บทที่ 136 ธรรมชาติ
ทางประตู ฉู่เฉินซีเดินมาช้าๆ เขาใส่ชุดสูทสีดำ ทรงผมที่ตั้งขึ้นยิ่งทำให้หน้าของเขาดูคมลึก ดวงตาคู่นั้นมองไปทางคนที่ยืนอยู่ตรงกลางบ้าน
นัยน์ ตาประกายแสงอันเยอะเยือกเย็นมีความรู้สึกที่โดดเดี่ยว แต่ก็ยังคงปกปิดความกดดันที่แพร่ออกมาจากตัวเขาไม่ได้
พอเขามาถึง ทุกคนก็รู้สึกถึงความกดดันและหลีกทางให้เขาอัตโนมัติ
หลินเวยมี่ตัวแข็งทื่อ กะพริบตาเบาๆ หัวใจเต้นผิดปกติ แต่ไม่นานทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ
มือของเธอถูกคนข้างจับไว้ เธอหันไปมองโจ่วชิงช๋วน เขายิ้มอ่อนกลับและกอดเธอแน่นกว่าเดิม
หลังจากที่เดินผ่านประตู หลินเวยมี่ถึงจะพบว่าข้างเขามีผู้หญิงตามมาด้วย ผู้หญิงหุ่นดีหน้าตาดูสดใส ดวงตามองไปรอบๆ เหมือนสนใจมาก
“ผู้หญิงคนนี้มีหน้าตาคล้ายกับเธอ” โจ่วชิงช๋วนพูดข้างหูเธอ
หลินเวยมี่ถึงจะพบว่าที่เขาผู้นั้นถูก ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ หลินเวยมี่มีหน้าตาคล้ายกับเธอ
เธอรู้สึกมันแน่นอก แม้กระทั่งลมหายใจก็เริ่มน้อยลง
“เฉินวันนี้ไม่ว่างไม่ใช่หรอ พี่คิดว่าเราจะไม่มาแล้ว” ฉู่หรานรีบไปหาแล้วจิกตามองไปทางหลินเวยมี่ที่อยู่กลางบ้าน จากนั้นก็มองไปทางผู้หญิงที่อยู่ข้างๆฉู่เฉินซี “ว้าวผู้หญิงคนนี้คือแฟนของเฉินใช่ไหม? สวยจังเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินพาแฟนมาให้พี่ดูนะเนี่ย ไม่อย่างงั้นคงจะมีคนอื่นที่ไม่รู้ตัวไปประกาศทั่วว่าเป็นแฟนของเฉิน น่าเบื่อจริงๆ”
หน้าของหลินเวยมี่แข็งทื่อ เธอรู้ว่าคำพูดที่ฉู่เฉินซีพูดนั้นกำลังพูดให้ตัวเองฟัง ฟังยิ่งทำให้เธอรู้สึกโมโหไปใหญ่
“เธอคืออานหยาน” ฉู่เฉินซียิ้มอ่อนแล้วแนะนำ จากนั้นก็ไปจับที่หัวของผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
หลินเวยมี่รู้สึกว่าภาพนี้บาดตามาก ความตกตะลึงแสดงอยู่บนใบหน้าเธอทั้งหมด
“เวยมี่” โจ่วชิงช๋วน เห็นสีหน้าของเธอเป็นแบบนี้ก็เลยเรียกชื่อเธอเบาๆ
หลินเวยมี่ได้สติกลับ อึ้งไปซักแป๊บแล้วถาม “มีอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไร เธอเหนื่อยไหม? ไปพักผ่อนก่อนเถอะ” โจ่วชิงช๋วนยิ้มอ่อน แต่นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ ทีแรกก็คิดว่าตัวเองมีโอกาสแล้ว แต่พอเห็นสีหน้าของหลินเวยมี่ในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกกลัว
หลินเวยมี่พยักหน้าและพูดว่า “อื่ม ฉันขึ้นไปแล้ว”
เธอเดินไม่ค่อยนิ่ง เพิ่งเดินขึ้นบันไดขั้นแรกก็ขาพริกจะล้มลงไป
ทันใดนั้นก็มีคนมาจับที่เอวของเธอ จมูกได้กลิ่นที่คุ้นเคย ทำให้เธอกลัวขึ้นมาทันที แต่ไม่กล้าหันหลังกลับ เธอได้ยินเสียงหัวใจเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน
“ระวังหน่อยครับคุณ”
คำพูดที่ห่างเหินทำให้สีหน้าของหลินเวยมี่แข็งทื่อไปหมด ในใจเธอรู้สึกไม่สบายใจ ตอบกลับเบาๆ และรีบขึ้นบันได ไม่สนใจเลยว่าตัวเองเสียมารยาทหรือไม่
“ไม่มีมารยาทเลยแม้แต่น้อย!” ฉู่หรานแอบพูด
ฉู่เฉินซีมองไปทางเธอนิ่งๆ หรี่ตายิ้มที่มุมปาก
“เฉินผู้หญิงคนนั้นคือใคร? ทำไมฉันรู้สึก……” หน้าที่สดใสของอานหยานขมวดคิ้ว ไม่รู้จะเปรียบเทียบหน้าตาของเธอในตอนนี้ยังไง
แววตาที่ฉู่เฉินซีมองไปทางเธอมีแต่ความอ่อนหวาน ไปกอดที่เอวของเธอแล้วพูดว่า “ก็แค่คนที่ไม่สำคัญ”
หัวใจของอานหยานถึงจะนิ่งลง เธอเป็นผู้หญิง จะไม่รับรู้ถึงปัญหาของฉู่เฉินซีกับหลินเวยมี่ได้ยังไง คงจะไม่ใช่คนไม่สำคัญอย่างที่ฉู่เฉินซีพูด
โจ่วชิงช๋วนมองไปทางผู้ชายที่อยู่ไม่ไกล ไปจับไวแดงแล้วเดินไปหา
“คุณฉู่เฉินซี ได้ยินว่าคุณไม่ค่อยชอบร่วมงานเลี้ยง ไม่คิดว่าวันนี้จะได้พบคุณ”
ฉู่เฉินซีหันหัวกลับมองไปทางเขาและพูดว่า “อานหยานบอกว่าอยู่ที่บ้านเหงา ก็เลยพาเธอออกมาเล่น”
“อ้อ? ใช่หรอ? ” สายตาของโจ่วชิงช๋วนมองไปทางผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขา รอยยิ้มก็ยิ่งอยู่ยิ่งกว้าง “คุณฉู่เฉินซีหารักแท้เจอยิ่งดี แต่ฉันก็ต้องขอบคุณที่คุณฉู่เฉินซีปล่อยมือ ไม่อย่างงั้นพวกฉันคงจะลำบากแน่”
คำพูดที่อ้อมไปอ้อมมา แต่กลับทำให้สีหน้าของฉู่เฉินซีเย็นลงทันที
“คุณโจ่วชิงช๋วนคงจะคิดมากไป ถ้าเป็นของคุณยังไงก็คือของคุณ ถ้าทำไม่ใช่ของคุณยังไงก็ไม่ใช่”
อานหยานมองไปทางทั้งสอง ถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่องว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่ก็รับรู้ถึงสนามรบของทั้งสองได้
“ที่คุณฉู่เฉินซีพูดก็ถูก ถ้าไม่ใช่ของคุณยังไงก็ไม่ใช่ของคุณ” เขาเน้นคำท้าย ใส่ตาก็ดูมืดครึ้ม
“เฉินพวกนายกำลังคุยอะไรอยู่? ทำไมฉันฟังไม่รู้เรื่อง?” อานหยานมองไปทางทั้งสองด้วยสีหน้าที่งงๆ
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้เรื่อง” ตอนที่เขาตอบ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรำคาญ
อานหยานรับรู้ถึงอารมณ์ของเขาได้ก็เลยไม่ได้พูดอะไรต่อ บนใบหน้ามีแต่สิหน้าที่หงุดหงิด
หลินเวยมี่ นั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งมองไปทางหน้าของตัวเองที่ปรากฏบนกระจก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกเกลียดหน้าตัวเอง ในสมองเริ่มมีภาพที่ประคบกับผู้หญิงที่เจอเมื่อกี้
เธอรู้สิ่งหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเหมือนกับว่าของตัวเองถูกแย่งไป ถอนหายใจมองไปทางกระจกขีนไอไลค์เนอร์เติมแป้งให้หน้าตัวเอง
พอทำเสร็จก็มองไปทางผู้หญิงที่แต่งหน้าเข้มยิ่งหงุดหงิดไปใหญ่ นี่เธอเป็นอะไรไป? ก็แค่มีผู้หญิงน่าขายตัวเองอยู่เคียงข้างฉู่เฉินซี เธอจำเป็นต้องทำเรื่องที่ปัญญาอ่อนขนาดนี้เลยหรอ?
ก่อนหน้านี้เธอคือคนที่อยากจะหนีจากเขา รู้ตั้งนานแล้วว่าเขาจะต้องมีผู้หญิงอื่นแน่นอน แล้วเธอจะเศร้าทำไม?
มือจับปากกาไอไลค์เนอร์นั่นนั่น
ปั้ง ประตูถูกเปิด เธอรีบหันไปมองทั้งผู้หญิงที่บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด อานหยาน ทำตาโตค้ามองมาทางเธอใช้ตาดูใสสะอาดประกายแสง
“ คุณคะ ห้องน้ำอยู่ที่ไหนคะ?”
หลินเวยมี่ มองไปทางเธอและพูดว่า “มาตามฉัน”
ออกจากห้องนอน นำทางพาเธอไปที่ห้องน้ำ ถอนหายใจยาว พอหันหลังก็ไปชนกับผู้ชายที่กำลังเดินมา
ถ้ารู้สึกตกใจและรีบมองไปทางอื่น “เธออยู่ในห้องน้ำ”
ทางเดินแคบเพียง ทำได้เพียงเดินพร้อมกันสองคน ตอนนี้เขาขวางอยู่ตรงหน้าเธอ เธอไม่มีทางเดินก็เลยขยับไปข้างๆ
ใครจะไปรู้ว่าเขาจะมาขวางอยู่ตรงหน้าเธออีกครั้ง เธอไงหน้ามองไปทางฉู่เฉินซี พูดทีละไทยคำว่า “คุณขวางทางดิฉันแล้วค่ะ”
น้ำเสียงของหลินเวยมี่เหมือนกับน้ำเสียงที่ฉู่เฉินซีพูดกับเธอที่บันได แต่น้ำเสียงของเธอจะเย็นชากว่า
“อ้อ ขอโทษครับ” เขายิ้มอ่อๆ แต่ไม่มีท่าทีที่จะหลีกทางให้
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วและขยับไปด้านซ้ายและเขาก็มาขวางทางอีกครั้ง เขาตั้งใจทำแบบนี้ชัดๆ!
“หลีก!” หลินเวยมี่ไม่มีอารมณ์จะเล่นด้วย
ฉู่เฉินซีมองไปทาหน้าของเธอแต่งเสร็จ เขายิ้มที่มุมปาก เธอตั้งใจไปขีดที่ตาของตัวเอง ทำให้ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์แค่ดูแป๊บเดียวก็สามารถเย้ายวนคนได้แล้ว
เธอนั้นเป็นสาวน้อยที่เย้ายวนคนตั้งแต่เกิด
“ไม่ชอบเธอแต่งหน้า”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย!” หลินเวยมี่ตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ส่ายตามองไปทางบันได ไม่อยากจะมองหน้าเขา
“หน้าที่เธอแต่งเป็นการชักชวนให้เพศชายทำเรื่องไม่ดี กลับเข้าไปในห้อง อยากให้ผู้ชายอื่นได้เห็น” น้ำเสียงของเขาเหมือนเป็นคำสั่งแต่ไม่มีความหึงห่วงเหมือนเดิม เหมือนเป็นการบอกด้วยความหวังดี
หลินเวยมี่เองก็รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขาได้ หายใจเข้าลึกและพูดว่า “ฉันอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่มีใครมีสิทธิที่จะมายุ่งเรื่องของฉัน”
“ฉันไม่ได้ยุ่งเรื่องของเธอก็แค่เตือนด้วยความหวังดีเท่านั้นเอง” คำพูดของฉู่เฉินซีไม่มีคลื่นใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนเป็นเพียงการพูดเตือนเท่านั้นจริงๆ
การกระทำของเขาแบบนี้ยิ่งทำให้หลินเวยมี่รู้สึกเสียใจ มือที่กำแน่นเริ่มปล่อยลง ผ่านไปซักแป๊บถึงจะตอบ
“ขอบคุณที่คุณฉู่เฉินซีเตือนด้วยความหวังดี”
“เฉินพวกนายกำลังคุยอะไรกันอยู่?” อานหยานเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วถามทั้งสองคน
หลินเวยมี่ เอียงตัวให้อานหยานเดินมาตรงหน้าของฉู่เฉินซี อานหยานไปกอดที่เอวของฉู่เฉินซีและยกมือขึ้น
“เมื่อกี๊เผลอไปขวดโดน”
ที่นิ้วมือของอานหยานมีแผลอ่อนๆ แต่ไม่ได้ชัดมาก
“ทำไมไม่ระวังตัวแบบนี้?” ฉู่เฉินซีขมวดคิ้ว บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “หลินเวยมี่กล่องยาบ้านเธอล่ะ?”
“เฉิน ไม่ต้องแล้วแผลแค่นี้เองไม่เป็นอะไร” อานหยานอยากจะดึงมือกลับแต่ถูกเขาดึงไว้แน่นๆ
หลินเวยมี่ มองไปทางทั้งสองด้วยสายตาที่เย็นชา “แผลแค่นี้จำเป็นต้องถ้าเป็นเรื่องใหญ่ไหม?”
คำพูดของเธอมีความอิจฉาปนอยู่ หลังจากที่พูดเสร็จเธอก็อยากจะด่าตัวเองจริงๆ เป็นอย่างที่คิดสองคนที่ตรงหน้าสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ฉันไปเอาเอง!” หลินเวยมี่ก้มหน้ารีบเปลี่ยนคำพูดแล้วเดินไปที่ห้องนอนตัวเอง
ส่วนฉู่เฉินซีและอานหยานเดินตามหลัง หลินเวยมี่มีแผนบ่อยที่บ้านก็เลยเตรียมกล่องปฐมพยาบาลไว้
เธอนั่งอยู่มุมห้องเอากล่องปฐมพยาบาลออกมาในใจรู้สึกขมขื่น
ฉู่เฉินซี รับกล่องยาไปแล้วเปิดกล่องจากนั้นก็ใช้ ไม้พันสำลีเช็ดทำความสะอาดจากนั้นก็ใช้ผ้าก๊อซพัน
อานหยานเอียงหัวเม้นปาก คอยดูทุกการกระทำของฉู่เฉินซี นัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความสุข
หลินเวยมี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกโดดเดี่ยวมาก มองไปทางเขาที่กำลังทำแพให้ผู้หญิงอื่น ในสมองก็มีภาพที่เขาเคยทำแผลให้ตัวเอง เมื่อก่อนฉู่เฉินซีก็เคยตั้งใจทำแผลให้ตัวเองแบบนี้ ทุกครั้งเธอก็จะบอกว่าไม่สวยเลย
“เฉินโบว์ที่นายมัดสวยจังเลย” อานหยานยิ้มบานแล้วพูด
หลินเวยมี่มองไปทางรูปโบว์ที่อยู่ในนิ้วมือเธอ มีน้ำตาคลอเบา สุดท้ายก็หันหลังไป รู้สึกหัวใจทรมานมาก