บทที่ 138 ผู้หญิงเสแสร้ง
จู่ๆหลินเวยมี่ก็โกรธจนหน้าเขียว สูดหายใจเข้าออกลึกๆอยู่หลายครั้ง พลางถามเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หรือว่าในใจของนายคิดว่า ฉันเป็นผู้หญิงร้ายกาจคนนึง?”
ฉู่เฉินซีหันหน้าไปทางอื่น ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ “ฉันแค่ไม่อยากให้คนอื่นทำร้ายอานหยาน เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ดีคนนึง!”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน?” เธอยิ้มอย่างเยือกเย็น อานหยานจะเป็นหญิงสาวที่ดีหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่ดี? ในใจลึกๆก็ยิ่งรู้สึกอ้างว้าง เมื่อเห็นเขาดูเป็นห่วงอานหยานขนาดนี้ ดูๆแล้วเธอต้องเป็นคนพิเศษสำหรับเขา
“ออกไปซะ!” เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอามือชี้ไปที่ประตูและพูดกับเขา
ฉู่เฉินซีหันกลับไปมองเธอ สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ทว่าเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร เขาหันหลังกลับและเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
หลินเวยมี่มองดูเขาจากด้านหลัง ด้วยดวงตาที่แสนเศร้าสร้อย จากนั้น เท้าของเธอที่ทายาไว้ก็ถูกนำไปแช่ลงน้ำเย็นอีกครั้ง และยาก็ถูกชำระล้างอย่างสะอาดหมดจด
เธอจะไม่ไปกวนใจเขาอีกต่อไป!
ช่วงเช้าของวันต่อมา อานหยานเดินเข้ามาในห้องของหลินเวยมี่ เธอเดินทะเล่อทะล่าเข้ามา โดยปราศจากจากขออนุญาตใดๆ
“พี่เวยมี่ สำหรับเรื่องเมื่อวาน ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่รู้จริงๆว่า ไข่มุกบนรองเท้ามันหลุดออกมา และทำให้พี่หกล้ม ขอโทษจริงๆนะคะ”
หลินเวยมี่ที่เพิ่งตื่นได้ไม่นาน กำลังนั่งอ่านหนังสือตรงระเบียง พลางกวาดสายตามองอานหยานอย่างเย็นชา มุมปากยิ้มอย่างเย้ยหยัน
สีหน้าท่าทางของอานหยานที่ดูน่าสงสาร ชนิดที่ทำให้คนอื่นพลอยรู้สึกสงสารไปด้วย แต่ในสายของหลินเวยมี่กลับมองว่า อานหยานคือสาวน้อย ผู้แสร้งว่าไร้เดียงสา หากตอนนี้มีคนเดินเข้ามา คนอื่นต้องคิดว่าเธอกำลังรังแกอานหยานอยู่แน่ๆ
“ไข่มุกอะไร?”
เธอถามเปิดประเด็นได้อย่างน่าสนใจ เธอรู้แค่ว่า เมื่อวานเธอลื่นหกล้ม แต่ไม่รู้ว่าลื่นเพราะสะดุดกับของอะไรเข้า คิดไม่ถึงว่าจะเป็นไข่มุกของอานหยานเอง?
”เป็นของประดับบนรองเท้าของฉันเองค่ะ ต้องขอโทษจากใจจริงนะคะ พี่เวยมี่ พี่ต้องยกโทษให้ฉันนะคะ”อานหยานพลางพูด พลางดึงแขนหลินเวยมี่ หากคนอย่างหลินเวยมี่ไม่ยกโทษให้เธอ อานหยานก็คงจะกวัดแกว่งแขนเธออยู่อย่างนั้น ไม่ยอมปล่อย
“แบบนี้นี่เอง” เธอผละมือของอานหยานออกอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอีกครั้ง “ฉันรู้แล้ว คุณอานออกไปเถอะ”
อานหยานกัดริมฝีปากตัวเอง และหยดน้ำนัยน์ตาก็ล้นเอ่อ เธอเอ่ยปากพูดอย่างน้อยใจ “พี่เวยมี่ ยังไงพี่ก็ไม่ยกโทษให้ฉันหรอ?
ใบหน้าของหลินเวยมี่ยังคงนิ่งเฉย ในใจลึกๆกลับรู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก หากเป็นผู้หญิงคนอื่น ก็คงไม่ยอมให้คนอื่นเรียกตัวเองว่าพี่สาวได้อย่างเต็มปากหรอกใช่ไหม? ดูๆแล้วอานหยานก็ดูอายุน้อยกว่าเธอไม่เท่าไหร่ เธอแค่ทำตัวทำเป็นสาวน้อยผู้ไร้เดียงสาก็เท่านั้น
“ฉัน……”
หลินเวยมี่ไม่ทันเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามา เธอกวาดสายตามอง พบว่าเป็นฉู่เฉินซี เธอจึงได้แต่เก็บคำที่จะพูดนั้นไว้ก่อน
“อานหยาน เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เมื่ออานหยานเห็นเฉินฉู่ซี สีหน้าของเธอก็แสดงออกถึงความน้อยใจ เธอยังไม่ทันจะพูดอะไร และหยดน้ำก็ไหลพรูออกมาจากดวงตาคู่นั้น
หลินเวยมี่เห็นฉากที่อยู่ตรงหน้า มุมปากก็ยิ้มแสยะ พลางส่ายหัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อฉู่เฉินซีเห็นสีหน้าของเธอ จึงถามเธอด้วยน้ำเสียงอันเย็นเฉียบ” เธอเป็นอะไร?”
“เฉิน ฉันก็แค่มาสารภาพผิดกับพี่เวยมี่ แต่พี่เวยมี่คงไม่ยกโทษให้ฉัน”
เมื่อเธอพูดจบ เธอก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม ท่าทีของเธอที่ดูเหมือนถูกคนอื่นรังแก หลินเวยมี่เห็นฉากแบบนี้ก็ตกใจจนพูดไม่ออก ได้แต่คิดในใจว่า อานหนานแสดงละครเก่งไม่เบา
ฉู่เฉินซีมองหลินเวยมี่อย่างเยือกเย็น เพระเธออ่านหนังสืออย่างสบายใจ ราวกับพวกเขาทั้งสองไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น
“ออกไปกันเถอะ” เขาพูดจบก็จูงมืออานหยาน และเดินจ้ำอ้าวออกไปจากห้อง
หลินเวยมี่มองดูทั้งสองที่เดินออกไป ดวงตาของเธอแสดงออกถึงความเหยียดหยาม
ในตอนที่หลินเวยมี่เดินกะเผลกไปถึงหน้าประตู เพื่อจะปิดประตูห้องนั่น โจ่วชิงช๋วนก็วิ่งขึ้นมาจากชั้นล่างด้วยความดีใจ
“เฮ้ย เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันมาหา?” แถมยังออกมารอต้อนรับฉันเป็นพิเศษ หรือว่าระหว่างเรามีกระแสจิตที่เชื่อมกันได้?”
หลินเวยมี่กรอกตามองบน พลางเอ่ยปากพูดอย่างไร้อารมณ์ “นายแสดงละครจนเป็นบ้าแล้วมั้ง? ไหนจะมีกระแสจิตอีก”
โจ่วชิงช๋วนลูบจมูกอย่างคับแค้นใจ และเดินตามเธอเข้าไปในห้อง “เท้าเธอเป็นอะไรไป?”
“โดนลวก เพราะความสะเพร่าหนะ”
“เธอสะเพร่าเกินไปแล้วนะ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่บาดแผล” โจ่วชิงช๋วนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “แต่อีกหน่อยก็จะดีแล้วนะ เพราะฉันจะปกป้องเธอเอง และจะไม่ให้เธอได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย”
หลินเวยมี่หัวเราะ “ช่างเถอะ เกรงว่านายยังไม่ทันจะปกป้องฉัน แต่ฉันจะโดนแฟนคลับทั้งหลายของนายรุมนินทาก่อนหนะสิ”
“ไม่ง่ายเลยนะที่ฉันจะพูดคำที่โรแมนติกแบบนี้ออกมา แต่เธอไม่ให้ความร่วมมือฉันเลยสักนิด” โจ่วชิงช๋วนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“บอกฉันมา ว่านายมาทำอะไร?” เธอนั่งบนเก้าอี้หวายอย่างเงียบสงบ ตัวเธอเองสวมใส่เสื้อคลุมบางสีอ่อนที่ค่อนข้างเบาสบาย
“พาเธอไปพบผู้ใหญ่ไง” เขายิ้มและดึงมือหลินเวยมี่ พลางชายตามองไปยังแหวนเพชรที่อยู่บนมือเธอ สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความพอใจ “เมื่อวานมีใครบางคนตอบตกลงแต่งงานกับฉัน”
เมื่อหลินเวยมี่ได้ยินประโยคนี้ ก็แทบอยากจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด เธอสะบัดมือออก และพูดกับเขาอย่างไม่พอใจ “ฉันตอบตกลงไปหรอ? ก็เห็นอยู่ว่านายเป็นคนยัดแหวนใส่นิ้วฉันเอง!”
เธอพลางพูดพลางดึงแหวนวงนั้นออกจากนิ้วและโยนให้เขาอย่างไร้เยื่อใย จากนั้น เธอก็ทำท่ามองบนใส่เขา และพูดกับเขา “พาแหวนวงนั้นของนายไปพบผู้ใหญ่เองเถอะ กลับเองนะ ไม่ส่ง”
โจ่วชิงช๋วนมองแหวนที่อยู่ในมือด้วยอาการที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาพุ่งเข้าหาหลินเวยมี่ “เธอนี่มันใจจืดใจดำจริงๆ เธอจะเทฉันแบบนี้หรอ? เมื่อวานมีคนมากมายเห็นฉันขอเธอแต่งงานได้สำเร็จเชียวนะ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?” เธอทำหน้าตายใส่เขา และพูดอย่างไม่สนใจ พลางอ่านหนังสือของตัวเองต่อ
“ก็เธอเป็นนักแสดงหลักของฉากนั้น จะไม่เกี่ยวกับเธอได้ยังไง?”
จู่ๆหลินเวยมี่ก็นึกถึงโจ่วลี่เฉียงโดยไม่รู้ตัว เธอรีบส่ายหัวทันที หากเธอแต่งงานกับโจ่วชิงช๋วนจริงๆ โจ่วลี่เฉียงจะไม่โกรธตายหรอ?
“พี่เขยฉันก็อยู่บ้าน เธอไปด้วยกันเถอะนะ” ในตอนที่เขาพูดประโยคนี้ น้ำเสียงของโจ่วชิงช๋วนก็หยุดชะงักไป และนัยน์ตาเขาก็จดจ้องไปที่เธอ
ดวงตาของเธอแสดงออกถึงความเศร้าสลด เธอเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง
โจ่วชิงช๋วนจับมือหลินเวยมี่ลงไปชั้นล่าง และพบเจอฉู่เฉินซีที่กำลังจะออกไปข้างนอกพอดี ฉู่เฉินซีหรี่ตามองทั้งสองที่กำลังจูงมือกัน รูม่านตาเขาหดลงเล็กน้อย
“คุณชายหมิง พี่เวยมี่ จะออกไปข้างนอกกันหรอคะ? “ อานหยานทักทายพวกเขาอย่างเป็นกันเอง
หลินเวยมี่พยักหน้าแบบขอไปที เพราะไม่อยากพูดคุยกับพวกเขา ทว่าโจ่วชิงช๋วนกลับทำตรงกันข้าม เขาโอบเอวของหลินเว่ยมีด้วยท่าทีที่ดูสนิทสนม
“อืม พาว่าที่ภรรยาไปพบผู้ใหญ่หนะ”
ทันทีที่หลินเวยมี่ได้ยินประโยคนี้ ก็ใช้ข้อศอกกระแทกตัวโจ่วชิงช๋วน เพื่อให้เขารู้ตัวว่าอย่าพูดจาไปเรื่อย
สีหน้าของฉู่เฉินซีเปลี่ยนไป ชัดเจนว่าถูกประโยคเมื่อกี้กระแทกเข้ามาอย่างจัง แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆออกไป เขาเพียงแค่จับจ้องไปยังนัยน์ตาของหลินเวยมี่อย่างเย็นชา
“อย่าบอกนะว่า พวกพี่กำลังจะแต่งงานกัน? อานหยานถามด้วยความประหลาดใจ
หลินเวยมี่อยากจะเอ่ยปากอธิบาย ทว่าจู่ๆเธอก็ถูกโจ่วชิงช๋วนเอามือทั้งสองข้างแนบชิดไปที่แก้มของเธอ จากนั้นก็ประกบปากเธออย่างหนักแน่น จนสิ่งที่เธอต้องการจะพูด มันติดอยู่ในลำคอ
“แน่นอน แม้ว่าจะมีคนที่ไม่เห็นค่าในตัวเธอ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่เห็นค่าด้วย” โจ่วชิงช๋วนทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ลึกซึ้งและเรียบง่าย โจ่วชิงช๋วนไม่รอดูปฏิกิริยาของพวกเขา พลางจูงมือหลินเวยมี่และเดินออกไป
หลังจากที่ทั้งสองเดินออกจากบ้านไป สีหน้าของฉู่เฉินซีก็ดูเฉยชากว่าเดิม นัยน์ตาเขาดุจนกอินทรี ที่เปล่งประกายถึงความว่องไวและแหลมคมอย่างแรงกล้า
”เฉิน เป็นอะไรไปคะ?” อานหยานเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา จึงถามเขาอย่างระมัดระวัง
ฉู่เฉินซีมองเธอ และพูดอย่างเย็นชา “ฉันออกไปทำธุระข้างนอกก่อนนะ”
อานหยานที่เห็นเขาเดินจ้ำอ้าวออกจากบ้านไป จึงรีบวิ่งตามเขาไป “แต่นายบอกว่า จะพาฉันไปดูหนัง……”
ฉู่เฉินซีจ้องกลับอย่างเยือกเย็น สายตาดุดันของเขา แสดงความหมายว่า นี่เป็นการตักเตือน
อานหยานหยุดฝีเท้าในทันที และไม่กล้าตามเขาไปอีก
หลินเวยมี่นั่งอยู่ในรถ พลางหยิบทิชชู่เช็ดทั่วทุกมุมของกรีบปาก สายตาของเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิดขั้นสุด
“โจ่วชิงช๋วน! ฉันขอเตือนไว้ก่อนนะ ถ้าครั้งหน้านายกล้าจูบฉันอีก ฉันจะไม่เกรงใจแล้ว!”
สีหน้าที่ดูภูมิใจของโจ่วชิงช๋วน เขาพูดและยิ้มอ่อน “ยังมีครั้งหน้าอีกหรอเนี่ย”
หลินเวยมี่ถูกเขาพูดดักทางไว้ เธอโกรธจนพูดไม่ออก จึงได้แต่เงียบไป
ทว่า แค่นึกถึงภาพที่เธอไปพบโจ่วลี่เฉียง ลึกๆในใจเธอก็รู้สึกเกรงกลัว ทัศนคติของโจ่วลี่เฉียงที่มีต่อเธอครั้งก่อน ก็ค่อนข้างชัดเจนแล้ว อีกทั้งโจ่วซินที่เกลียดเธอเข้าไส้ หากเธอไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะแสดงท่าทีออกมายังไง
ย้อนกลับมาคิด ทำไมเธอต้องไปพบโจ่วลี่เฉียง? หรือว่าเธอจะแต่งงานกับโจ่วชิงช๋วนจริงๆ?
คิดมาถึงจุดนี้ ในที่สุดเธอก็เข้าใจ โจ่วลี่เฉียงไม่ใช่คนที่จะขอเข้าพบเมื่อไหร่ก็ได้ อีกทั้งเธอก็ไม่ได้คิดที่จะแต่งงานกับโจ่วชิงช๋วนสักหน่อย?
“จอดรถ! รีบจอดรถสิ!”
โจ่วชิงช๋วนจอดรถข้างทางด้วยความไม่สบายใจ พลางมองเธออย่างประหลาดใจ “เป็นอะไรไป?”
“โจ่วชิงช๋วน! ฉันว่าพวกเราต้องเคลียร์กันให้ชัดเจนนะ ฉันไม่ได้คิดจะแต่งงานกับนาย และฉันไม่สามารถไปเข้าพบโจ่วลี่เฉียงกับนายได้จริงๆ” สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นการอธิบายอย่างร้อนรนใจ
โจ่วชิงช๋วนมองไปที่เธอด้วยสีหน้าคงเดิม “อืม ฉันรู้ว่าเธอไม่มีใจให้ฉัน แต่ความรู้สึกมันสร้างกันได้ เราแต่งงานกันแล้วค่อยๆปลูกต้นรักก็ได้”
“มันไม่เหมือนกัน” เธอถอนหายใจ และเปิดประตูเพื่อลงจากรถ “โจ่วชิงช๋วน ฉันไม่ควรปฏิบัติต่อความรู้สึกของฉันเอง ด้วยการกระทำลวกๆแบบนี้ ขอโทษนะ”
เธอพูดและเดินขากะเผลกไปตามถนน ก้าวเดินของเธอนั้นช่างเด็ดเดี่ยวและแนวแน่
สีหน้าอันเจ็บปวดของโจ่วชิงช๋วน ทำได้เพียงมองเธอจากข้างหลังอย่างทุกข์ระทม
หลินเวยมี่ยืนอยู่บนริมถนน เธอรู้สึกเจ็บขา จนเดินไม่ไหว หากจะเรียกรถจากตรงนี้ก็ไม่ง่ายเลย และหากรอรถตรงนี้ ก็คงต้องรออย่างไร้จุดหมาย
ทันใดนั้น ก็มีรถตู้สีดำจอดตรงหน้าเธอ ไม่รอเธอตอบสนองกลับ ประตูรถเปิด คนที่อยู่ในรถก็ฉุดกระชากเธอเข้าไปในรถ
การเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว จนเธอเองก็กรีดร้องไม่ทัน
เธอที่ถูกฉุดกระชากขึ้นรถ อีกทั้งยังอยู่ในอ้อมกอดที่เย็นยะเยือกของใครสักคน เธออดไม่ได้ที่จะตะโกนเพื่อต่อสู้ดิ้นรน “พวกนายเป็นใคร?”
“เหอะ~”เสียงหัวเราะที่ดังมาจากด้านบน ทำเอาเธออกสั่นขวัญหาย เมื่อเธอสงบสติอารมณ์ได้แล้วนั้น จึงตอบสนองต่อสิ่งนั้นได้ว่า เธอคุ้นเคยกับกลิ่นนี้ดี
เธอที่นั่งอยู่บนที่นั่ง และตัวเธอที่ติดอยู่ในอ้อมกอดของเขา อีกทั้งมือทั้งสองข้างก็ถูกไขว้ไว้ด้านหลัง
“ฉู่เฉินฉี นายจะทำอะไร? จู่ๆก็มาจับตัวฉัน รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจมากเลยใช่ไหม?” เธอตวาดใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์
“หลินเวยมี่!” เขาเรียกชื่อเต็มเธออย่างไม่รอช้า พลางหันตัวเธอมาอย่างอ่อนโยน เพื่อให้เธอมองหน้าเขาได้อย่างชัดเจน และเอ่ยปากพูดอย่างเลือดเย็น “สนุกงั้นหรอ?”
หลินเวยมี่ได้ยินคำพูดที่แปลกประหลาดของเขา ซึ่งไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นต้องการจะสื่ออะไร และอะไรที่สนุก?
เขามองเธอด้วยสายตาที่ลึกล้ำและเฉียบคม ทว่าแววตาลึกซึ้งกลับดูเย็นชา
“ทีเธอหาคนที่จะเธอจะแต่งงานด้วยอย่างตามใจชอบ สนุกมากไหม?”