บทที่ 147 ผมรักคุณ
หลินเวยมี่จ้องฉู่เฉินซีด้วยความไม่พอใจ ไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน ถาม “คุณจะไปไม่ได้? ถ้าคุณไปแล้วพวกเราจะคุยกันอย่างไร?”
ดวงตาของเขามองนิ่ง พ่นควันบุหรี่ หันกลับมามองเธอ “คุณคิดจะคุยอะไรกับเขา?ถึงจะต้องคุยกันลับหลังผม?”
อะไรคือการคุยลับหลังเขา หลินเวยมี่โกรธจนต้องกัดฟัน มองผู้ชายตรงหน้าอย่างหมดหนทาง ทำเพียงแค่จ้องเขาด้วยสีหน้านิ่ง ไม่ยอมอ่อนข้อให้
ฉู่เฉินซีถอนหายใจ ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน พูดเสียงเบา “ผมไม่ไปก็ได้ แต่ว่าต้องให้หยิ่งไปกับคุณด้วย”
นี่ถือว่าฉู่เฉินซียอมถอยให้มากที่สุดแล้ว?
“เยี่ยม” มือเล็กของเธอจับอยู่ที่หน้าอกของเขา แล้วขยับหน้าลงไปซบ ทำให้ตัวเองพิงเขาอย่างสบายมากขึ้น
“คุณลองทำอะไรซุกซนอีกสิ ดูว่าผมจะกินคุณหรือเปล่า” ลมหายใจของเขาหนักหน่วงขึ้น แสงแหบพร่าดังขึ้นมาจากลำคอ
จมูกสูดกลิ่นของเธอ คล้ายว่าเป็นยาพิษที่ทำให้เขาลุ่มหลง จนถอนตัวไม่ขึ้น
เพียงแค่ได้กลิ่นเขาก็ตัดสินใจได้แล้ว
หลินเวยมี่ยิ้ม ข้อมือเล็กปัดป่ายไปทั่ว
หูได้ยินเสียงลมหายใจของเขายิ่งนานยิ่งสับสน เธอยิ้มแล้วเงยหน้าขึ้น ตอบรับจูบ
เขาหลงใหลเธอ ทั้งสองคนพัวพันกับฝ่ายตรงข้ามยุ่งเหยิงไม่หยุด ดำดิ่งเข้าไปเรื่อยๆ
วันรุ่งขึ้นหลินเวยมี่ก็ตื่นขึ้นมาตอนเที่ยง ร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง คนที่อยู่ข้างกายก็ไม่อยู่เสียแล้ว
ลูบผมตัวเอง แล้วล้างหน้าอย่างง่ายๆ จึงเพิ่งสังเกตว่าท้องฟ้าข้างนอกมืดแล้ว
สวมเสื้อตัวใหญ่สีเบทแล้วออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว สวนดอกไม้ด้านนอก Elisอยู่ข้างกายของฉู่เฉินซี ถือนกตัวน้อยแล้วแย้มยิ้ม
เธอหยุดเดิน ที่จริงแล้วถ้าElisไม่ได้ทำตัวดื้อด้าน ก็ถือเป็นหญิงสาวที่น่ารักคนหนึ่ง แต่ความประทับใจครั้งแรกที่Elisมอบให้เธอไม่ใช่แบบนั้น
“นี่ เฉิน แสงอาทิตย์สาดออกมาแล้ว” Elisนั้นเห็นเธอแล้ว และยิ้มเยาะเย้ย
ฉู่เฉินซีเบี่ยงตัวเล็กน้อย มองเขาอย่างเงียบงัน ราวกับรอคอยว่าความมืดจะบอกอะไร
อย่างรวดเร็ว อ้านเย่เดินเข้ามาหาเธอ ในมือถือแก้วนมใบหนึ่ง
“คุณหลิน นายท่านบอกว่าถ้าคุณไม่ทานอาหารเช้า ทางที่ดีควรดื่มนมสักแก้ว เพราะคุณเป็นโรคโลหิตจาง ตอนเช้าไม่ควรที่จะไม่ทานอะไรเลย”
หลินเวยมี่ตกตะลึง รับแก้วมา เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอเป็นโรคโลหิตจาง
แก้วนมที่อยู่ในมือยังอุ่นๆ อยู่ เห็นได้ชัดว่าถูกเตรียมไว้ก่อนแล้วอย่างดี ในใจถูกกระตุก มีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ได้คาดคิด
“ไปเถอะ” เธอถอนหายใจ แล้วก้าวขึ้นรถ อ้านเย่นั่งด้านหน้า เธอพิงศีรษะไว้บนเบาะรถ ทันใดนั้น รถก็เบรกอย่างกะทันหัน
“โอ๊ย!” หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว มองไปที่คราบนมขนาดใหญ่ จมูกได้กลิ่นนม
“คุณหลินขอโทษด้วยนะครับ เมื่อสักครู่มีสุนัขพุ่งออกมา……” คนขับรถรีบอธิบาย
หลินเวยมี่มองไปรอบๆ เห็นห้างสรรพสินค้า “ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“คุณหลิน!”
หลินเวยมี่คิดที่จะเปิดประตูแล้วลงรถไป แต่ก็โดนอ้านเย่จับไว้
อ้านเย่มองเธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หลังจากลงรถ “ผมจะไปกับคุณด้วยนะครับ”
สีหน้าของหลินเวยมี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้โกรธ พยักหน้า “ได้สิ”
เธอเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว อ้านเย่อยู่ห่างจากเธอไม่ไกลมาก เธอขมวดคิ้ว หยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่ง
“คิดไม่ถึงว่าคุณจะเข้าไปเปลี่ยนชุดกับฉันด้วยหรือ?” หลินเวยมี่พูดเสียงเย็นกับอ้านเย่ที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ
อ้านเย่ยืนเงียบอยู่ด้านข้าง รออยู่เงียบๆ
วันนี้มีคนจำนวนมาก อ้านเย่ถูกผลักไปอยู่ด้านข้าง เพียงแต่สายตาไม่ได้ละไปจากประตูห้องเปลี่ยนเสื้อเลย
“คุณลุงคะ คุณลุงขวางทางหนูค่ะ” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งยิ้มแล้วพูดขึ้น
อ้านเย่ไอออกมาหนึ่งครั้ง แล้วเบี่ยงตัวมาด้านข้าง แต่ว่าไม่ทันระวังจึงชนกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้า
“ขอโทษด้วยครับ” เขารีบเอ่ยขอโทษ จิตสำนึกแล้วหันไปมองห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างตั้งใจ ประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเปิดออกมา แต่ทว่าด้านในไม่มีใครเลย
ดวงตาของเขาจ้องเขม็ง มองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ไม่ไกลจากตรงนั้นก็พบร่างที่คุ้นเคยของหลินเวยมี่ทางกลางฝูงชน
เขารีบเดินตามไป แต่ทว่าคนเยอะเกินไป ถ้ารอเขาไล่ตามไป หลินเวยมี่ก็คงจะหาไม่เจออีกครั้งแน่
“เจ้านาย คุณหลินหนีไปแล้ว”
ทางด้านนี้ หลินเวยมี่วิ่งออกจากห้างสรรพสินค้าอย่างรวดเร็ว เมื่อแน่ใจว่าอ้านเย่ไม่ไล่ตามมาแล้ว เธอก็ถอนหายใจ เธอก็สุ่มเลือกเดินไปในเส้นทางอื่น รีบเร่งเข้าไปในรถแท็กซี่คันหนึ่ง
ภายในห้องชุดของร้านอาหารซ่างผิ่น หลินเวยมี่เปิดประตูโดยที่สีหน้าไม่แสดงอะไร เมื่อพบคนที่เธอต้องการจะเจอ กู้จุนเฟิงนั่งรออยู่ด้านข้างหน้าต่างในห้องชุดเงียบๆ ความกังวลกระจายไปทั่วร่าง มีมากเกินไปจนยากที่จะสลัดออก
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู กู้จุนเฟิงหันตัวกลับไปมองหลินเวยมี่ ปากสั่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรก่อนดี
หลินเวยมี่แสดงออกอย่างฉาบฉวย นั่งลงบนโต๊ะอาหาร หยิบเหล้าขึ้นมารินใส่แก้ว จากนั้นก็ดื่มจนหมดแก้ว
รสชาติร้อนแรงของเหล้าทำให้เธอไอออกมา ใบหน้าเล็กปรากฏสีแดงจางๆ
“คุณทำอะไรอยู่หรือ?” กู้จุนเฟิงจับมือเธอไว้ น้ำเสียงเบื่อหน่าย แต่ก็ไม่มีใครรับรู้ถึงสิ่งที่หายไป
หลินเวยมี่สำลักจนน้ำตาไหลออกมา เช็ดน้ำตา แล้วพูดขึ้น “กู้จุนเฟิง!คุณมันบ้า!”
สีหน้าของกู้จุนเฟิงแข็งทื่อ มองไปที่ตาของเธอที่แสดงถึงความเจ็บปวด จึงปล่อยมือ แล้วนั่งลงด้านข้าง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเธออย่างไร
รู้สึกอึดอัดกระเพาะอาหารอย่างรุนแรง หัวใจรู้สึกเจ็บปวด ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตา เธอตีไหล่ของกู้จุนเฟิง พูดด้วยเสียงพร่า “คุณต้องการอะไร”
“คุณพูดสิ! ว่าคุณต้องการอะไร ทำให้พวกเราพ่ายแพ้? คุณจะยินดี จะมีความสุขใช่ไหม?”
เสียงของหลินเวยมี่แหบพร่า ดวงตาแดงก่ำ ยังยกดื่มอีกหนึ่งแก้ว และยังไม่ทันดื่มแก้วต่อไปก็โดนกู้จุนเฟิงแย้งไปดื่มแทน
“เสี่ยวชี คุณพูดเรื่องอะไร?”
“คุณไม่รู้หรือ?” หลินเวยมี่อดไม่ได้ที่จะแค้นเสียงเย็นออกมา ก่อนจะถามกลับ
“เสี่ยวชี วันนั้น……” ไม่รอให้กู้จุนเฟิงอธิบาย หลินเวยมี่ก็วางสร้อยข้อมือเงินลงบนโต๊ะเสียงดัง
“คุณยังอยากจะอธิบายอะไรไหม?” เธอยิ้มเย็น “คนที่ทำร้ายฉันวันนั้นคือคุณใช่ไหม?”
ดวงตาของกู้จุนเฟิงหดแคบลง ใจรู้สึกขมขื่น อยากที่จะอธิบาย แต่ว่าไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
วันนั้นเขาอยู่ที่นั่นจริง แต่คนที่ทำร้ายเธอไม่ใช่เขา เขาต้องการเข้าไปขวาง เพียงแต่เขาก็ต้องการกุญแจนั้นเช่นกัน
“เสี่ยวชี เรื่องนี้ผมจะไม่อธิบายอะไร แล้วแต่คุณจะคิดเถอะ” เขาพูดเสียงทุ้ม สายตาหนักแน่น
หลินเวยมี่ยิ้มเย็น แล้วลุกขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงโกรธ “คุณต้องการเอาชนะพวกเราสินะ?”
“ตอนนี้ผมชนะแล้ว ผมไม่มีอะไรแล้ว พ่อของผมก็ได้จ่ายสิ่งที่เหมาะสมไปแล้ว คาดไม่ถึงว่ามันยังไม่พองั้นหรือ?”
“คุณไม่เข้าใจ”
“ฉันไม่เข้าใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณต้องการชีวิตแบบนั้นงั้นหรือ แก้แค้น ในหัวสมองของคุณมีแค่แก้แค้นสองคำนี้งั้นหรือ กู้จุนเฟิง ชั่วชีวิตนี้ฉันไม่เคยที่จะรู้จักกับคุณเลย!”
เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำที่ผ่านการร้องไห้ของเธอ ทำให้เขารู้สึกปวดใจ จิตใต้สำนึกบอกเขาว่าตั้งแต่วันนี้ไป เขาจะสูญเสียเธอไปตลอดกาล
จับข้อมือของเธอไว้ คล้ายอยากจะยืนยันว่าเธออยู่ตรงนี้
แต่ทว่าไม่นานก็โดนเธอสะบัดทิ้ง เธอยิ้มเย็น ยกนิ้วขึ้นมาชี้กู้จุนเฟิง “กู้จุนเฟิง ตอนแรกฉันแค่อยากจะอยู่กับคุณ ตอนนี้ชัดเจนแล้ว มันก็แค่ความคิดไร้สาระตั้งแต่แรก!”
“เสี่ยวชี……” เขาไม่มีแรงที่จะพูดออกไป หัวใจรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ราวกับว่ามีเพียงการเอ่ยชื่อของเธอเท่านั้นที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนี้ได้
“กู้จุนเฟิง จำเอาไว้ จากวันนี้เป็นต้นไปฉันไม่รู้จักคุณ ในหัวคุณมีแต่แก้แค้นแล้วก็แก้แค้น! สักวันจะต้อง……”
เสียงของเธอแหบพร่า รู้สึกเพียงว่ายิ่งนานยิ่งเจ็บกระเพาะ อึดอัดเป็นอย่างมาก
“เสี่ยวชี คุณไม่เข้าใจความอึดอัดของผม!พ่อของผมตายอยู่ในคุก แม่ของผม……” จู่ๆ เสียงของเขาก็หยุดไป มือกำแน่น เหมือนกำลังระงับความเจ็บปวดไว้
“คุณไม่มีวันที่จะเข้าใจ ที่จริงสิ่งที่ผมต้องการมันง่ายมาก ผมแค่อยากอยู่กับทุกคนในครอบครัว เพียงแค่นั้น”
“เป็นครอบครัว……อยู่ด้วยกัน” เธอยิ้มอย่างขมขื่น สายตาเจ็บปวด “เป็นพวกเราที่ทำร้ายให้ครอบครัวของคุณต้องตาย คุณฆ่าฉันสิ ฆ่าฉันเพื่อล้างแค้นเลย!”
เธอออกแรงจับมือเขาไปจับไว้ที่คอเธอ น้ำตาไหลออกมา เอนตัวพิงเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง
จิตสำนึกบอกให้เขากอดเธอไว้ กอดเอาไว้แน่นในอ้อมแขน
“ฉันรักคุณ หยุดทั้งหมดนี้ คุณไม่ควรที่จะมีชีวิตแบบนี้ คุณควรใช้ชีวิตอย่างที่คุณอยากมี” เธอกำชายเสื้อของเขาแน่นแล้วพูด
เธอไม่ได้ตำหนิเขาเรื่องที่เอากุญแจไป เธอรักกู้จุนเฟิงจริงๆ ตระกูลฉู่ไม่ใช่ธรรมดา และเขาได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉู่เฉินซี ฉู่เฉินซีไม่มีทางที่จะปล่อยเขาไป เขาไม่รู้เลยหรือว่าตัวเองมีอันตรายมากมายขนาดไหน?
เธอเคยเห็นความโหดร้ายของฉู่เฉินซีมาก่อน เธอไม่อยากให้วันนั้นเกิดขึ้น ฉู่เฉินซีจะต้องให้เขาชดใช้ เหตุการณ์แบบนั้นเธอไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น
“ตอนนี้มันหยุดไม่ได้แล้ว ตั้งแต่ที่เริ่มเกม ก็ไม่มีทางที่จะหยุดมันได้” เขายกยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้น มองดูเขาที่แสดงออกว่าจนปัญญา ภายในใจเจ็บปวดขึ้นมา การแสดงฉากนี้ไม่มีหนทางที่จะควบคุมมันได้ทั้งหมด
“ไม่มีทางที่จะถอยออกมาจริงนะหรือ” เธอถามอย่างระมัดระวัง แต่เพียงเสี้ยววินาทีเธอก็ได้เห็นสีหน้าจนปัญญาของเขา
“ไม่มีทาง”
หลินเวยมี่เม้มริมฝีปากอย่างสิ้นหวัง ถอนหายใจลึก
ด้านนอก ภายในห้องใต้ดิน ผู้หญิงที่สวมชุดหนังเดินเข้ามา ในมือถือเอกสารฉบับหนึ่ง
“นายน้อย……” เสียงทุ้มและหนักแน่นดังออกมา เธอมองไปที่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงกลาง สายตาที่ซ่อนความหลงใหลไว้ไม่มิด
“ได้ของมาแล้วงั้นหรือ” น้ำเสียงเย็นยะเยือกดูไร้อารมณ์ดังขึ้น
หญิงสาวรีบส่งเอกสารให้ และก็ก้าวถอยออกมาสองก้าวอย่างระมัดระวัง
“เอาเอกสารฉบับสำเนาให้แล้วเขาแล้วหรือ?” น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นอีกครั้ง
“มอบให้แล้วค่ะ” เธอมองสบตากับชายหนุ่ม แววตาร้อนแรง
“กลับไปได้แล้ว อย่าให้พวกเขารู้”
หญิงสาวเบนสายตาออกจากร่างของเขาอย่างไม่เต็มใจนัก และออกไปอย่างไม่พอใจ
ชายหนุ่มหยิบเอกสารขึ้นมา รูปใบหนึ่งร่วงออกมาจากเอกสาร เขาก้มลงไปหยิบขึ้นมา เป็นรูปรอยสักลายผีเสื้อที่น่าประหลาด ภายในความมืด มุมปากของเขายกขึ้น คล้ายซาตานชั่วร้ายที่อยู่ภายในความมืด