บทที่ 128 พาผู้หญิงของฉันกลับบ้าน
ในสนามบินในมือหลินเวยมี่ถือชานม นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบเพื่อรอกู้จุนเฟิง ใบหน้าที่ซีดเซียวเพราะการดูแลรักษาสองวันนี้ทำให้กลับมามีเลือดฝาดอย่างเห็นได้ชัด
แต่ว่าร่างกายนั้นยังคงอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน ผมยาวนั้นได้ถูกม้วนขึ้นมา กระโปรงยาวสีชมพูทำให้ทั่วร่างนั้นดูสง่า
ความงามรูปลักษณ์หน้าตาของเธอ ต่อให้ไม่มีการแต่งเติมที่ข้างแก้ม ก็ทำให้ทั่วร่างนั้นดูเป็นธรรมชาติและเพิ่มความใสบริสุทธิ์และมีชีวิตชีวา
“เสี่ยวชี” กู้จุนเฟิงถือพาสปอร์ตนั่งลงข้างเธอ เอาเธอมาไว้ในอ้อมกอด” พวกเราไปลอนดอนกันนะบรรยากาศที่นั่นมันดีมากเลย”
“อื้ม”หลินเวยมี่ยิ้มให้เขา แล้วดื่มชานมต่อ
เพียงแต่ว่าเธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมในใจนั้นกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีอารมณ์อย่างนี้เหมือนว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง
หลังจากที่ถอนหายใจเอาอารมณ์ที่กระวนกระวายนั้นทิ้งไป ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็จะต้องไปกับกู้จุนเฟิง ออกไปจากเมืองที่ผู้คนวุ่นวายนี้ แล้วก็ไปหาสถานที่ๆพวกเขานั้นต้องการใช้ชีวิตอยู่
ข้างนอกสนามบิน รถโรลส์รอยซ์สีดำนำขบวนมาเรียงแถว แล้วจอดอยู่ที่หน้าประตูสนามบิน และคันสุดท้ายที่ตามหลังมานั้นก็ตามมาด้วยรถ Lincoln Limousine
ลูกน้องที่สวมใส่เสื้อสูทสีดำลงจากรถทันที แล้วกระจายไปทั่วสนามบินเหมือนกำลังจะตามหาใครสักคน
ผู้ชายที่ไร้สีหน้าความรู้สึกคนนึงเปิดประตูรถออกอย่างเคารพ นอบนอม ผู้ชายที่ใส่เสื้อเชิ้ตได้เดินลงจากรถ กวาดสายตามองไปที่ปากประตูสนามบินอย่างเฉยเมย สีหน้าเดินเข้าไปอย่างเพิกเฉย
ในตัวสนามบินนั้นหลินเวยมี่หันหน้ามามองกู้จุนเฟิง เม้มปากแล้วถามขึ้นว่า”เสี่ยวจื๋อจะละทิ้งทุกอย่างแล้วไปจากที่นี่จริงๆหรอ”
กู้จุนเฟิงเอานิ้วมือมาแตะที่ริมฝีปากของเธอ เหมือนกับว่าไม่อยากที่จะตอบปัญหานี้” ไม่ต้องถามจะได้ไหม ในเมื่อฉันพูดแล้วว่าต้องการจะอยู่ด้วยกันกับเธอก็คืออยู่ด้วยกัน ฉันไม่สนใจสิ่งอื่น”
หลินเวยมี่รู้สึกซาบซึ้งรีบพยักหน้า
กู้จุนเฟิงเห็นรอยยิ้มที่พอใจของเธอ ในใจก็ซาบซึ้งกอดที่เอวเธอแล้วจูบปาก เขาได้ลิ้มรสกลิ่นหอมของชานม
หลินเวยมี่ยิ้มโง่ๆมองกู้จุนเฟิง แล้วก็ให้รู้สึกมีสายตาที่เย็นยะเยือกจ้องมองเธออยู่ ความรู้สึกนี้ทำให้ทั่วร่างของเธอนั้นหนาวๆ
เธอกลับหันไปมองในทิศทางตำแหน่งที่จ้องมา แต่กลับไม่เห็นเงาที่คุ้นเคยเลยหรือว่าเธอนั้นจะกังวลมากเกินไป
“เป็นอะไรไป”กู้จุนเฟิงบีบนิ้วมือของเธอพลางถาม
“ไม่มีไรน่าจะตื่นเต้นน่ะ”
แม้ว่าหลินเวยมี่จะตอบอย่างนี้แต่ว่าในใจยังคงรู้สึกกลัว ทำไมรู้สึกถึงกลิ่นอายของฉู่เฉินซี ทั้งๆที่จะไปอยู่แล้วอย่าให้เกิดอะไรขึ้นเด็ดขาด
ในขณะที่เธอกำลังหันหน้ากลับมาก็เห็นอ้านเย่ที่ใบหน้าไร้อารมณ์กำลังขึ้นมา สายตานั้นระวังระไวเหมือนกำลังหาคน
ใจของเธอนั้นตกวูบชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะจับมือของกู้จุนเฟิงแน่น
ทำไมอ้านเย่มาอยู่ที่นี่ หรือว่าเขาก็มาตามหาด้วย ในใจนั้นเย็น ยะเยือกมองไปรอบๆอย่างระแวดระวังแล้วก็เห็นคนใส่ชุดดำหลายคนตามเข้ามา
“เป็นอะไรไป”กู้จุนเฟิงก็รู้สึกถึงความผิดปกติของเธอ รีบถามขึ้น
ริมฝีปากของเธอซีดขาว จับมือกู้จุนเฟิงไว้แน่น”ไป พวกเรารีบไป เขามาตามหาแล้ว”
“ใคร?”กู้จุนเฟิงถามอย่างประหลาดใจ
“ฉู่เฉินซี พวกเรารีบไปกันเถอะฉันไม่อยากถูกเขาจับได้” พูดจบ หลินเวยมี่ก็ดึงมือของกู้จุนเฟิงเดินออกไปยังสนามบิน
แดดข้างนอกนั้นแรงมาก เธอยืนอยู่บนถนนอย่างงุนงงกลับไม่เห็นรถแท็กซี่สักคัน
” ทำยังไงดีไม่มีรถทำยังไงดี” เธอพูดอย่างกระวนกระวายสีหน้าก็มีความกระวนกระวาย
กู้จุนเฟิงจับมือเธอไว้แน่นเอาเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด”เสี่ยวชี เขาไม่ได้มาตามหาเธออย่ากังวลเดี๋ยวพวกเราก็จะไปจากที่นี่แล้วอย่ากังวลเลยนะ”
หลินเวยมี่มองกู้จุนเฟิงอย่างลึกซึ้ง นัยน์ตาปรากฏความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ เขาตามมาแล้ว ตามมาแล้วจริงๆ”
กู้จุนเฟิงถอนหายใจดึงมือเธอเข้าไปที่ประตูสนามบิน
ทางเข้าปากประตูสนามบิน ผู้ชายคนนึงกำลังยืนรับ ด้านข้างนั้นมีกลุ่มชายเสื้อดำยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างสงบ เขาสวมแว่นดำใหญ่ เอาครึ่งนึงของใบหน้านั้นปกปิด
แต่ว่ากลิ่นอายของความเฉียบขาดกลับไม่ได้รับผลกระทบแม้นิดเดียว เขามองคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงบ มุมปากยกขึ้นยิ้มอย่างเยือกเย็น เหมือนกำลังหัวเราะเยาะคนทั้งสอง
ความรู้สึกเย็นที่กระดูกนั้นเหมือนน้ำแข็งไม่ปาน คืบคลานตั้งแต่หัวลงมาทำให้ทั่วร่างของเธอนั้นเย็น
ฉู่เฉินซีส่งเสียงหัวเราะเยาะแล้วค่อยๆเดินมาที่คนทั้งสอง
กู้จุนเฟิงเอาเธอกั้นไว้ด้านหลัง มองฉู่เฉินซีอย่างเยือกเย็น”นายอยากจะทำอะไร”
“พาผู้หญิงของฉันกลับบ้าน” เขาพูดตามปกติ น้ำเสียงเงียบสงบเหมือนกับถามไถ่ว่ากินอาหารกลางวันแล้วหรือยัง
เพียงแต่ความแหบแห้งกับความเหนื่อยล้าที่อยู่ในเสียงทำให้หลินเวยมี่เพิกเฉยไม่ได้ ในที่สุดเขาก็จับเธอจนได้
” เธอไม่ใช่ผู้หญิงของนาย นายก็ไม่มีสิทธิ์พาเธอไปด้วย”กู้จุนเฟิงตอบด้วยสายตาเยือกเย็น มือที่จับหลินเวยมี่นั้นแน่นมากยิ่งขึ้น
“หรอ” เขาเอ่ยปากถาม นัยน์ตาที่อยู่ภายใต้แว่นตาดำนั้นปรากฏความเยือกยะเย็น” เธอไม่ยอมกลับไปกับฉันหรอ”
หลินเวยมี่จับที่ปลอกแขนเสื้อ หายใจเข้าลึกๆ เงยหน้ามองสายตาของฉู่เฉินซี แต่พอมองนั้นก็เห็นเขาผอมลงไปมาก
ในใจก็มีความกลัวแต่ว่ายังคงพยักหน้าแล้วพูดอย่างมั่นใจว่า” ฉันไม่กลับไปกับคุณ”
ฉู่เฉินซีเหมือนเดาออกตั้งนานแล้วว่าเธอจะตอบอย่างนี้ สีหน้านั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แล้วค่อยๆเดินเข้ามาหาเธอ
หลินเวยมี่เพิ่งจะรู้ว่าเขาถือปืนอยู่ในมือ สีหน้าของเธอนั้นก็เปลี่ยนเป็นซีดเซียว เธอไม่แน่ใจว่าคนบ้าคนนี้จะทำเรื่องอะไรกันแน่
รีบเข้ามาที่หน้าของเขาแล้วกันกู้จุนเฟิงไว้ ถามอย่างกังวลว่า” ถ้าเธอกล้าแตะต้องเขาก็ข้ามศพฉันไปก่อน”
ฉู่เฉินซีได้ยินคำพูดของเธอ บนใบหน้าก็หน้าเยาะเย้ยทันที มองผู้หญิงหัวแข็งที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงบ รู้สึกว่าการตามหาที่บ้าคลั่งหลายวันนี้นั้นเป็นเรื่องตลกสิ้นดี
ถ้าเธอตั้งใจหลบ เขาจะหาเธอได้อย่างไร
อีกทั้งเกรงว่าก็มีแค่ตัวเองที่นอนไม่หลับอย่างโง่ๆอยู่หลายวัน กังวลความปลอดภัยของผู้หญิงคนนี้น่ะสิ?
“หลินเวยมี่ เธอทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ”น้ำเสียงเมินเฉยและเย็นชา เขามองเธออย่างผิดหวัง
“เธอกำลังทำอะไร มานี่”กู้จุนเฟิงอยากที่จะดึงหลินเวยมี่กลับมาและไม่อยากถูกลูกน้องอ้านเย่นั้นขวาง สิบกว่าคนล้อมกู้จุนเฟิงอีกด้านนึงไม่ให้เขาขยับ
หลินเวยมี่กังวลสถานการณ์ของกู้จุนเฟิง ถามอย่างกระวนกระวาย”ฉู่เฉินซี ในเมื่อเธอผิดหวังต่อฉันแล้วก็รีบปล่อยฉันไปเถอะอย่ามาเกี่ยวพันกับฉันเลยฉันเป็นผู้หญิงอย่างนี้ไม่คู่ควรกับเธอ”
” เธอไม่คู่ควรกับฉันจริงๆ”ฉู่เฉินซีพูดจาเด็ดเดี่ยว ใบหน้าขรึม
” เธอคิดว่าเธอเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาทำให้ฉันเป็นห่วงเธอ มีสิทธิ์อะไรให้ฉันไม่ดูแลตัวเองแล้ววิ่งมาตามหาเธอ มีสิทธิ์อะไรที่ทำให้ ฉันนั้นหลายวันหลายคืนไม่หลับไม่นอนเพื่อตามหาเธอ เธอบอกมาสิเธอมีสิทธิ์อะไร”
หลินเวยมี่ไม่มีคำพูด มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงบ ภายในหัวใจรู้สึกเจ็บแปลบ
ฉู่เฉินซีเดินเข้ามาที่ด้านหน้ามองเธออย่างพินิจพิเคราะห์ พูดอย่างเย้ยหยันว่า”หลินเวยมี่ ฉันอยากที่จะฉีกหน้าอกของเธอ เพื่อดูว่าหัวใจของเธอนั้นใช้หินทำใช่หรือเปล่า”
“ฉู่เฉินซี ฉันไม่รักเธอ อย่าทำเรื่องโง่ๆอย่างนี้อีกเลย”เธอเบนหน้าไปทางอื่นและเอ่ยปากพูด
สายตาของฉู่เฉินซีลึกซึ้ง ได้ยินคำพูดที่ไร้เยื่อใยในใจก็ยังคงเจ็บ
“หลินเวยมี่ จริงๆแล้ววันนั้นเธอหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้าของบ้านเย่หนิงใช่ไหม ฉันรู้ว่าเธอหลบฉัน แล้วไหนจะยังที่สตูดิโออีก ฉันได้กลิ่นอายของเธอ ทรุดลงตรงหน้าของเธอ เธอไม่สนใจฉันเลยใช่หรือเปล่า”
“ที่เธอพูดก็ถูก ฉันกำลังทำเรื่องโง่จริงๆ ตั้งแต่ฉันได้รักเธอฉันก็กำลังทำเรื่องโง่ๆมาตลอด”
หลินเวยมี่มองฉู่เฉินซีอย่างตกใจ บนใบหน้ามีสีหน้าไม่อยากเชื่อ เธอไม่เชื่อว่าฉู่เฉินซีจะรักเธอ เพราะว่านิสัยของฉู่เฉินซีนั้นรักเป็นแต่ตัวเอง จะรักคนอื่นเป็นได้อย่างไร
แต่ว่าเมื่อกี้นั้นเขาพูดออกมาจริงๆ เขาพูดว่าเขารักเธอ หัวใจนั้นเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอนั้นรู้สึกตื่นเต้น
“มันรู้สึกน่าเย้ยหยันใช่หรือเปล่า”เขาหัวเราะ จับข้อมือของเธอ” ฉันอนุญาตเธอตอนนี้ให้เยาะเย้ยฉันได้อย่างเต็มที่แต่ว่าฉันนั้นรักเธอเข้าแล้วจริงๆ”
หลินเวยมี่ตัวสั่น ในตานั้นนอกจากความไม่เชื่อก็ไม่มีอารมณ์อย่างอื่น
” ไม่เชื่อใช่ไหมล่ะ ฉันจะเอาหัวใจดวงนี้คว้านมาให้เธอดู” เขายิ้มไม่รู้ว่าเอามีดปอกผลไม้มาจากตรงไหน
สายตาที่เธอกำลังตกใจนั้น เขาได้เอามีดแทงลงไปที่หน้าอกอย่างแรง
“ฉู่เฉินซี!”เธอเบิกตากว้างแล้วกรีดร้อง
ท่าทางของเขาเร็วมาก เร็วจนเธอไม่มีปฎิกิริยาตอบกลับ ได้เห็นแค่มีดนั้นแทงเข้าไปที่หน้าอกแล้วยังมีรอยคราบเลือดกองโต
“ตอนนี้เธอเชื่อแล้วหรือยัง ฉันนั้นรักเธอจริงๆ ไม่งั้นหัวใจคงไม่เจ็บอย่างนี้”ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความจนใจ เผยให้เห็นรอยยิ้มขื่นขม
” เธอมันบ้า” เธอนั้นเข้าไปมองมีดของเขาอย่างกังวลไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ทั่วร่างนั้นก็ตะลีตะลาน
“อ้านเย่ โทรศัพท์ โทรเรียกรถพยาบาลเร็วเข้า พระเจ้า เธอนี่มันบ้าจริง”
ฉู่เฉินซีมองผู้หญิงที่ลนลานอยู่ตรงหน้า มุมปากก็ยิ้ม เอามือที่ถือมีดปอกผลไม้ดึงมาไว้ด้านนอก เลือดนั้นก็ไหลออกมาเหมือนน้ำ
“ฉู่เฉินซี อย่าขยับๆ”เธอจับมือของเขาไว้อย่างกลัว ไม่ให้เขานั้นมีโอกาสได้ขยับ”ทำไมเธอถึงได้บ้าอย่างนี้ เลือดเยอะมาก เธอน่ะมันบ้า ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมาดูสิว่าฉันจะจัดการกับเธออย่างไร
พูดคำสุดท้ายเสร็จน้ำตาหยดโตก็ไหลลงมา ถามอย่างลนลานว่า”ทำอย่างไรดี เลือดเยอะอย่างนี้ เธอนี่มันโง่จริงๆ”
“เธอยังจะไปอีกไหม”ฉู่เฉินซีจับมือของหลินเวยมี่ไว้แน่นแล้วถามเสียงเบา
“ไม่ไปแล้วๆ อย่าขยับนะ”เธอร้องไห้อย่างลุกลี้ลุกลน มองปากแผลที่หน้าอกของเขา เจ็บปวดราวกับจะสลาย
“อย่าไป อยู่ข้างกายฉันได้ไหม”เสียงของเขาไร้เรี่ยวแรงเอ่ยถามอย่างเบาๆ”หลินเวยมี่ บอกฉันหน่อยว่าเธอรักฉัน”
” ฉันรักเธอฉันไม่ไปแล้ว เธอนี่มันโง่ทำไมถึงทำร้ายตัวเองอย่างนี้ โง่จริงๆ”หลินเวยมี่ร้องไห้ไปพลางพูดซักถามไป
“ถ้าไม่ทำอย่างนี้ เธอจะอยู่ต่อได้ไง”ฉู่เฉินซีเอ่ยปากถาม มุมปากยิ้มอย่างภาคภูมิ