บทที่ 130 พิสูจน์ว่าเธอเป็นผู้หญิงของฉัน
วันนี้อากาศดีมาก หลินเวยมี่เปิดหน้าต่าง ให้ลมเย็นนั้นเข้ามา เมื่อวานตอนกลางคืนฉู่เฉินซี ขอร้องจะกลับบ้าน
อีกทั้งท่าทางที่ร่าเริงนั้นเหมือนไม่เป็นอะไร เธอนั้นหรี่ตา เส้นผมนั้นพัดไหวไปตามลม สบายใจขึ้นมามาก
ลงมาชั้นล่าง ก็เห็นผู้ชายที่สวมผ้ากันเปื้อนยืนอยู่ในห้องครัวก็หัวเราะออกมา
ฉู่เฉินซีได้ยินเสียง ก็หันมามองเธอ” ตื่นแล้วหรอ”
” เธอกำลังทำอะไร”หลินเวยมี่เดินเข้ามา เห็นไข่รูปหัวใจ 2 ใบที่อยู่ในห้องครัวก็เม้มปากยิ้ม” เหมือนมาก ทำได้ไม่เลวนี่”
” ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้” เขาหันมามองเธอในขณะที่เธอไม่ระวังนั้นก็จุ๊บลงที่ข้างแก้มของเธอ แล้วก็หันตัวกลับไปหยอดซอสลงบนไข่รูปหัวใจ
หลินเวยมี่ เช็ดข้างแก้ม ตอนนี้เธอได้ยอมรับกับพฤติกรรมแบบนี้ของเขาแล้ว จนถึงขนาดเคยชิน
หันตัวเดินออกไปจากห้องครัว มองแว๊บนึงในถังขยะที่อยู่ด้านข้างก็เห็น ไข่ไก่ที่ถูกทดลองและพังไม่เป็นท่าอยู่ในนั้น
เธอฉีกปากยิ้ม แสร้งทำเป็นไม่เห็นและเดินออกไปจากห้องครัว
ไม่นาน ฉู่เฉินซีก็เอาไข่ไก่มาไว้ที่ตรงด้านหน้าของเธอ ผู้ชายที่สวมใส่เสื้อผ้ากันเปื้อนนั้น ดูอ่อนโยนขึ้นมากถึงขนาดมีความรู้สึกเหมือนพ่อบ้าน
“อะไร? เห็นฉันหล่อขึ้นมาแล้วหรอ”ฉู่เฉินซีเอาไข่ยื่นให้เธอ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนอารมณ์ดีไม่ใช่น้อย
” ไม่เห็น” เธอนั้นส่ายหน้าก้มหน้ากินไข่รูปหัวใจที่เขาทำ
ฉู่เฉินซี เอาผ้ากันเปื้อนวางไว้อีกด้านนึง เสื้อเชิ้ตที่สวมใส่สบายนั้นหย่อนมาลงที่ตรงหน้าอกให้เห็นแผงอกของเขาอย่างแวบๆแวมๆ
” โชว์แมนจริงๆ” เธออดที่จะพูดไม่ได้
คำพูดของเธอเพิ่งพูดจบไปก็รู้สึกว่าครั้งนี้ถูกเขาเสยขึ้นมา” เธอพูดว่าอะไรนะ โชว์แมน?”
” เช้าอย่างนี้ไม่รู้ว่าเธอจะโชว์ให้ใครดู”หลินเวยมี่หรี่ตามองที่แผงอกของเขา แล้วส่ายหน้า ใบหน้าดูหมิ่น
ฉู่เฉินซีมองผู้หญิงตัวเล็กที่อยู่หน้า มุมปากค่อยๆยก แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเธอ” เธอไม่เห็นหรอว่าฉันกำลังดึงดูดเธออยู่”
” ไม่มีผลหรอก ฉันมีภูมิคุ้มกันต่อเธออยู่”หลินเวยมี่ เอ่ยปากพูดอย่างไม่เกรงใจ ไม่สนสีหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยการคุกคาม แล้วกินอาหารเช้าอย่างเงียบๆ
” จริงหรอ” เขาพูดเสียงเบา แล้วดึงมือของเธอมาไว้ที่หน้าอก แล้วมอง ข้างแก้มของเธอที่เปลี่ยนเป็นสีแดง มุมปากนั้นยิ้ม” ไหนว่า มีภูมิคุ้มกันแล้วไงแล้วทำไมตอนนี้ถึงหน้าแดง”
” ฉันแค่ร้อนไม่ได้หรอ” ใบหน้าของเธอนั้นแดงจริงๆ รีบเอาสายตามองไปทางอื่นไม่มองมาที่เค้า สายตาของเขานั้นเหมือนสามารถมองทะลุเขาได้เอาความคิดความอ่านของเธอนั้นแผ่ออกมา
” ปากแข็งจริงๆ” เขาเห็นซอสมะเขือเทศที่อยู่บนปากเธอก็ก้มหัวลงมาแล้วค่อยๆดูด
หลินเวยมี่ ไม่มีปฏิกิริยาค้างอยู่อย่างนั้นอยากที่จะหลบแต่ก็ถูกเขาประกบปากแล้ว
นัยน์ตาเขา ปรากฏรอยยิ้มหยอกล้อ จับที่หัวของเธอในตานั้นปรากฏให้เห็นถึงความภาคภูมิใจแล้วเตรียมจะผละเธอออก
หลินเวยมี่ เมื่อถูกเขาทำอย่างนี้ก็หน้าแดงไปถึงหู จ้องมองเขาแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
” ไปทำอะไร”
เธอนั้นคร้านที่จะอยู่ร่วมกันกับผู้ชายคนนี้จริงๆ เธอต้องการขึ้นไปชั้นบนเพื่อสูดอากาศ ไม่อย่างนั้นให้เขาทำอย่างนี้ไม่ช้าก็เร็วก็จะถูกเขาเอารัดเอาเปรียบ
” ไม่ได้ทำอะไร”
” เข้ามาช่วยฉันติดกระดุมหน่อย”
หลินเวยมี่ หันมามองเสื้อเชิ้ตของเค้ามุมปากนั้นก็ฉีกขึ้นแต่ในที่สุดก็ยังคงเดินเข้ามายืนอยู่ที่หน้าของเขา พยายามระวังไม่ให้ไปโดนปากแผลของเขา
เธอนั้นติดช้ามาก ทั่วร่างนั้น หุนหันอย่างชัดเจนบนหน้าผากนั้นมีเหงื่อบางๆอยู่เต็ม
เขานั้นก็ไม่น่าเห็นท่าทางใบหน้าที่ตั้งใจของเธอ ในใจก็เกิดความรู้สึกอย่างแปลกๆ
เขาสูงกว่าเธอเยอะมากเธอเพิ่งจะอยู่แค่ไหล่ของเขาเอง ท่าทางของเธอนั้นระมัดระวังกลัวว่าจะไปถูกปากแผลของเขา
ลมหายใจอุ่นๆของคนทั้งสองนั้นกระทบกัน บรรยากาศนั้น คับแคบอย่างเห็นได้ชัด เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมทันใดนั้นก็กลั้นหายใจรู้สึกกดดันอย่างเห็นได้ชัด
จนกระทั่งติดเสร็จแล้วเธอรีบเดินถอยหลังไปแล้วหายใจ ความกดดันนั้นก็ได้หายไป
” เสร็จแล้ว” เธอพูดเบาๆแล้วขึ้นไปชั้นบน
” ไปเดินเล่นด้วยกันไหม” เขายืนถามตรงชั้นล่าง
สายตาของหลินเวยมี่มีความแปลกใจ” ออกไปเดิน? พวกเราสองคน?”
” ก็พวกเราสองคนมันจะเป็นอะไรไป ฉันทำให้เธออับอายขายหน้าหรอ”
หลินเวยมี่ เห็นผู้ชายที่ใบหน้ากลัดกลุ้มยืนอยู่ชั้นล่าง มุมปากก็ยิ้มเธอก็ไม่พูดอะไรวันนี้อากาศดีมากออกไปเดินเล่นก็ไม่เลว
” รอฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” เธอพูดยิ้มๆแล้วขึ้นไปชั้นบน
ตอนที่รอให้หลินเวยมี่มา ฉู่เฉินซี นั่นได้นั่งลงบนโซฟาฟังรายงานของอ้านเย่ และการปรากฏตัวของเธอนั้นก็ขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขาโดยไม่ต้องสงสัยอ้านเย่ ยืนอยู่อีกด้านนึงอย่างเงียบๆ
หลินเวยมี่ เห็นสถานการณ์อย่างนี้ในใจก็รู้สึกหงุดหงิด ก็เพิ่งรู้ว่าเธอนอกจากรู้ว่าเขานั้นเป็นคนของตระกูลฉู่แล้ว ก็ไม่รู้เรื่องชีวิตของเขาเลย
แล้วก็ไม่เคยได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมชีวิตของเขา ถึงขนาดไม่เคยเข้าไปในโลกของเขา ไม่ได้เข้าใจเขาในทุกๆด้าน
” เจ้านายครับบาดแผลของเจ้านายไม่สามารถทำกิจกรรมที่รุนแรงได้นะครับ”อ้านเย่พูดเตือนอย่างเป็นห่วง
“ลงไปข้างล่างกัน”ฉู่เฉินซี เดินเข้ามาหาตรงหน้าของเธอ เอาเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างเบาเบา” สีหน้าของเธอ… เหมือนหดหู่ อยากที่จะเข้าใจฉันหรอ”
” ไม่อยาก” เธอนั้น หน้าไปอีกด้านนึงอย่าหงุดหงิด ถึงขนาดแฝงไว้ด้วยความโกรธ
ฉู่เฉินซีเห็นอาการของเธอแต่ไม่ได้พูดว่าอะไร จูงมือของเธอเดินออกไป
รถจักรยานสีชมพูคันนึงจอดที่หน้าประตู หลินเวยมี่ เงยหน้ามองเขา ถามอย่างแปลกใจว่า” พวกเราขี่อันนี้ออกไปเนี่ยนะ”
เธอมองไปรอบๆก็แน่ใจว่ามีจักรยานแค่คันเดียว หรือว่าพวกเขาทั้งสองคนจะใช้จักรยานแค่คันเดียวออกไป
” ฉันรู้สึกว่ามันดีออก”ฉู่เฉินซีจัดแจงจักรยาน เลยเขียนออกมาไว้ที่ด้านหน้าของเธอ” ฉันทำกิจกรรมรุนแรงไม่ได้”
สีหน้าของหลินเวยมี่แข็งทื่อ ถามขึ้นว่า” เขาคงไม่คิดอยากให้ฉันพ่วงเธอไปหรอกนะ”
” ไม่ได้หรอ”ฉู่เฉินซีถามอย่างสบายใจ เอาจักรยานนั้นยื่นส่งให้เธอ
” อย่ามาล้อเล่น”
” ช่างเถอะฉันไม่รอเธอเล่นแล้วฉันจะพาเธอไปสถานที่หนึ่ง” เขาทอดสายตามองไปที่จักรยานนั้น” จริงๆแล้วนี่เป็นของขวัญที่จะให้เธอ”
ไม่รอให้เธอมีปฏิกิริยาอะไรเขานั้นก็ได้เดินออกไปแล้ว หลินเวยมี่ก้มหน้ามองดูจักรยานในมือ อาการทั่วร่างนั้นก็รู้สึกงงอย่างเห็นได้ชัดไม่เข้าใจว่าเขาจะส่งของขวัญนี้ให้เธอทำไม
เขานั้นต้องส่งรถหรู แต่พอทำไมมาถึงเธอกลับกลายเป็นรถหรูสองล้อนี้ได้
ดูเหมือนว่าเธอนั้นยังจะตามความคิดของฉู่เฉินซีไม่ทัน ถอนหายใจแล้วเอาจักรยานไว้อีกด้านยืนอยู่หน้าประตูรอให้เขานั้นออกมา
ไม่นาน รถสปอร์ตคันสีแดงก็ขับออกมาเขาสวมแว่นดำผมนั้นปลิวไสวไปตามสายลมมุมปากยิ้ม” ที่รักขึ้นรถเถอะ”
หลินเวยมี่ เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยรถจึงออกตัวไป
โบสถ์เล็กๆนอกชานเมือง ฉู่เฉินซี จูงมือของเธอค่อยๆเดินเข้าไปข้างใน หลินเวยมี่ เห็นโบสถ์ที่อยู่ไม่ไกลใจก็เต้น
ฉู่เฉินซี ถ้าเธอมาที่นี่หมายความว่าอย่างไร จะขอแต่งงาน? จะสารภาพรัก?
เธอใบหน้าแดงจ้องมองข้างแก้มของฉู่เฉินซี ในใจก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นกังวลขึ้นมา ถึงขนาดมีความรู้สึกหวัง
” เธอพาฉันมาสถานที่นี้ทำไม”
ฉู่เฉินซี ยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อย่าเงียบๆ” ได้ยินมาว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ศักดิ์สิทธิ์มาก เอาความปรารถนาของเธอเขียนลงไป ฉันจะยื่นส่งไป”
ไม่รู้ว่าเขาเอาสายรัดออกมาจากที่ไหนมายัดใส่ในมือของเธอ
หลินเวยมี่ ใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่แท้เขาพาเธอมาที่นี่ก็เพื่อให้เธอ อธิษฐาน นี่เธอยังหวังคำสารภาพรักของเขา….
เธอกำลังหวัง? ขมวดคิ้ว ทำไมถึงต้องหวังการสารภาพรักหรือการขอแต่งงานของเขา? แต่ก่อนรู้สึกถูกกักขังไม่ใช่หรอตอนนี้ทำไมถึงไม่รังเกียจซะแล้ว
เขียนออกมาด้วยจิตใจนั้นยุ่งเหยิง เสร็จแล้วก็เอาสายรัดนั้นส่งให้เขา
” เธอเขียนอะไร” เขาถามด้วยใบหน้าสงสัย กำลังจะแกะออก หลินเวยมี่ห้ามไว้
” ดูไม่ได้ไม่งั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์นะ”
” ก็มีเพียงแค่เด็กโง่อย่างเธอเท่านั้นแหละที่เชื่อสิ่งพวกนี้” เขาถอนหายใจ แล้วใช้แรงโยนเข้าไป สายคาดนั้นขึ้นไปพันอยู่ตรงกิ่งไม้วนสองรอบในที่สุดก็ติดกับ
หลินเวยมี่ มองเขาโดยไม่มีความสนใจถามด้วยเสียงเมินเฉยว่า” กลับได้แล้วหรือยัง เบื่อ”
” ฉันนึกว่าเธอนั้นชอบขอพรซะอีก” เขาพูดจบก็จับมือเธอเดินเข้าในโบสถ์
คนที่อยู่ข้างในเพื่อมาฟังคำสอนนั้นเยอะมากเขานั้นเดินจูงมือของเธอนั่งลงอยู่ในซอกเล็กๆ
ไม่นานฉู่เฉินซีมา เขาบีบที่มือของเธอก่อนหลังจากนั้น ก็เอามือคืบคลานไปตามมือของเธอล้วงเข้าไปในหน้าอก
หลินเวยมี่ จ้องมองเขาอย่างขู่และพูดเสียงต่ำว่า” ทำตัวดีๆหน่อย ทำไมไม่ดูว่าที่นี่มันคือที่ไหน นี่เป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์”
ฉู่เฉินซี ไม่พูดอะไรแค่มองเธออย่างเงียบๆหลินเวยมี่ คร้านที่จะสนใจเขาแล้วตั้งใจฟังต่อ
ทันใดนั้นก็ให้รู้สึกว่านิ้วมือนั้นเย็นเธอหันหน้ากลับมาดูอย่างแปลกใจก็เห็นแหวนนั้นอยู่บนมือ ทั่วร่างก็ให้ชะงัก แหวนนั้นยังอยู่!
“เธอ… ไม่ได้ทำหายหรอ?”
” ทำไมฉันต้องทำหาย เป็นครั้งแรกที่ฉันมอบสิ่งนี้ให้กับผู้หญิง” เขานั่งยิ้มเพียงแต่ว่าครั้งแรกที่มอบให้เธอนั้นก็ถูกเธอรังเกียจ
หลินเวยมี่ วงแหวนที่อยู่บนมือ มุมปากก็เม้มยิ้มจางๆ”
” เธอไม่รู้หรอว่าส่งแหวนให้กับผู้หญิงมันหมายถึงอะไร”
” ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเธอเป็นผู้หญิงของฉันไง” น้ำเสียงของเขาดูจริงจังมุมปากยิ้ม
ในใจของหลินเวยมี่ให้ดิ่งลง เป็นเพียงการยืนยันแค่นี้หรอ นอกจากเป็นผู้หญิงของเขาบนร่างกายของเธอยังมีอะไรอีก
หรือว่าจะเหมือนที่โจ่วซินพูดไว้อย่างนั้น เธอนั้นไม่เหมาะสมที่จะถูกเปิดเผยอีกทั้งฉู่เฉินซี จะเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเธอได้อย่างไร ในใจให้รู้สึกหดหู่
“ฉู่เฉินซี เธอให้ในสิ่งที่ฉันต้องการไม่ได้ก็เก็บอันนี้ไปซะเถอะ” เธอพูดจบก็ดึงแหวนคืนส่งให้เขา
สีหน้าของฉู่เฉินซีแข็งทื่อ คนทั้งสองจ้องมองกันอย่างเงียบๆ ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร