม รักและใส่ใจชีวิตของคุณ ผมถึงจะขึ้นไป” แววตาของเขาเปล่งประกายในความมืด เหมือนกับดวงตาที่น่าอัศจรรย์ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความคาดหวังอันแรงกล้าก็ตาม
ในตอนนี้ทำให้หลินเวยมี่ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่ายังไงดี
“ใช่ ฉันเป็นห่วงคุณ ใส่ใจคุณ รักและหวงเเหนชีวิต ตอนนี้ขึ้นไปได้หรือยัง ?” เธอทวนคำพูดของเขาตามลำดับ เเววของเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
มือของเขาโอบรอบเอวของเธอและเขาก้มศีรษะลงไปที่เธอ “คำขอหนึ่งข้อสุดท้ายคือ คุณพูดว่ารักผม ”
ใบหน้าของหลินเวยมี่ฉุนเฉียวขึ้น เบือนหน้าหนีไปทางอื่น “ไม่พูด”
“งั้นเราก็ไปกันต่อเลย” เขาก้มหัวลงแล้วจูบไปที่คอของเธอเบาๆ
“ฉู่เฉินซี !” เธอตะโกนชื่อของเขาอย่างขู่เข็ญ นิ่งอยู่สักพักก่อนที่จะอดกลั้นพูดสามคำนั้นออกไป “ ฉันว่าเราขึ้นไปกันเถอะนะ อย่าผิดคำพูดเลย ฉู่เฉินซี ฉันรักคุณ”
ใบหน้าของชูเฉินซีนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มในทันที แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเธอฝืนใจพูดมันออกมาก็เถอะ แต่ภายในหัวใจเขาก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจเหลือเกิน
เขากอดรอบเอวของเธออุ้มขึ้นและค่อยๆ ขึ้นจากสระ ความหนาวเย็นตีเข้ามาทำให้คนสองคนสั่นเทาและเขาก็กอดเธอแน่นขึ้นพร้อมกับค่อยๆ ก้าวเดินไปที่คฤหาสน์
แก้มของหลินเวยมี่เเนบเขา เธอหายใจอย่างโล่งอกในที่สุดชายผู้บ้าคลั่งก็กลับมาเป็นปกติ
คนสองคนกำลังแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ เขาเอนตัวลงอย่างเงียบๆ บนอ่างอาบน้ำพร้อมกับใบหน้าสีแดงผิดธรรมชาติ
หลินเวยมี่ชำระล้างร่างกายเเบบง่ายๆ ห่อหุ้มตัวด้วยผ้าขนหนู ก็มองไปที่หัวจนถึงแก้มของเขา เขาถูกเผาไหม้อย่างรุนแรงจำเป็นต้องที่จะไปพบแพทย์
เธอรีบลงบันไดเพื่อไปหาหยิ่งที่อยู่ตรงประตูในทันที
“หยิ่ง คุณไปโทรเรียกหมอประจำครอบครัวเร็ว ฉู่เฉินซีป่วยแล้ว”
หยิ่งเงยหน้ามองเธออย่างไร้ความปรานีพร้อมกับสายตาที่รังเกียจ เดินเข้ามาหาเธอแทนที่จะไปที่โทรศัพท์
“คุณหลิน ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายหนุ่ม คุณก็กรุณาไปซะเถอะ”
สีหน้าของหลินเวยมี่เปลี่ยนไป คำพูดที่หยิ่งพูดนี้เป็นคำพูดเดียวกันกับเมื่อเธออยู่ที่บ้านของหลินครั้งสุดท้าย เขาไม่รู้จักนิสัยใจคอของฉู่เฉินซีหรอกหรอว่าเป็นยังไง ?
ถ้าเธอสามารถหนีไปได้ ยังจะมาอยู่ตรงนี้ให้เขาพูดไร้สาระแบบนี้ใส่อยู่หรอ?
“เเน่นอน ผมรู้ว่าคุณหลินลำบากใจ แต่ผมไม่อยากที่จะเห็นเจ้านายทำร้ายตัวเองไปมากกว่านี้” สีหน้าของหยิ่งปรากฏความกังวลขึ้น
“ตั้งเเต่คุณหลินหนีไป เจ้านายก็ตามหาคุณเหมือนคนบ้า เเละตอนนี้เขาก็ทรุดลงเเล้ว ถ้าคุณอยากจะไปจริงๆ คุณหลิน ได้โปรดไปให้ไกลๆ เเละอย่าให้เจ้านายต้องพบเจอกับคุณอีกเลย”
หลินเวยมี่มองตามหยิ่งที่เดินออกไป ในใจราวกับยัดนุ่นใส่ลงไป รู้สึกขมขื่นใจเป็นที่สุด
เกือบจะตกอยู่ในภวังค์จากนั้นเธอก็เดินไปที่ห้องครัวเพื่อต้มข้าวโจ๊ก
เธอบอกไม่ได้ว่าควรละอายใจต่อฉู่เฉินซีหรือไม่ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังรู้สึกละอายใจอยู่ดี
อ้านเย่เดินเข้ามาพร้อมกับหมอประจำบ้าน เหลือบมองไปที่หลินเวยมี่ที่อยู่ในครัวอย่างเมินเฉย แล้วยืนอยู่ตรงประตูพร้อมกับหยิ่ง “คุณหลินเจ้านายตามหาคุณ” อ้านเย่คิ้วขมวดปรากฏตัวขึ้นในห้องครัว
หลินเวยมี่ตอบไปก่อนที่จะรีบขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับโจ๊กและผักกาดดอง
เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นของยา ยาที่อยู่ข้างๆ ขวด กระจายออกเป็นชิ้น ๆ และมีฉู่เฉินซีนั่งอยู่ด้วยสีหน้าฉุนเฉียว
“ไป ! ไปให้พ้นจากตรงนี้ซะ !”
แพทย์ประจำครอบครัวที่อยู่ข้างๆ หยิบเศษขวดยาอย่างระมัดระวัง ทำสีหน้าไม่ถูก
“ไปลากนังผู้หญิงสาระเลวนั่นมาให้ฉัน !” เขาคำรามขึ้นอีกครั้งทำให้หัวใจของหลินเวยมี่แน่นขึ้น
“ค่ำขนาดนี้ผู้หญิงโง่นั่นไม่มีอะไร ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง? ไปและหามันให้ฉัน !” เขาพึมพำพร้อมทั้งปัดโคมไฟบนโต๊ะทรงเตี้ยลงไปที่พื้น
“ฉู่เฉินซีฉันอยู่ที่นี่” หลินเวยมี่สูดหายใจไม่ออกและไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้ยินเสียงคำรามบ้าคลั่งและหัวใจของเธอก็เริ่มเจ็บปวด
ฉู่เฉินซีรีบหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว สายตาอันแหลมคมสัมผัสกับร่างของเธอ แต่ในไม่ช้าสีหน้าท่าทางของเขาก็ค่อยๆ อ่อนลง
“คุณไม่ได้ไปไหน”
คำว่า ‘คุณไม่ได้ไป’ ทำให้หัวใจของหลินเวยมี่รู้สึกบีบเเน่น ความรู้สึกเจ็บปวดลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
“ฉันอยู่นี่ ฉันอยู่ที่นี่ตลอด” เธอถอนหายใจแล้วเดินไปที่เตียงเพื่อปลอบโยนเขาให้นอนลง “คุณไม่สบาย ต้องพักผ่อนดีๆ นะ “
แพทย์ประจำครอบครัวอยู่ข้างๆหยิบยาลดไข้ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะทรงเตี้ย เเล้วเดินไปพูดกับหลินเวยมี่อย่างนุ่มนวล “คุณชายฉู่มีไข้ 42 องศา เเต่เขาไม่ยอมส่น้ำเกลือ ให้กินได้เเค่ยาบางชนิดเอง”
“วางยาลงเถอะ” เธอพูดพลางขมวดคิ้วแล้วมองไปที่ชายผู้อยู่บนที่นอน
“นั่นอะไรน่ะ ?”เขาถามขึ้นทันใดพลางจ้องมองโจ๊กอย่างชัดเจนบนโต๊ะทรงเตี้ย “คุณต้มหรอ ?”
“อืม”เธอตอบเบา ๆ แล้วนำโจ๊กมาให้เขา “ คุณอยากจะกินอะไรอีกไหม ?”
“กิน” เขาพูดพลางคว้ามันมา “นี่เป็นครั้งแรกที่คุณต้มโจ๊กให้ผมเลยนะ”
“เมื่อกินเสร็จแล้วก็กินยา คุณเข้าใจไหม ?” หลินเวยมี่พูดเหมือนกับเกลี้ยกล่อมเด็ก
ชูเฉินซีจ้องมองเธอและไม่เอ่ยถ้อยคำใด จนกระทั่งเขากินเสร็จเขาพูดขึ้นเบาๆ ว่า “คุณป้อนให้ผมกิน”
หลินเวยมี่หน้าแดงระเรื่อ แต่ยังคงหยิบยาออกมาเเล้วป้อนเข้าปากของเขาทีละคำ เลยยื่นน้ำให้เขา “กินไวๆ หน่อย!”
เขายิ้มพลางหัวเราะเบาๆ กินยาเสร็จแล้วจึงดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนของเขา แล้วกดริมฝีปากที่อบอวลด้วยกลิ่นยาลงไป แล้วค่อยๆ บรรจงกวาดเธอทุกลมหายใจ
เติมเต็มปากของเธอด้วยกลิ่นของยา ปล่อยตัวเธอออกไปขณะหนึ่งจากนั้นก็กอดเธอไว้แน่น
“อย่าหนีไปไหนเลยนะ” เสียงของเขาดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้นพร้อมมองดูเขา ในเวลานี้ดูเหมือนว่าเขาจะถูกปลดอาวุธอย่างสมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดปิดบังซ่อนเร้น และเขาก็แสดงตัวตนที่บริสุทธิ์ขึ้นต่อหน้าเธอ
ยังไงก็ตามการที่เขาเป็นแบบนี้มันยังดีมากกว่าการคาดเดาไม่ได้ว่าเขาจะเป็นฝนหรืออาทิตย์
เมื่อเอนตัวเเอบอิงลงบนหน้าอกของเขา รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่แข็งแกร่งของเขา ทั้งตัวคนผ่อนคลายและหลับไปอย่างสงบสุข
เธอไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งเเต่เมื่อไหร่ที่เธอรู้สึกโล่งใจเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขา
ในตอนเช้าตรู่หลินเวยมี่รู้สึกจั๊กจี้ที่ต้นหู เธอขมวดคิ้วและตบเบาๆ แต่ก็ไม่เป็นผล
ในไม่ช้าอาการจั๊กจี้นั้นก็กลับมาอีกครั้งและเธอก็ตบไปอีกครั้ง แต่มือของเธอกลับถูกจับเอาไว้
พอเธอลืมตาขึ้นก็ต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีน้ำตาลคู่หนึ่งดวงตา ดวงตาของเขากระพริบยิ้ม
ใบหน้าของเธอแดงก่ำและสบถด้วยความโกรธ “ออกไป !”
มองไปยังอีกฝั่งอย่างลนลาน ไม่กล้ามองหน้าอกที่แข็งแรงของเขา เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ และลมหายใจของเธอก็เบาบาง
“คุณคิดว่าตัวเองสามารถปฏิเสธได้งั้นหรอ ?” เขายิ้มพลางเอาหัวตัวเองลงทับลงไป ค่อยๆ จูบลงบนต้นหูของเธอ
จูบอันบางบางเบาไล่ยาวมาตามซอกคอของเธอ ทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้
เธอหลีกหลบอย่างรวดเร็ว แต่ความไม่เท่าเทียมของพละกำลังทำให้เธอต้องถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า