บทที่ 129 นอนด้วยกันถือว่าสนิทกันไหม
ที่โรงพยาบาลห้องผู้ป่วย หลินเวยมี่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยอย่างเงียบๆมองดูผู้ชายที่เหมือนหมาจิ้งจอกที่อยู่ตรงนั้น เธอกวาดตามองแผลของเขา แล้วถอนหายใจ
“ฉู่เฉินซี เธอจะไม่เอาชีวิตแล้วจริงๆใช่ไหม”
ฉู่เฉินซีมองท่าทางใบหน้าที่โกรธของเธออย่างเงียบๆไม่ได้โกรธอะไรเลย แต่ในใจกลับรู้สึกดีใจ
“เด็กบ้า ฉันไม่เป็นไร”
“เธอทำตัวให้ปกติจะได้ไหม อย่าเอะอะก็เอาชีวิตมาล้อเล่น”หลินเวยมี่ถาม แม้ว่าน้ำเสียงจะดุแต่ว่าก็ยากที่จะปกปิดความกังวลที่อยู่ข้างใน
“เด็กโง่ ฉันไม่เป็นไร”
“เธอเป็นห่วงฉัน”เขาจับมือแล้วถามเสียงเบา น้ำเสียงนั้นเหมือนเด็กที่ได้กินลูกอม
หลินเวยมี่มองเขา มองที่แผลของเขา ถอนหายใจ พูดอย่างปากเปียกปากแฉะ”ฉู่เฉินซี เธอดูสิว่าตัวเธอทำอะไรลงไป ทั่วร่างนั้นเต็มไปด้วยแผล”
” ฉันไม่เป็นอะไรไม่เป็นอะไรจริงๆ” เขาพูดปลอบใจเธอกำมือแน่น แน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้โง่ที่ถือมีดมาแทงตรงหัวใจ ไม่อย่างนั้นคงได้ให้เธอกับกู้จุนเฟิงสมใจไปแล้ว
หลินเวยมี่ก้มหน้า รู้สึกว่าทั่วร่างนั้นยุ่งเหยิง ความกังวลก่อนหน้านี้ได้หายไป ความกลัวที่อยู่ในใจเข้ามาแทนที่
เขากลัวว่าฉู่เฉินซีจะกักขังเธอเหมือนเมื่อก่อน มันเป็นความขัดแย้งของคนจริงๆ ปากบอกไม่ชอบ แต่ว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉู่เฉินซีจริงๆ แล้วตอนนี้อยู่ที่นี่ได้ไง
ปีศาจตัวนี้ได้เข้าไปอยู่ในส่วนลึกหัวใจของเธอโดยที่เธอนั้นไม่รู้ตัว
“กินส้มไหม”ส้มที่อยู่ในมือของหลินเวยมี่เธอแบ่งมันออกด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก ในใจเต็มไปด้วยเรื่องต่างๆ
ท่อนบนของฉู่เฉินซีนั้นเปลือย ปากแผลที่อยู่บนร่างนั้นได้พันไว้เรียบร้อยแล้ว เขานั้นจ้องมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตามีความรักใคร่
หลินเวยมี่แบ่งส้มอย่างระวัง เอาส้มที่แบ่งแล้วยื่นส่งให้เขา”อ่ะ ไม่กินหรอ”
“กิน”เขายิ้ม กัดที่มือของเธอ กัดส้มจนหมดแต่ไม่ยอมเอาปากปล่อยนิ้วมือ
“ฉู่เฉินซี”นิ้วมือถูกเขากัด เธอรู้สึกแค่ทั่วร่างนั้นไม่สบาย ในห้องนั้นเหมือนเต็มไปด้วยกลิ่นอายคลุมเคลือ
“หื้ม?”เขาถามเบาๆ ยักคิ้ว มุมปากยกขึ้น”ครั้งหน้าเรียกฉันว่าเฟิง เรียกชื่อเต็มแล้วระหว่างพวกเรารู้สึกไม่สนิทสนม”
หลินเวยมี่หยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดนิ้ว”พวกเราสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
เขากวาดตามองเธออย่างเมินเฉยเอาถาดที่อยู่ในมือนั้นยื่นส่งให้เธอ”
“นอนด้วยกันถือว่าสนิทกันไหม” เขายิ้มพลางดึงแขนของเธอใช้แรงกระชากเธอเข้ามา” ไม่นานเธอลืมภาพสงครามตอนกลางคืนระหว่างพวกเราไปแล้วหรอ อยากจะให้เธอนั้นโดนจริงๆเลย”
เมื่อพูดคำนี้จบเขาก็หอมที่ข้างแก้มของเธออย่างเบาๆ” จริงๆแล้วเธอกำลังชักชวนฉันอยู่ใช่หรือเปล่า”
หลินเวยมี่ได้ยินคำพูดของเขาก็หน้าแดง ถลึงตามองเขา” ฉันไม่เหมือนเธอที่คิดแต่เรื่องแบบนั้น”
” เรื่องไหนเธอก็พูดออกมาสิ”
หลินเวยมี่หน้าแดงคร้านที่จะสนใจเขา สลัดตัวเดินออกไปข้างนอกแต่เมื่อมาถึงหน้าประตูกลับพบกับอ้านเย่
เขากวาดสายตามองเธออย่างเมินเฉย เอาถาดที่อยู่ในมือยื่นส่งให้เธอ” อาหารกลางวันของเจ้านายรบกวนคุณหลินเวยมี่ด้วยครับ”
อ้านเย่ พูดจบก็ปิดประตู หลินเวยมี่ใบหน้ากลัดกลุ้ม มองถาดที่อยู่ในมือของตัวเอง แล้วเอาอาหารมาวางตรงหน้าของเขา
” กินสิ”
” เยือกเย็นอย่างนี้”ฉู่เฉินซีมองเขา นัยน์ตายิ้ม” เธอป้อนฉัน”
” มือเธอไม่ได้เจ็บนี่ไม่ต้องให้ฉันป้อนหรอก”
” เธอนี่เป็นผู้หญิงเห็นอกเห็นใจหน่อยจะได้หรือเปล่า ก็คิดว่าฉันอยู่ในฐานะตั๋วนอนของเธอตลอดไป เธอก็ต้องป้อนฉันสิ”ฉู่เฉินซียิ้มอย่างสบายอารมณ์ นัยน์ตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลินเวยมี่เห็นความดีใจของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าจ้องมองเขาเงียบอยู่นานถึงจะเอ่ยปากพูดขึ้นว่า”ตั๋วนอน? คิดออกมาได้เนอะ”
ปากพูดอย่างนี้แต่ว่าก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะยกชามขึ้นมา” อ้าปาก”
ฉู่เฉินซีอ้าปากอย่างเชื่อฟัง เอาช้อนเข้าปาก แล้วก็ค่อยๆกินจนหมดท่าทางนั้น มีเลศนัยแปลกๆ
“ฉู่เฉินซี เธอทำตัวให้เป็นปกติหน่อยจะได้ไหม” ในที่สุดเธอนั้นก็โกรธ
ฉู่เฉินซีมองหลินเวยมี่ที่โกรธ ก็หัวเราะออกมา”หลินเวยมี่ หลังจากที่ฉันได้พบกับเธอ ฉันก็ไม่เคยปกติเลยไม่เคยปกติแม้สักวินาทีเดียว”
สิ่งที่เขาพูดนั้นจริงจังเป็นที่สุดและไม่เหมือนการหยอกล้อ
” ฉันไม่ใช่หมอโรคประสาท เธอเห็นฉันไม่ปกติอะไร” เธอพูดตอบสีหน้าไร้อารมณ์ก้มหน้าลง แสร้งไม่เห็นสีหน้าของเขา
” เด็กโง่ เธอกำลังแสร้งไม่รู้อยู่ใช่ไหม แล้วทำร้ายฉันอย่างโหดเหี้ยม” เขาจับที่ข้อมือของเธอ เอ่ยปากพูดอย่างจนใจ
” เดิมทีฉันก็ไม่รู้” เธอพยายามที่จะชักมือเก็บเข้ามา แต่พอคิดถึงแผลที่อยู่บนร่างกายของเขาก็ไม่กล้าขยับเลยทำได้ให้เขาจับไป
” งั้นดีฉันจะถามเธอว่าทำไมเธอถึงจะต้องหลบฉันทำไมเธอถึงต้องหนีไป”
หลินเวยมี่ชะงักกับคำถามของเขาชั่วขณะ เดิมทีก็ต้องการที่จะหนีเขาแต่ว่าเธอนั้น ไม่ได้เตรียมความกล้าและความสามารถที่จะพูดต่อหน้าฉู่เฉินซี
ดังนั้นเธอเลยทำได้แค่ใช้ความเงียบ แล้วรอให้เขาพูดต่อไป
” อีกทั้งสิ่งที่น่าโกรธเกลียดที่สุดคือเธอหนีไปกับศัตรูของฉัน พวกเธออยากอยู่ด้วยกันหรอ” เขาถามยิ้มๆ แต่น้ำเสียงกลับร้อนใจ
“หลินเวยมี่ ยอมรับว่ารักฉันมันยากขนาดนั้นเลยหรอ”
หลินเวยมี่ เงยหน้าจ้องมองที่ตาของเขา ในตานั้นเผยให้เห็นถึงความแปลกใจ จ้องมองเขา ยังเหม่อลอยพูดอะไรไม่ออก
ฉู่เฉินซีมองเธอแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นต่อว่า” ฉันพูดโดนใจใช่ไหมล่ะ ผู้หญิงโง่ เธอรักฉันนานแล้วใช่ไหมล่ะ”
หลินเวยมี่ เม้มปากไม่พูดอะไร แต่ใจกับเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนหัวใจนั้นจะกระโดดออกมา จริงๆแล้วเธอนั้นก็รักฉู่เฉินซีใช่ไหม?
ขนาดตัวเธอเองยังไม่แน่ใจเลยว่าใช่รักหรือเปล่า เพียงแต่ว่าทำไมตอนที่ฉู่เฉินซี ทำร้ายตัวเองนั้นหัวใจของเธอถึงได้เจ็บปวด
” พูดออกมาว่าเธอรักฉัน” เขาเอาข้างของเธอเกยขึ้นแล้วถามอย่างรีบร้อน
หลินเวยมี่จ้องมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า หัวใจเต้นอย่างรุนแรง ทั่วร่างรู้สึกเขินอายเหมือนถูกคนล้วงความในใจ
“หึๆ”
ข้างหูนั้นส่งเสียงหัวเราะเบาๆของฉู่เฉินซี
เพียงแค่การจูบที่ธรรมดานั้นก็ทำให้ตาของฉู่เฉินซีลุกเป็นไฟ
เขาคิดถึงเธอ ทุกๆโสตประสาทนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงเธอ
ลมหายใจนั้นอยู่ที่ข้างแก้มของเธอ ข้างแก้มของเธอนั้นแดงเหมือนลูกแอปเปิ้ล ทำให้คนนั้นรู้สึกอยากที่จะกินมันลงไป
ลมหายใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยความหอมบนร่างกายของเธอที่คุ้นเคยและอบอุ่น
“มี่มี่..” เสียงของเขานั้นแห้งเหมือนกำลังควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างที่สุด มือนั้นสัมผัสผิวของเธออยู่ไม่นิ่ง
ความรู้สึกเหมือนหิมะที่เจอกับเปลวไฟ ไม่นานก็รอมันเป็นอันเดียวกัน ค่อยๆเข้าไปในกระดูกแล้วรวมกันอยู่ในสายเลือด
ลมหายใจของเขานั้นค่อยๆถี่ มือของเขานั้นยื่นเข้าไปในเสื้อผ้าของเธออย่างอยู่ไม่สุข
เสียงกลับแหบแห้ง”มี่มี่ เธอมันเป็นปีศาจน้อยที่ทรมานคนจริงๆ”
หลินเวยมี่เงยหน้ามองเขา” ฉันไม่ได้ทรมานอะไรเธอนิ”
” เชื่อไหมว่าฉันสามารถมีอะไรกับเธอตอนนี้ได้เลยนะปีศาจน้อย”เขาหรี่ตา
ท่าทางนั้นไม่ช้าไม่เร็ว บวกกับบนร่างกายของเขานั้นส่งกลิ่นอายความดุร้ายมามากขึ้น
หลินเวยมี่ชะงัก จนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจของเขาสูงต่ำถึงจะได้สติกลับคืนมาหันหน้าไปอีกทางนึง เธอนั้นถูกเขาทำให้สับสนเข้าแล้ว บ้าเอ้ย”
“ฉู่เฉินซี ที่นี่โรงพยาบาลอย่ามาทำอะไร” เธอพูดตอบอย่างตะลีตะลานน้ำเสียงให้เขินอายและหยุดมือของเขา
” แต่ถ้าไม่ใช่ในโรงพยาบาลก็สามารถทำได้ใช่หรือเปล่า” เขาพูดยิ้มๆ ไม่สนใจความคัดค้านของเธอเอามือจับที่หน้าอกของเธอ พอจับไป มือของเขาก็จับไม่หมด
“ใหญ่อีกแล้วหรอ”
หลินเวยมี่ได้ฟังคำพูดของเขา ก็ให้เขินอายและจับมือเขากดไม่ให้เขานั้นได้ขยับ
แต่เขากลับยิ้มอย่างเบิกบาน”ผู้ชายนั้นถึงจะทำให้ผู้หญิงเติบโตเป็นครั้งที่สองได้ ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริง”
“อะไรจริงอะไรปลอม ฉู่เฉินซี ถ้าเธอพูดไม่ซื่ออีกฉันจะไปแล้วนะ”หลินเวยมี่พูดอย่างโกรธๆ จนมองเขาด้วยใบหน้าขู่
แต่เขากลับพูดด้วยใบหน้าจริงจังว่า” ฉันพูดจริงๆนะหรือว่าเธอไม่ได้สังเกตว่ามันใหญ่ขึ้น”
” ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” เธอรีบเดินหน้าไปอีกฝั่งนึงบรรยากาศ ตอนนี้แปลกประหลาดนัก พวกเขานั้นกลับพูดคุยหัวข้อนี้ เธอเชื่อว่าถ้าผ่านไปไม่นานเธอก็จะถูกฉู่เฉินซีจัดการ
” แค่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะคัพ D ได้หรือยัง”
สีหน้าของหลินเวยมี่แข็งทื่อ ตบมือของเขาอีกข้างนึงอย่างโมโห”ทะลึ่ง”
” ผู้ชายปกติเขาก็คิดถึงเรื่องนั้น” เขาพูดแล้วเอาเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แต่กลับไม่ระวังเลยไปถูกปากแผล เขาขมวดคิ้วขึ้นมา
” เจ็บไหม” เธอรีบจัดแจงเสื้อผ้าแล้วพูดต่อว่า” สมน้ำหน้า”
” เธอนี่มันบ้า” เขาเอ่ยปากพูดเสียงทุ้มต่ำ” ในเมื่อกล้าที่จะสมน้ำหน้าฉันรอให้ฉันหายดีฉันจะทรมานเธอ”
หลินเวยมี่มองค้อนเขา เหมือนจะไม่สนใจเค้าแต่กลับรู้สึกว่าเอวนั้นตึง ตัวล่างนั้นถูกเขาโอบกอดแล้วแนบชิดเข้าไปในอ้อมอกเขา
” แผลของเธอ…”
” ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นยังรู้จักที่เป็นห่วงฉัน” เขาพูดยิ้มๆแล้วกัดติ่งหูของเธอ
หลินเวยมี่ตัวสั่น ใบหน้าน้อยๆนั้นมีสีหน้ายุ่งเหยิง” คันจัง”
“คันหรอ บอกฉันมาสิว่าจริงๆแล้วเธอก็ต้องการฉัน” เขาโอบกอดเธออย่างแน่น แล้วค่อยๆไปที่ติ่งหูของเธอ เขาสัมผัสถึงกับสั่นเทาของเธอมุมปากยิ้มผู้หญิงคนนี้ไม่กล้าที่จะทำอะไรเพราะกลัวที่จะถูกแผลของเขา
เป็นผู้หญิงที่ปากไม่ตรงกับใจเลยจริงๆแต่ว่า ทำให้เขานั้นกับรักจนเข้ากระดูก เขานัดปิติยินดีจริงๆที่เอาเธอกลับมาได้ ความรู้สึกที่สูญเสียเธอไปนั้นมันน่าทุกข์มากจริงๆ