แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 140 เป็นยังไงหละ
“ฉู่เฉินซี อย่า……”แววตาเธอมองเขาอย่างเลือนราง และในสายของเธอแฝงไปด้วยความดิ้นรน เธออึดอัดใจจนทำตัวไม่ถูก
ฉู่เฉินซีแหงนหน้าขึ้นมา พบว่าทั้งตัวเขาล้วนมีแต่ลมหายใจของเธอ
“คุณผู้หญิง อ้อนวอนฉันสิ ถ้าอ้อนวอน ฉันจะคืนให้”เขากระซิบข้างใบหูเธอ ด้วยการยั่วยวนที่ถึงใจ
หลินเวยมี่ยังคงดื้อรั้น ไม่ยอมเอ่ยปากพูด
ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกว่าท่อนล่างก็ขยายขึ้นอีกครั้ง เธอขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว พลางมองเขาด้วยความเฉยชา ทว่าเขาสามารถสอดเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว
“นาย……”หน้าของเธอแดงระเรื่อ ขณะเดียวกัน ก็ไม่รู้ว่าควรจะตำหนิเขาอย่างไรดี
เขาโกรธจนเส้นเลือดดำปูดขึ้นบนหน้าผาก
“อืม แล้วยังไง?” เขามองเธออย่างน่าขัน สายตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
หลินเวยมี่กัดฟันแน่น เพราะเขาจับเธอกระแทกไม่หยุด และรุกร้านเข้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง
“คุณผู้หญิง ในเมื่อไร้ซึ่งแรงต่อต้าน ทำไมไม่ลองเสพสุขดูหละ? เสียงอันมีเสน่ห์ที่มอมเมาผู้คนของเขาดังอยู่ข้างหูเธอ และตอนที่เขาเข้าประชิดในระยะใกล้ เขาก็ตั้งใจกัดเข้าที่ริมหูของเธอ
เมื่อเธอลืมตา สีหน้าแววตาที่เลอะเลือนคู่นั้นเต็มไปด้วยความน่าสงสาร เพราะในความไม่ชัดเจนนั้นมีสิ่งที่เขาอยากให้หยุดแต่ไม่อาจรั้งให้หยุดได้
หลินเวยมี่เขยิบเข้าไป สิ่งที่เขาพูดมันก็ถูก ในเมื่อไร้ซึ่งแรงต้าน ทำไมต้องควบคุมร่างกายตัวเอง ทั้งๆที่มันตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้นตั้งแต่แรกแล้ว?
เหตุใดต้องหลอกตัวเองเช่นนี้?
ทั้งสองก็ยิ่งแนบชิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ช่องว่างแคบตรงนั้น ทั้งสองก็ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างแน่นแฟ้น
เขารุกรานเข้าไปตรงนั้นหลายครั้ง และเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
สีหน้าเล็กๆของเธอเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
สีหน้าท่าทางที่ไม่ติดขัดอะไรของเธอให้กำลังใจฉู่เฉินซี นัยน์ตาเธอมีน้ำล้นเอ่อ
”รู้สึกไม่แฟร์งั้นหรอ?” เขาจับหน้าและมองเธออย่างลึกซึ้ง สายตาเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งการจับผิด และพบว่าความรู้สึกที่ออกมาจากแววตาของเธอนั้นช่างเย็นยะเยือกดั่งฤดูหนาว
หลินเวยมี่ขยับท่าทาง เพื่อหลบสายตาอันเร่าร้อนของเขา เพราะสายตาของเขานั้นเหมือนกองไฟที่พร้อมจะเผาไหม้เธอ
“มองตาฉันสิ”เขาจับคางเธอ ดวงตาที่ลึกลับ ยากแก่การคาดเดาจนมองไม่ออกว่า เขารู้สึกยังไงกันแน่
“ในเมื่อในสิ่งที่นายต้องการแล้ว ก็ปล่อยฉันไปซะ”เธอพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ พลางคาดการณ์ไว้ว่า เขาต้องโมโหแน่นอน ตอนนี้เธอก็แค่เตรียมตัวเตรียมใจรอเขาปะทุความโกรธ
ฉู่เฉินซีมองเธอเงียบๆ แม้เขาจะโกรธแค่ไหน แต่เขาก็แสดงออกด้วยการยิ้ม เขาใช้มือจับไปที่คางเธออย่างร้ายกาจ พลางกวาดสายตาที่เลือดเย็นไปที่สาวน้อยคนนี้ ที่ตอนแรกเร่าร้อนดั่งไฟ ทว่าตอนนี้กลายเป็นน้ำแข็งที่เยือกเย็นอย่างไร้ที่ติ
ยังไงผู้หญิงก็โลเล เป็นครั้งแรกที่เขานำสองคำนี้มาใช้กับเธอ สิ่งที่เหลือต่อจากนี้ก็คือ ความผิดหวัง
เธอช่างเป็นผู้หญิงที่แล้งน้ำใจ เวลาที่ผู้ชายคนนึงไร้การตอบสนองนานๆ เธอก็คงเบื่อหน่ายแล้วสินะ?
ติง——
เสียงไฟแช็กดังขึ้น เขาใช้นิ้วมือคีบบุหรี่ และสูบบุหรี่อย่างเงียบๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความนิ่งสงบ
เสื้อเชิ้ตที่ติดกระดุมถึงแค่หน้าท้อง เผยให้เห็นถึงกล้ามอกอันแข็งแรง เพียงแต่บรรยากาศในรถมันค่อนข้างแปลกประหลาด ทำเอาหลินเวยมี่รู้สึกหายใจติดขัด
เธอรับรู้ได้ถึงความโกรธเบาๆของเขา ที่ยังไม่ปะทุออกมา เธอจึงนั่งลงอย่างระมัดระวัง และรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าตัวเอง เมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว เธอจึงมองเขาอย่างเงียบๆ
กลิ่นควันบุหรี่ลอยคลุ้ง ทำให้เธอสำลักควันจนไอออกมา
เขาขมวดคิ้วในทันที และรีบเปิดกระจกรถ เพื่อให้ควันลอยออกไป และให้ลมพัดผ่านเข้ามา
“ฉู่เฉินซี ในเมื่อนายมีอานหยานแล้ว ต่อไปนี้ นายก็ไม่ต้องมาวุ่นวายกับฉันอีก เรื่องวันนี้…..ฉันจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “หลินเวยมี่ถอนหายใจ พลางก้มตาลง
“เหอะ”เสียงหัวเราะอันทุ้มต่ำของฉู่เฉินซีดังมาจากในรถ เขาเอามืดพาดบนกระจกรถ เมื่อลมพัดผ่านเข้ามา ก็ทำให้หน้าม้าของเขาขยับ พลิ้วไหวตามกระแสลม
เสียงหัวเราะที่ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ก็ยิ่งทำให้หลินเวยมี่ไม่มั่นใจ
“สนใจเป็นคู่นอนฉันไหมหละ? เพราะฉันยังหลงไหลในตัวเธออยู่ รอฉันเบื่อเธอเมื่อไหร่ ฉันก็จะปล่อยเธอไปเอง” เขาพูดอย่างตามใจตัวเอง ด้วยสายตาที่เย็นชา
หลินเวยมี่กำมือแน่น มุมปากยิ้มอย่างจองหอง คู่นอนหรอ เพราะฉู่เฉินซีให้เธอได้แค่สถานะนี้
”นายคิดว่าฉันพิศวาสนักหรอ? ฉู่เฉินซีนายคิดว่า ถ้าฉันจากนายไปแล้ว ฉันจะใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้หรือไง? ฉันจะแต่งงานแล้ว! คู่นอนบ้าบอคอแตก! ไปตายซะเถอะ!” เธอกัดฟันกรอด และโมโหจนหน้าแดงก่ำ
ฉู่เฉินซีมองดูเธอที่กำลังฟีวส์ขาดอย่างเงียบๆ และเสียงหัวเราะอันทุ่มต่ำก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาพูดกับเธอด้วยเสียงที่เบา “โกรธหรอ? เมื่อก่อนฉันเคยให้โอกาสเธอ แต่เธอไม่คว้าไว้ ตอนนี้เหลือแค่สถานะนี้ จะไม่รับไว้จริงหรอ?”
“ไปให้พ้น! อย่ามาแตะต้องฉัน! การกระทำแบบนี้ ทำให้เธอคิดว่า เขาก็แตะเนื้อต้องตัวกับอานหยานแบบนี้เหมือนกัน ลึกๆในใจเธอจึงหงุดหงิดแปลกๆ
ทันใดนั้น เขาก็โอบเอวเธอไว้แน่น มุมปากเขาสัมผัสไปที่ใบหน้าของเธอตามอำเภอใจ และจูบไปที่ริมฝีปากของเธอ พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ “เธอคิดว่า ฉันจะให้เธอแต่งงานได้ย่างราบรื่นงั้นหรอ? ของที่ฉันอยากได้ ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฉันพลาดนะ”
”ฉู่เฉินซี นายเลิกทำตัวทุเรศเถอะนะ! ทุกคนต้องหมุนรอบตามนาย? นายคิดว่านายเป็นลูกโลกหรือไง? “ เธอสะบัดมือเขาด้วยความโกรธ ทว่าเธอคิดว่า การสะบัดมือเขาออก ยังไม่สามารถระบายความโกรธนั้นได้ จึงจับมือเขามากัดอย่างเต็มแรง
เธอใช้แรงเยอะมาก จนฉู่เฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ผลักเธอออก หลินเวยมี่โมโหจนแทบจะคลั่ง เธอคาดไม่ถึงว่า เขาจะกล้าให้สถานะแบบนี้กับเธอ เพราะเธอไม่ควรค่าแก่การเป็นคู่นอนของเขาแม้แต่น้อย!!
เธอยอมอยู่ห่างจากเขาจะดีเสียกว่า
“เจ็บมาก” ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ พลางดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด “เธอเกิดปีจอหรือไง?”
“ทีนายกัดฉันหละ?” เธอเลิกกัดและปล่อยมือเขาไป และชำเลืองตามองมือของเขา พบว่ามือมีรอยกัดที่ลึกมากจนช้ำเลือด
เธอฮึดฮัดอย่างเย็นชา และชายตามองไปที่นัยตาเขา “ใครสั่งให้นายไม่หลบหละ?”
“ฉันห่างเธอไม่ได้” เขาถอนหายใจ และพูดกับเธออย่างจริงใจ “ได้โปรดอย่าปฏิเสธฉันอีกเลยนะ”
หลินเวยมี่เหม่อมองไปที่เขา เกือบจะซึ้งใจกับการแสดงออกของเขา แต่มาคิดดูสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะเป็นการเยาะเย้ยที่พิเศษ ห่างเธอไม่ได้? ถ้าเธออายุมากขึ้นแล้ว เขาจะถีบหัวส่งเธอไหม?
ผู้ชายแบบเขาใช่ว่าจะหายาก ในสังคมมีผู้ชายประเภทนี้อยู่ถมเถไป อีกทั้งฉู่เฉินซีเป็นมือโปรด้านนี้ เธอจึงไม่เชื่อในคำหลอกลวงของเขา
“พอได้แล้วมั้ง มีผู้หญิงรายล้อมอยู่ข้างๆตัวนายตั้งมากมาย ขาดดอกไม้ป่าอย่างฉันไปแค่ดอกเดียวจะเป็นอะไรไป วันนี้นายมีอานหยาน พรุ่งนี้ก็อาจจะมีหญิงอื่นโผล่มาอีก ไหนจะหลี่หยาน หวางหยาน จางหยาน เหอะ นายก็ขาดพวกเธอไม่ได้เหมือนกันสินะ?”
คำพูดเธอแสดงออกความประชดประชัน ในแววตามีความดูถูกเหยียดหยาม เสมือนเธอเหน็บแนมเรื่องความเจ้าชู้ของเขาอยู่
“โจ่วชิงช๋วนดีตรงไหน?”
“เขาดีกว่านายเยอะ!” หลินเวยมี่ตอบแบบไม่ยอมน้อยหน้า แม้ในใจจะรู้สึกขี้ขลาด อีกทั้ง เธอเองก็ไม่ได้จะพัฒนาความสัมพันธ์ต่อกับโจ่วชิงช๋วน แต่สิ่งที่เธอพูดไปตอนนี้ ก็เพื่อจะกระตุกต่อมเขาก็เท่านั้น
“จริงหรอ?” เขายิ้มอย่างเลือดเย็น พลางใช้แรงดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมอกของเขา และกัดไปที่ริมฝีปากของเธออย่างร้ายกาจ
“อะไรที่เขาให้เธอได้ ฉันก็ให้เธอได้เหมือนกัน แล้วทำไมจะต้องจากฉันไปหละ”เขาถามเธออย่างไม่ต้องสงสัย ราวกับเขาเป็นฮูหยินหม้าย ที่ถูกหลินเวยมี่ทิ้งอย่างน่าสงสาร
หลินเวยมี่สูดหายใจเข้าลึกๆ ทว่าตอนเธอสูดลมหายใจนั้น ล้วนเป็นกลิ่นของเขา กลิ่นที่เธอเองไม่ได้รังเกียจ
ชัดเจนว่าเป็นปัญหาเรื่องการคบกันระหว่างพวกเขาทั้งสอง ทว่าตอนนี้เขากลับพูดถึงประเด็นที่เธอจะจากเขาไป แม้เรื่องจริงจะต่างกันไม่มาก แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน
“ฉู่เฉินซี นายยังไม่เข้าใจอีกหรอ ฉันไม่ได้ชอบนาย และฉันก็อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง”
“ได้โปรดอย่าก่อกวนฉันอีก ฉันไม่มีอะไรจะเคลียร์กับนายอีกแล้ว”เธอถอนหายใจ พลางผลักประตูรถเพื่อจะเดินออกจากรถ แต่ก็ถูกเขาคว้าข้อมือไว้ก่อน
มือของเขาเย็นเฉียบ สีหน้าอึมครึม ความโกรธกำลังก่อตัวอยู่รอบตัวเขา “แผลที่โดนลวกของเธอยังไม่หายดี”
หลินเวยมี่ชะงักไปชั่วครู่ ไม่คิดว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะคิดว่าเขาจะระเบิดอารมณ์ออกมามากกว่า
เขาหยิบยาใช้รักษาแผลที่โดนลวกออกมา และถอดรองเท้าเธอออก พบว่ามีแผลพุพอง เขาขมวดคิ้วโดยไม่ได้ตั้งใจ “ไม่เจ็บหรอ?”
“ในสายตาของนาย ผู้หญิงจะต้องอ่อนแอหรอ? เธอถามเขากลับด้วยวิธีที่เยาะเย้ยตัวเอง และด้วยน้ำเสียงที่ดูเหน็บแนม
เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เขาไม่พูดอะไร และทายาให้เธออย่างระมัดระวัง
“นายพกยาทาแบบนี้ไว้กับตัว มาทำอะไร?” ในที่สุด หลินเวยมี่ก็ถามเขา จู่ๆในใจก็รู้สึกตื่นเต้น หรือว่าเขาเตรียมไว้ให้เธอ?
“แค่พกเก็บใส่กระเป๋าไว้” เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยปากพูด พลางทายาให้เธออย่างตั้งใจและจดจ่อ
ความเงียบสงบในช่วงเวลาอันสั้น ทำให้ทั้งสองค่อยๆสงบนิ่งได้ชั่วคราว เธอจ้องมองฉู่เฉินซีอย่างเงียบๆ ท่าทีที่ตั้งใจและจดจ่อของเขาราวกับเวทมนต์ที่สะกดเธอไว้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย
“จ้องฉันทำไม?” เขาแหงนหน้ามองเธอ
เธอลุกลี้ลุกลน จึงต้องรีบหันมองไปที่อื่น และเพื่อให้เสียงตัวเองกลับมาเป็นปกติ “ฉันไม่ได้มองนายสักหน่อย”
“โดนฉันจับได้แล้ว”
หลินเวยมี่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร หากทั้งสองคบกับแบบนี้ เธอไม่ได้เกลียดชังเขาแต่อย่างใด แต่เธอทนกับความโกรธของเขาไม่ได้ต่างหาก เขาเผด็จการกับเธอเกินไป แบบนั้นจะทำให้เธอสร้างความต่อต้านในใจ และทำตัวออกห่างจากเขาเรื่อยๆ
จู่ๆเธอก็ส่ายหัว เธอคิดอะไรอยู่กันแน่? คิดไม่ถึงว่าเธออยากจะคบหากับฉู่เฉินซีอย่างสันติ? ระหว่างเขาสองคนจะคบกันอย่างสงบสุขได้อย่างไรกัน?
เวลาที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน ก็มักจะทำร้ายคนตรงข้ามอยู่เสมอ จนถึงขั้นที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
“หลินเวยมี่ เธอเชื่อไหม ถ้าเธอกล้าแต่งงานกับชายอื่น ฉันก็กล้าทำลายงานแต่งของเธอเช่นกัน”
แม้เสียงของเขาจะดูเรียบเฉย แต่ก็สามารถรับรู้ถึงความจริงจังได้จากน้ำเสียงของเขา
หลินเวยมี่ยิ้มเยาะ เพราะเธอรู้ดีว่า ผู้ชายแบบฉู่เฉินซี มักจะใช้ความรุนแรงในการจัดการกับเรื่องราวต่างๆ ดังนั้น มีหรือที่คนแบบพวกเขาจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ?