บทที่118 ยอมอยู่ใต้อำนาจ
ในคฤหาสน์แสนเงียบสงัด หลินเวยมี่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา นอกจากเสียงที่ดังออกมาจากทีวีก็ไม่มีเสียงใดๆอีก
ที่นี่นอกจากฉู่เฉินซีแล้ว คนธรรมดาก็น้อยมากที่จะเข้ามา พวกคนรับใช้หลังจากที่เข้ามาทำความสะอาดเสร็จตั้งแต่เช้าก็รีบแยกออกไปจากที่นี่ ส่วนหยิ่งกับอ้านเย่อกจากมีธุระถึงจะมาหาฉู่เฉินซี ไม่อย่างนั้นก็น้อยครั้งมากที่เข้ามาที่คฤหาสน์เหมือนกัน
รวมถึงเซียงหย่า หลังจากที่แผลของเธอหายดีแล้วก็ไม่เจอเธออีกเลย
หลินเวยมี่ยิ่งนับวันยิ่งรู้สึกไม่เป็นสุข สายตามองไปยังด้านนอก ฉู่เฉินซีกำลังอาบน้ำให้สวิ่นเหิน ตั้งใจและจดจ่อ
ปิดทีวี แล้วเดินเข้าห้อง เดินไปได้ครึ่งทางสายตาก็ไปเห็นห้องสมุด เธอรู้ ว่าปกติแล้วฉู่เฉินซีจะทำงานในห้องสมุดตลอด ประชุมเสวนา
เรียกได้ว่า ที่นั่นมีเครื่องมือสื่อสาร สายตาล่อแล่ เข้าไปในห้องสมุดด้วยความเร็ว
ห้องสมุดไม่ได้ล็อค เธอจึงโล่งใจไป เข้าไปด้วยความเร็ว แต่ในใจกลับนึกขึ้นได้ ว่ามีความรู้สึกแบบขโมย ความประหม่าทำให้ตื่นเต้น
ห้องสมุดนั้นกว้างมาก หน้าจอที่แขวนติดอยู่กับกำแพง แล้วบนโต๊ะทำงานก็มีคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องวางอยู่
รีบเปิดคอม หัวใจเต้นตึกตักเพราะความประหม่า ตาเหลือบหันมองที่ประตูตลอดเวลา กลัวว่าอยู่ๆฉู่เฉินซีจะปรากฏตัวขึ้น
หน้าจอเดสท็อปโล่งไปหมด นอกจากเอกสารแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
เธอจึงคลิ๊กไปที่หน้าป๋ายตู้ กลอนประตูก็เปิดออก ฉู่เฉินซียืนเงียบๆอยู่หน้าประตู มองหน้าเธอจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
หลินเวยมี่หน้าถอดสี หายใจเข้าลึกๆ ยืนตัวขึ้นอย่างเจ็บใจ อยากจะปิดหน้าต่างนั่น ด้วยความลนและไม่ได้ระวังจึงกดไปเปิดโดนเอกสารอย่างอื่น
“เธอกำลังทำอะไร?”ฉู่เฉินซีก้าวเท้าใหญ่เข้ามา จับดึงแขนเธออยากจะหิ้วเธอออกมา
“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ”หลินเวยมี่ตอนแบบลนๆ สายตากวาดไปบนโต๊ะ บนโต๊ะมีรูปภาพของเธออย่างฉับพลัน แต่กลับให้อารมณ์ต่างกัน
ฉู่เฉินซีมองเธออย่างสงสัย เดินไปข้างๆคอมพิวเตอร์ รีบปิดเอกสาร มีหน้าเข้มลง
“เธอดูไปเท่าไหร่แล้ว?”
หลินเวยมี่ถูกคำถามของเขาทำให้งง รีบส่ายหัว “ฉันเพิ่งจะนั่งลง แล้วคุณก็เข้ามา ”
ฉู่เฉินซีรีบปิดคอม แล้วสีหน้าก็คลายลง จับเธอเข้ามากอด “ทีหลังอย่าเข้ามาในห้องสมุดอีก รู้ไหม?”
หลินเวยมี่พยักหน้าอย่างเขินอาย ตอนแรกก็ใจฝ่อ เขาพูดแบบนี้อีกทีไรเธอก็รู้สึกแปลกๆ แต่ในใจก็เต็มไปด้วยความสงสัย
สีหน้าของเขาเมื่อกี้นี้เหมือนกับว่ากลัวอะไรสักอย่าง กลัวว่าเธอจะไปเห็นไฟล์เมื่อกี้เหรอ?เอกสารนั้นตกลงแล้วมีอะไรกันแน่?
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ให้เธอใส่ชุดแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”ฉู่เฉินซีหน้านิ่งแล้วมองที่ชุดนอนซีทูของเธอ สายตาค่อยๆเย็นลง
เขาไม่ลืมสายตาที่เฉินเห้าหมิงมองไปที่เธอ
“ในห้องมีแต่แบบนี้สินะ แต่จะว่าไปก็ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ไม่มีใครข้างนอกเข้ามา ”หลินเวยมี่หน้าตาแล้วแต่ ยักไหล่ แล้วเดินไปห้องตัวเอง
ทันใดนั้นศอกก็ถูกดึงไว้ ฉู่เฉินซีมองเธอ พูดนิ่งๆ “เฉินเห้าหมิงน่ะ?ฉันไม่อยากให้เธอใส่อะไรแบบนี้ต่อหน้าผู้ชายคนอื่นนะ ”
“เขาเป็นเบื้องหลังคุณไม่ใช่เหรอ?”หลินเวยมี่ถามกลับ สีหน้าเต็มไปด้วยความรำคาญ “คุณห้ามเขาเข้ามาก็ได้หนิ ”
ฉู่เฉินซีสายตาเข้มขึ้น เฉินเห้าหมิงยังมีความหวั่นเกรงอยู่หน่อย ถอนหายใจ ทัดผมของเธอไว้ที่หลังหู “เชื่อฟัง ต่อไปนี้ห้ามแบบนี้วิ่งไปไหนมาไหน ”
“แน่นอน ถ้าอยู่ในห้อง เธอจะไม่ใส่อะไรเลยก็ได้ ”
พูดจบ ฉู่เฉินซีก็ยิ้ม แล้วส่งสายตากวาดไปที่ตรงหน้าอก
หลินเวยมี่รีบเอามือปิด หน้าแดงแล้วด่า “คนชั่ว!”
“ไม่ต้องบังแล้ว มีตรงไหนบ้างที่ฉันไม่เคยเห็น?”เขายิ้มยื่นเข้าไปใกล้ๆเธอ แล้วดันเธอเข้าไปบนกำแพง
“มี่มี่ นานแล้วที่พวกเรา……”
“หยุด!ฉันไม่อยากฟัง!”หลินเวยมี่รีบเอามืออุดหู ไม่อยากที่ยินสิ่งที่เขาจะพูดต่อ
หูได้ยินฉู่เฉินซีรอยยิ้มหัวเราะเยาะ เขาโอบเอวของเธอไว้ ออกแรง เธอชนเข้าที่กลางอกของเขา
มีลมร้อนแผ่วเข้ามาในหู สิ่งที่เขาพูดเล่นเข้าหูมา “เธอกลัวอะไร?เธอคิดว่าฉันจะพูดอะไร?”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ”เธอเหลือบตาลง มือเหล็กสกัดตรงอกของเขา มีกลิ่นหอมสดชื่นของตัวเขาระหว่างจมูก
ไม่มีกลิ่นน้ำหอมใดๆ มีแต่กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม แต่เธอกลับไม่รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย จนชินกับกลิ่นนี้แล้ว
“เด็กน้อย เธอคิดถึงฉันแล้วใช่ไหม?”เขาก้มหัว ชนที่แก้มเธออย่างไม่ทันได้ระวัง ทำให้เธอกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง
“ลืมตาขึ้นมาทุกวันก็เจอแต่หน้าคุณ แล้วทำไมฉันยังต้องคิดถึงคุณด้วย?คิดเข้าข้างตัวเอง!”หลินเวยมี่สวนกลับ มือเล็กดึงมือของเขา แต่ถูกเขาซอนอย่างชาญฉลาด
“ฉันไม่ได้หมายถึงคิดแบบนี้ เธอรู้อยู่แล้วว่าฉันหมายความว่ายังไง ยังต้องให้ฉันพูดออกมาอีกเหรอ?”เขาก้มหัวแล้วยิ้ม จมูกโด่งกดลงที่จมูกของเธอ
ทั้งสองคนใกล้กันจนได้ยินเสียงหายใจของฝ่ายตรงข้าม
หลินเวยมี่กลั้นหายใจ เบี่ยงสายตาไปอีกฝั่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตอนนี้เธอถึงไม่กล้าประชันสายตาของเขา
เหมือนกลัวเขาจะทายได้ถึงสิ่งที่เธอคิด
“ฉันไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ”เธอกัดฟันแน่น สวนกลับ
ฉู่เฉินซีหัวเราะเยาะอยู่ ก็ยื่นมือลูบที่ปากเธอเบาๆ เสียงเข้มพูดต่อ “ผู้หญิงปากแข็ง ยังไม่ยอมรับอีก ”
มือใหญ่ของเขาล้วงเข้าใต้เสื้อของเธอ
“หรือว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พิสูจน์ได้ดีที่สุด?”เขายิ้มแล้วเลิกชุดเธอขึ้น เอากระต่ายน้อยสีขาวสองตัวโชว์ขึ้นตรงหน้าเขา
“ฉู่เฉินซี!”เธอตะโกนอย่างลนลาน สายตากวาดไปรอบด้าน แม้ว่าจะรู้ว่าที่ไม่มีใครในคฤหาสน์นี้ แต่เธอก็ยังประหม่า จ้องเขาทั้งเขินและโกรธ พูดเตือน “ตอนนี้ยังอยู่ที่ห้องโถงนะ!”
เขาไม่เกรงใจเลยสักนิด มุมปากยิ้มขึ้น “เธอหมายความว่าแค่ไม่ใช่ที่โถงก็ที่ไหนก็ได้ใช่ไหม?”
“ชั่ว!”เธอด่า อยากจะผลักเขาออก กลับถูกเขาจับเข้าที่ข้อมือ
“ไม่มีใครกล้ามาหรอก ”เขากดลง ก้มลงและจูบเธออย่างนุ่มนวล พยายามเปิดปากของเธอ ตวัดลิ้นอย่างตามอำเภอใจ
อ่อนโยนมาก ราวกับได้ลองของอร่อยๆ
เธอค่อยๆตอบสนองเขาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
เขาเหมือนเริ่มรู้สึกถึงการตอบสนองของเธอ ท่าทางรุนแรงดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ โอบรักเอวเธอแน่นขึ้น
“เจ้านายครับ……”
เสียงที่ไม่มีความสนิทสนมดังขึ้นทางด้านหลังของพวกเขา
เขาทั้งสองตัวแข็งขึ้นพร้อมกัน หลินเวยมี่สีหน้าหมองลงทันที มองเขาอย่างโกรธ
ฉู่เฉินซีรีบจัดแจงชุดของเธอให้เข้าที่ กอดเธอเข้าแน่นๆ ไม่ให้ใครเห็นได้เลย
“มีธุระอะไร?”
“สายคุณท่านครับ ”
ฉู่เฉินซีแววตาเข้มขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้าเย็นชา “รู้แล้ว ลงไปได้แล้ว ”
จนเสียงฝีเท้าจากไป เขาถึงได้ปล่อยหลินเวยมี่
หลินเวยมี่รีบจัดชุดตัวเองอย่างไว ดูสีหน้าเขาแล้วก็ไม่ได้ดีนัก และก็ไม่สะดวกคุย
“เดี๋ยวฉันมานะ ”เขาก้มจุ๊บหนึ่งที่ แล้วออกไป
หลินเวยมี่เดินเข้าห้องไป ผ้าม่านบางพัดปลิวเพราะลมโชย ดูสวยสง่าเป็นพิเศษ
ลมเย็นพัดมา พัดผ่านแก้มเธอ รู้สึกสบาย หลินเวยมี่นั่งเงียบๆอยู่ข้างตู้หนังสือ เลยหยิบเล่มนึงมาเปิดอ่าน
เหมือนว่าฉู่เฉินซีจะชอบอ่านหนังสือมาก ขนาดห้องนอนยังมีหนังสือเต็มไปหมด แต่ก็สะดวกหลินเวยมี่ อย่างน้อยก็ฆ่าเวลาได้หน่อย
แต่ประมาณสิบห้านาที ฉู่เฉินซีก็เดินเข้ามาอีกครั้ง ใบหน้าที่ไม่แสดงสีหน้าคาดเดาอารมณ์ของเขาไม่ออก
“ออกไปทานข้าวไหม?”เขานั่งลงข้างๆเธอ ถามเธอเสียงเบา เหมือนจะปรึกษาเธอ
หลินเวยมี่ตาเป็นประกาย สีหน้าตื่นเต้นดีใจ “คุณจะพาฉันไปด้านนอกเหรอ?”
“ไม่อยาก?”เขายิ้มสายตาอ่อนโยน นิ้วเย็นๆวางลงบนปากเธอ “แค่เธอทำตัวดีๆ ฉันก็ไม่ปิดล้อมเธอหรอก ใครใช้ให้เธอร้ายอย่างนั้นล่ะ คิดแต่จะหนีตลอด ”
ใบหน้าเล็กๆของหลินเวยมี่เต็มไปด้วยความดีใจ และก็ไม่ได้สนใจคำที่พูดด้วย รีบลุกขึ้นจากที่นอนอยู่บนเกาอี้ “ฉันจะไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้แหละ ”
“เดี๋ยวก่อน ”เขาดึงรั้งแขนของเธอไว้ “ให้ฉันอิ่มก่อนเป็นไง?”
เธอชะงัก ไม่ได้มีการตอบสนองกลับมา “บอกว่าจะไปทานข้าวข้างนอกไม่ใช่เหรอ?”
“แต่ฉันอยากกินเธอมากกว่า ”เขาลากเธอข้ามาไว้กลางอก สูดดมกลิ่นของเธอทั่วตัว
มือใหญ่ล้วงไปจับชุดของเธอง้างขึ้น
“ฉู่เฉินซี……”ตาเธอมองเขาเห็นลางๆแล้วเรียกชื่อเขา น้ำเสียงที่ใช้อำนาจในตอนแรก แต่เพราะการค่อยๆเข้ามาของความรู้สึกที่ต่างไปไม่เหมือนเดิม ทำให้เสียงของเธอเปลี่ยนไป
ตามที่คิด ฉู่เฉินซีได้ยินเสียงเธอการกระทำก็ยิ่งดุเดือดขึ้น มือของเขาสำรวจลงมาข้างล่าง พอสัมผัสถึงจุดลับก็ยิ้มพอใจ
“เธอพร้อมที่จะรับสิ่งที่ฉันเตรียมไว้แล้ว ”เขาพูดเบาๆแนบข้างหูเธอ น้ำเสียงมีความหมาย สายตาเห็นเข้าที่ติ่งหู แล้วขบลงไป
เธอขึงตึง สีหน้าสายตาสับสนพร่ามัวไปหมด
หลินเวยมี่อยากจะควบคุมตัวเองแทบบ้า แต่กลับเหมือนว่าไม่ว่ายังไงก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่ มันยาก ความรู้สึกมหัศจรรย์ซัดเข้ามาหาเธอเป็นลูกๆ
“จั๊กจี๋ ”เธอผลักเขาเบาๆ พูดขึ้นพร้อมกับแก้มแดงทั้งสองข้าง
ฉู่เฉินซีขบเธอเบาๆอีกครั้ง หลินเวยมี่ราวกับตัวเองหมดเรี่ยวแรงไปทั้งตัว พิงลงบนตัวเขาราวกับคนที่ไร้กระดูก อาศัยแรงจากตัวเขาพยุงตัวเอง
เขาจับเธอหันอย่างแรง
ทันใดนั้น รู้สึกถึงเขาที่กำลังค้ำเธออยู่ เธอประหม่าไม่หยุดอยู่ในใจ บรรยากาศเปลี่ยนจากเสียงหอบร้อนแรงกลายเป็นความอบอุ่นขึ้นมา
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกรังเกียจเลย ความรู้สึกขัดแย้งแบบเมื่อก่อนก็หายไปหมดแล้ว