บทที่ 124 ยึดติดกับกลิ่นของเธอ
หลินเวยมี่โอบกอดความท้อแท้ของตัวเองไว้แน่นอยู่ในซอกเล็กๆมุมหนึ่ง หัวใจนั้นเต้นไม่ไปตามจังหวะเพราะได้กลั้นหายใจไว้จนสีหน้านั้นเริ่มแดง
เธอเกือบจะรู้สึกได้ถึงสายตาพิฆาตคนของฉู่เฉินซี ถ้าถูกเขาหาเจอก็ไม่รู้ว่าเธอจะโดนลงโทษอย่างไร
ทันใดนั้นใจเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก คิดไปถึงท่าทางที่อำมหิตของฉู่เฉินซี ความกลัวก็ทะลักเข้ามา
” นายครับ สืบหาว่าคุณหลินเวยมี่นั้นอยู่ในโรงแรมเล็กๆของภายตะวันออกเมืองหลายวันแล้วครับ”
เสียงฝีเท้านั้นก็หยุดลงทันใด เสียงของผู้ชายที่เงียบมานานนั้นก็ได้ดังขึ้น” ไป!”
จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไป หลินเวยมี่ถึงจะถอนหายใจออกมา ทั่วร่างทรุดอยู่ในตู้เสื้อผ้า เพราะว่าความกังวลตกใจกลัวนั้นได้ผ่อนคลายลงแล้ว พละกำลังที่อยู่ทั่วร่างก็ได้ถูกสูบออกไป
ทันใดนั้นด้านหน้าก็มีแสงสว่างหลินเวยมี่ยกมือขึ้นป้องตา มองเย่หนิงที่มีสีหน้ากังวลอยู่ด้านนอกตู้เสื้อผ้า
“มี่มี่ ออกมาเร็ว”
พอเธอพูดเตือนอย่างนี้หลินเวยมี่ก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับ ถ้า ฉู่เฉินซีรู้ว่าเธอไม่อยู่ในโรงแรมเล็กๆนั้นแล้วล่ะก็คงจะต้องกลับมาหาที่นี่อีกเป็นแน่
” พวกเรารีบไปกันเถอะ”
ในลิฟต์นั้น ใบหน้าของฉู่เฉินซีมีความเหนื่อยล้า เขานั้นใส่เสื้อเชิ้ตสีเข้มทั่วร่างเผยให้เห็นกลิ่นอายน่าเกรงขาม
กำหมัดที่กำแน่นนั้นก็ได้คลายลง ความกังวลที่อยู่ในใจเสมือนเป็นความบ้าคลั่งที่ค่อยเติบโตเหมือนต้นหญ้า แต่กลับไม่กล้าให้ความคิดนั้นหยุดลงกลัวว่าตัวเองจะบ้าคลั่ง
เขานั้นให้เธอรออยู่บ้านนิ่งๆ คิดไม่ถึงว่าเธอนั้นจะถือโอกาสในตอนที่เขาออกไปแล้วหนี
มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มที่เยือกเย็น มือกำแน่น ดีมาก ผู้หญิงคนนี้ไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขาแล้วกล้าที่จะหนี!
แม้ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหนเขาก็ต้องเอาเธอกลับมา
“นายครับ ข้างหลังของนาย….”อ้านเย่เอ่ยปากพูดอย่างกังวล สายตามองไปที่แผ่นหลังของฉู่เฉินซี รอยบาดแผลที่อยู่ข้างหลังนั้นซึมออกมาจากนอกเสื้อเชิ้ตให้เห็น
เลือดนั้นทำให้เสื้อเชิ้ตเปลี่ยนเป็นสีดำเข้ม เสื้อผ้าก็แนบชิดตัว
” จะไปทำแผลหน่อยไหมครับ”
” ไม่ต้อง”ฉู่เฉินซีเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก บนใบหน้าดูไม่ออกถึงความเจ็บปวดใดๆ มีเพียงแค่ความเหนื่อยล้า
อ้านเย่รู้แน่นอนว่าตั้งแต่หลังจากที่หยิ่งนั้นเอาข่าวคุณหลินเวยมี่บอกกับเขา เขาก็ได้แต่เหม่ออยู่ตรงนั้น พอตกกลางคืนก็พลุนพลันออกตามหาหลินเวยมี่
อีกทั้งในคืนนั้นก็เป็นเพราะฉู่เฉินซีอยู่ในช่วงได้รับบาดเจ็บ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าจะกลับมาเร็วกว่านี้
จากระดับความบ้าของฉู่เฉินซี เขาก็สำนึกรู้ว่าฉู่เฉินซีรู้สึกยังไงต่อหลินเวยมี่กันแน่
คงไม่ใช่แค่อยากเอาชนะหรอกนะ?
“แล้วจะลงโทษหยิ่งยังไง”อ้านเย่ถามต่อ
ลูกนัยน์ตาที่ดำขลับของฉู่เฉินซีเผยให้เห็นความแปลกประหลาด เอ่ยปากพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า” รอให้หาตัวหลินเวยมี่เจอแล้วค่อยว่ากัน”
อ้านเย่สะท้าน ไม่กล้าถามอะไรต่ออีก
คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในโรงแรมเล็ก ในห้องนั้นมีเพียงแค่ป้าทำความสะอาดกำลังทำความสะอาดอยู่และไม่เห็นเงาของหลินเวยมี่เลย
ฉู่เฉินซีค่อยๆเดินเข้ามาสีหน้านั้นมืดครึ้ม ทั่วร่างส่งกลิ่นอายน่าดึงดูดที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น
เขานั้นกวาดสายตามองไปรอบๆ โรงแรมนี้มันเล็กจริงๆในห้องนั้นมีเพียงแค่เตียง 1 เตียงโทรทัศน์ 1 เครื่องนอกจากนั้นก็ไม่มีอะไร
แต่ว่าในอากาศนั้นกลับเหมือนส่งกลิ่นอายของ หลินเวยมี่มา
“นายครับ เจ้าของโรงแรมบอกว่าคุณหลินเวยมี่ได้เช็คเอาท์ออกไปแล้วเมื่อเช้าครับ”
ฉู่เฉินซีนั้นยืนอยู่ข้างเตียงอย่างนิ่งๆ สายตาขึงตึง คิดไปถึงรองเท้าสองคู่ที่อยู่ในบ้านเย่หนิง สีหน้าก็เปลี่ยน” สมควรตาย!”
ในสตูดิโอนั้นหลินเวยมี่ใส่เสื้อผ้าผู้หญิงชาวบ้าน นั่งคุกเข่าอยู่ด้วยกันกับกลุ่มคน บนใบหน้าของเธอนั้นแต่งหน้าจนเข้ม พอแค่ดูก็เหมือนหญิงชาวบ้านธรรมดาวัยกลางคนเฉิ่มๆคนหนึ่ง
นี่เป็นการแสดงที่ผีนั้นเข้ามาในหมู่บ้าน แล้วเธอก็เป็นกลุ่มนักแสดงคนหนึ่งในนั้น เธอถลันมายืนอยู่กับเย่หนิงที่ใส่เสื้อทหารแบบผู้หญิง แล้วชักสายตาให้กับเธอ
เย่หนิงเผยรอยยิ้มให้กับเธอเหมือนเป็นการปลอบให้กำลังใจเธอ
เธอไม่มีที่ไปชั่วคราวแล้วก็กลัวฉู่เฉินซีจับได้เลยไม่มีทางทำได้ แค่ออกมากับเย่หนิงอีกทั้งคนที่เป็นกลุ่มนักแสดงยังมีกล่องข้าวอาหารกลางวันกิน
เธอฉีกยิ้มไม่ว่าจะอย่างไรให้หลุดพ้นไปจากปีศาจร้ายนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้เขาหาเธอไม่เจอเธอนั้นก็รู้สึกกระวนกระวาย บางทีอาจจะหาอีกรอบหนึ่งก็ลืมเธอไปแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้อารมณ์ก็ดีขึ้นเยอะมาก ไม่ว่ายังไงก็ตามไม่ถูกฉู่เฉินซีขังดีกว่าเป็นไหนๆ
” ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้ว่าเขานั้นอยู่ที่ไหน”
ในขณะที่ถ่ายหนังนั้น หลินเวยมี่ก็ได้ยินเสียงของเย่หนิง สีหน้าให้เปลี่ยนเป็นซีดเซียวทันใด หรือว่าฉู่เฉินซีมาตามหาที่นี่อีก
เธอไม่กล้าเงยหน้า ถึงขนาดไม่กล้ามองไปยังทิศทางของเขา เกรงว่าแค่กริยาเล็กๆน้อยๆก็จะทำให้เขาเกิดความสงสัยและถูกเขาจับได้
” หยุดลง”อ้านเย่ส่งเสียงมาด้วยความเยือกเย็น” เอาพนักงานของพวกคุณทั้งหมดมาที่นี่”
“เฮ้ย นี่พวกคุณเป็นใครกัน” ผู้กำกับตะโกนถามด้วยความรู้สึกไม่พอใจทันที
อ้านเย่เดินเข้ามาหาเขา แล้วกระซิบพูดอยู่ข้างหูไม่รู้ว่าพูดอะไรแต่ใบหน้าของผู้กำกับนั้นให้ซีดลงทันที
” ผู้ช่วยไปเรียกคนมา เร็วๆเลย”
หลินเวยมี่ก้มหน้าลง แทรกตัวอยู่ในกลุ่มคนในใจสั่นเขานั้นกลับมาหาที่นี่จริงๆ
” ทั้งหมดยืนให้ดี เร็วเข้า”อ้านเย่ตะคอก
ใจของหลินเวยมี่ก็รัดแน่น ก้าวถอยหลังไปยืนอยู่ที่ข้างหลัง รอให้คนทั้งหมดยืนกันดีหมดแล้ว ฉู่เฉินซีถึงจะค่อยๆเดินเข้าไปหาพวกเขา
“คุณฉู่ ฉันบอกกับคุณไปแล้วไงว่ามี่มี่ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับฉัน ทำไมคุณไม่ฟัง”เย่หนิงเดินพูดตามหลังของฉู่เฉินซี
ฉู่เฉินซีไม่ตอบ สีหน้ามองทุกคนอย่างเคร่งขรึม เหมือนเกรงว่าจะพลาดใครไป
“คุณฉู่ ถ้าคุณขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปก็จะก่อกวนชีวิตของฉัน”เย่หนิงพูดงึมงำ
” หุบปาก” สีหน้าของฉู่เฉินซีเผยให้เห็นถึงความรำคาญ สีหน้านั้นซีดเซียวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ มีเพียงแค่คนที่ใส่ใจเท่านั้นถึงจะเห็นตรงจุดนี้ จังหวะการเดินของเขาค่อนข้างเซ
เย่หนิงไม่ได้พูดอะไรต่อด้วยความแค้นใจ แต่ในใจลึกๆนั้นกลับให้กระวนกระวาย
มือของหลินเวยมี่ป้องปิดอยู่ที่หางตาอย่างแน่นๆ ในใจนั้นรู้สึกถูกรัดแน่นอีกครั้ง ฝีเท้าของเขาเสมือนกับทุบลงในใจของเธอ
“คุณชายฉู่ ดื่มน้ำก่อนสิครับ”ผู้กำกับหยิบน้ำยื่นส่งให้อย่างประจบ
อ้านเย่กวาดตามองเขาอย่างเฉยเมย เอ่ยปากพูดอย่างไม่แสดงสีหน้าว่า”ส่งให้ผมก็พอ ไม่มีธุระของคุณแล้วล่ะ”
ฝีเท้าของฉู่เฉินซียิ่งเข้าใกล้มากยิ่งขึ้นไม่ทันไรก็มาหาตรงโซนของเธอ หน้าผากให้เต็มไปด้วยเหงื่อ ถ้าถูกเขาเจอตัวจริงๆ…
“คุณฉู่ มี่มี่ไม่อยู่ที่นี่กับพวกเราจริงๆ ฉัน…”
เย่หนิงดึงเสื้อผ้าของเขา น่าจะเป็นเพราะว่ากังวลว่าหลินเวยมี่จะถูกจับได้ แรงของเธอจึงมาก
และในเวลานี้สมองของฉู่เฉินซียุ่งเหยิง ร่างนั้นไม่มีแรงมานานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะการฝักใฝ่ที่จะตามหา เขาคงล้มไปนานแล้ว
และเธอก็ดึงอย่างนี้เลยกลับทำให้ฉู่เฉินซีไม่มีแรงเลย ร่างนั้นทรุดลงไปกับพื้นสลบไป
และก็ประจวบเหมาะ พอดีกับตรงหน้าหลินเวยมี่
หลินเวยมี่ก็มองคนที่ล้มลงอยู่ตรงหน้า สายตามองไปที่เลือดที่ไหลออกมาตรงแผ่นหลัง ใจก็ให้เจ็บแปลบ อยากจะนั่งยองลงไปตามสัญชาตญาณเพื่อพยุงเขาขึ้น
แต่สติสัมปชัญญะบอกเธอว่า ถ้าพยุงเขาขึ้นจริงๆนั่นก็แปลว่าความเป็นอิสระของเธอก็ไม่มีอีกต่อไป
กัดฟันแน่น มองอ้านเย่มาพยุงฉู่เฉินซีขึ้น แล้วรีบพาออกไปข้างนอก
จนกระทั่งพวกเขาออกจากสตูดิโอไป เธอถึงจะได้สติกลับมา
เย่หนิงจับมือของเธอแน่น ทั่วร่างนั้นสั่น อดไม่ได้ที่จะถามว่า”รอยบาดแผลที่หลังของเขาดูเหมือนจะรุนแรงมาก คงไม่ใช่เพราะฉัน เขาถึงสลบไปหรอกนะ”
“เย่หนิง จริงๆแล้วฉันต้องขอบคุณเธอที่ดึงเขาไว้อย่างนี้ อย่างน้อยเขาก็ไม่เห็นฉัน”หลินเวยมี่เอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ในสมองนั้นกลับคิดไปถึงท่าทางของฉู่เฉินซีที่ล้มลงไปเมื่อกี้นี้ รอยบาดแผลข้างหลังของเขามาได้ไง?
อีกอย่าง วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอนั้นเห็นฉู่เฉินซีอ่อนแออย่างนี้ ดูเหมือน….ให้คนนั้นรู้สึกสงสาร
“เย่หนิง ตกลงว่าคุณชายฉู่ใช้เธอตามหาใคร”ผู้กำกับถามอย่างประจบ
เย่หนิงอดไม่ได้ที่จะยักไหล่ “ฉันจะไปรู้ได้ไงคะ”
สีหน้าของผู้กำกับนั้นแข็งทื่อ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรมาก หันตัวกลับไปถ่ายหนังต่อ
หลังจากที่ถ่ายเสร็จแล้ว หลินเวยมี่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างเครื่องสำอางออก และยืนอยู่ด้านข้างเพื่อรอเย่หนิงอยู่อย่างนิ่งๆ
มันไม่ง่ายเลยที่จะถ่ายเสร็จ หลินเวยมี่เข้ารับอย่างไม่รอช้าเพื่อรอเย่หนิงกลับไปด้วยกัน
“เอ๊ คุณเป็นสาวชาวบ้านที่อยู่ในกลุ่มนักแสดงเมื่อกี้นี้?”หน้าของผู้กำกับมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน สายตาสว่างไสว
หลินเวยมี่ก็ถูกเขาใช้สายตาพิจารณามองอย่างไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ ในใจก็มีความกลัวและมีความรู้สึกไม่ชอบ
“อื้ม ฉันเองค่ะ”
“หน้าตาดูเป็นเอกลักษณ์ เออเย่หนิงงานเลี้ยงกินข้าวคืนนี้ เอาเธอไปด้วย”ผู้กำกับตบไปที่ไหล่ของเย่หนิงเบาๆ พูดยิ้มๆ
เย่หนิงเงยหน้ามองหลินเวยมี่ พยักหน้าเพื่อบอกตกลง
รอจนผู้กำกับนั้นออกไป เย่หนิงก็ดึงหลินเวยมี่มาพูดเตือนว่า”มี่มี่ ผู้กำกับคนนี้ในวงการนี้มีชื่อเสียงในเรื่องอย่างว่า พวกเราไม่ไปดีกว่า”
“แต่ว่าเธอรับปากเขาไปแล้วไม่ใช่หรอ”หลินเวยมี่ขมวดคิ้วถาม เมื่อกี้นี้ก็รู้สึกว่าบุคลิกของผู้กำกับคนนี้ไม่ดีมากเท่าไหร่
สีหน้าของเย่หนิงนั้นแข็งทื่อ เอ่ยปากพูดขึ้นอย่างลำบากใจ”จริงๆแล้วในกลุ่มนี้แพร่ข่าวว่าผู้กำกับนั้นมีอะไรแฝงกับนักแสดงอื่นๆ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเลี้ยงข้าวพวกเรา ไม่งั้นเอาอย่างนี้ฉันจะไปรับมือกับเขาบอกว่าเธอกลับไปแล้ว”
“ไม่เหมาะมั้ง พวกเราไปด้วยกันยังพอช่วยเหลืออะไรกันได้บ้าง”หลินเวยมี่พูดอย่างไม่สบายใจ
คนทั้งสองจ้องมองกันแล้วพยักหน้า จริงๆแล้วในใจของหลินเวยมี่ยังคงมีความกลัว เธอในตอนนี้นั้นต้องมีความระแวดระวังในทุกๆที่ แต่ว่าถ้าเตรียมรับมือกับเจ้าหมอนั่นแล้วล่ะก็….
เธอฉีกปากยิ้ม ในใจนั้นมีแผนรับมือกับผู้กำกับ
คนทั้งสองไปตามนัด เปิดประตูห้องที่นั่งออก ในนั้นกลับมีผู้ชายคนอื่นอีกสองคนเป็นรองผู้กำกับกับคิดวางรูปแบบ
คนทั้งสองนั่งด้วยกัน มองหน้ากัน เย่หนิงยิ้มเอ่ยปากพูดว่า”ผู้กำกับ ไม่รู้ว่าวันนี้ผู้กำกับชวนฉันกินข้าวมีเจตนาอะไร คุณพูดออกมาให้พวกเราสองพี่น้องให้ใจชื้นเถอะค่ะ”
ผู้กำกับนั้นคิดไม่ถึงว่าเย่หนิงจะพูดตรงไปตรงมาอย่างนี้ คนทั้งสองยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก สีหน้าผู้กำกับนั้นกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยิ้มแล้วเอ่ยปากพูดว่า”เย่หนิง คุณนี่ตรงไปตรงมาจริงๆ ผมก็แค่เชิญคนในกองมากินข้าวด้วยกันยังจะมีอะไรอื่นอีก”
พูดจบ ไม่รอให้เย่หนิงได้พูด น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยน ถามต่อว่า”เย่หนิง คุณชายฉู่เป็นคนที่มีชื่อเสียง แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าวันนี้เขาจะมาหาใคร แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของพวกคุณไม่เลวเลย”