บทที่ 142 ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ต้องฟังคำของราชา
หลินเวยมี่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอมองเขานิ่งๆ พลันรู้สึกเสียใจอย่างช่วยไม่ได้ เธอเป็นอะไรนะ?ทำไมต้องเข้าไปวุ่นวายกับอานหยาน?อานหยานเป็นคนยังไงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ?
“ยั่ยบ๊อง…ของฉัน” ฉู่เฉินซีริมฝีปากสีคลี่ยิ้มอ่อนๆ แววตาฉายแววหยอกล้อ
หลินเวยมี่มองเขานิ่งเงียบก่อนจะเปิดปากพูด “ฉันไม่ได้หึง ทำไมฉันต้องหึงนายเพราะหล่อนด้วย เรื่องของพวกนายไม่เห็นเกี่ยวกับฉันเลย”
เธอพูดอย่างไม่หวั่นเกรง สีหน้าเหมือนไม่ยี่หระ ทั้งยังแฝงไปด้วยความเย้ยหยันอีกตะหาก เย้ยหยันที่หึงเขาเพราะอานหยาน
ฉู่เฉินซีฟังถึงตรงนี้ สีหน้าเบิกบานในตอนแรกพลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง แววตาเย็นยะเยือก “หลินเวยมี่ เธอมันไม่รู้จักชั่วดี!”
“ใช่ ฉันก็เป็นคนแบบนี้แหละ ฉันไม่ได้ขอให้คนอื่นมาสนใจฉันสักหน่อย” เธอโต้แย้งด้วยเสียงเรียบๆ แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ฉู่เฉินซีพยักหน้า สีหน้าเย็นชาถึงที่สุด แล้วก้าวยาวๆ ออกไปตามมาด้วยเสียงปิดประตูดังปัง
หลินเวยมี่มองที่ประตูด้วยความไม่สบายใจ เธอก้มหน้าลงแววตาฉายความเจ็บปวด ก็เหมือนกับเม่นน้อยที่รักกัน
ถ้าอยากกอดล่ะก็ หนามบนร่างกายก็จะทิ่มแทงอีกคน
ฉู่เฉินซีจ้ำอ้าวเข้ามาในห้อง สายตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ยั่ยผู้หญิงคนนี้มันน่าตายจริงๆ ทั้งยังไม่รู้จักชั่วดี ตอนแรกเขาคิดว่าเธอถูกกลั่นแกล้งต้องรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอกลับไม่สนใจ ทำเหมือนละครตลกฉากหนึ่ง
เขาเดินมาข้างชั้นวางไวน์ แล้วรินไวน์แดงหนึ่งแก้วจากนั้นกระดกลงไป ยังรู้สึกคลุกกรุ่นอยู่เลย จึงหยิบขวดไวน์ขึ้นมากระดก
“เฉิน คุณทำอะไร?” อานหยานที่เข้ามาโอบกอดเมื่อเห็นก็รีบแย่งขวดไวน์กลับมา แล้วพูดพูดชักจูง “ถ้าคุณดื่มแบบนี้เสียรสชาติหมดพอดี”
ฉู่เฉินซีขมวดคิ้วแน่น จ้องมองหญิงสาวที่ห่วงใยเขาตรงหน้านี้ แววตาลึกล้ำขึ้น
“เฉิน คุณจ้องฉันแบบนี้ทำไมคะ?” อานหยานถามอย่างหวั่นๆ แววตาแบบนี้ของเขาทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมา
ฉู่เฉินซีวาดมือโอบไหล่ของเธอ แล้วกุมแก้มนวลของเธอ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบาๆ “ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าไปก่อกวนหล่อน คำพูดของฉันเธอฟังไม่เข้าหูเลยสินะ”
สีหน้าของอานหยานเผยแววกล้ำกลืน เธอรีบก้มหน้า แล้วอธิบายอย่างร้อนรน “เฉิน ไม่ใช่แบบนั้น เธอทำร้ายฉันจริงๆ นะ”
“หล่อนเหยียดหยามแล้วก็แทงเธอ” มือที่เกาะกุมแก้มของเธอเริ่มออกแรงมากขึ้น แววตาเย้ยหยันทวีความรุนแรงขึ้น หลินเวยมี่ก็เป็นผู้หญิงแบบนี้ ถ้าหากให้เธอยอมรับว่าหึงเฉินจริงๆ ก็คงไม่ใช่เธอ
อานหยานเผยแววตาเย้ยหยันออกมาแวบหนึ่ง เขาช่างเข้าใจหล่อนเสียจริง เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ของหลานของอาจริงน่ะเหรอ? เธอไม่มีทางเชื่อหรอก!
จริงๆ แล้วตัวเองก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วอย่างหนึ่ง เธอไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนี้ ที่คนอย่างฉู่เฉินซีจะมาชื่นชอบ เธออาจมีโอกาสได้อยู่เคียงข้างกายฉู่เฉินซี
ด้วยใบหน้าที่เหมือนกับหลินเวยมี่นี้ เธอสามารถใช้เป็นตัวแทนได้
แต่เธอไม่ยอม ไม่ยอมเป็นเพียงตัวแทนของคนอื่น เธอพยายามแสดงออกในทุกๆ ด้านให้เหนือกว่าหลินเวยมี่ แสร้งทำตัวอ่อนต่อโลกหรือแสร้งทำตัวน่ารัก ทว่ายังไม่สามารถครอบครองหัวใจอีกครึ่งหนึ่งของฉู่เฉินซีได้เลย สายตาของเขาหยุดอยู่ที่หลินเวยมี่ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้
“มีสิทธิ์อะไร?” อานหยานย้อนถามทั้งน้ำตา “หล่อนไม่รักคุณเลยแท้ๆ มีสิทธิ์อะไรมาครอบครองหัวใจของคุณ? ไม่ยุติธรรม! ”
“เธอไม่ควรคิดแบบนี้นะ” ฉู่เฉินซีบีบคางของเธอ น้ำเสียงเรียบนิ่งทว่าแฝงไปด้วยอำนาจกดดัน “พวกเราได้ในสิ่งที่ต้องการ ฉันมอบสิ่งที่เธอต้องการให้ทุกอย่าง แต่เธอไม่มีสิทธิ์ไประรานหล่อน เข้าใจไหม?”
อานหยานสะอึกสะอื้นเสียงต่ำ สายตาแข็งกร้าวไม่ยินยอม ทว่าตัวเองก็เข้าใจดี ถ้าพูดจาไม่เข้าฉู่เฉินซีเข้าจริงๆ ล่ะก็ จะไม่ได้อะไรกลับไปเลย
“ฉันเข้าใจแล้ว” เธอพยักหน้าด้วยน้ำตา
“เด็กดี” ฉู่เฉินซีคลี่ยิ้มบางๆ แล้วถือขวดไวน์ขึ้นไปบนดาดฟ้าเงียบๆ นัยน์ตาจ้องมองภายนอก ราวกับกำลังมองดูอะไร
หลินเวยมี่ออกบ้านแต่เช้าตรู่ ตอนที่ออกจากบ้านยังไม่มีใครตื่นเลย แต่นี่แหละเป็นสิ่งที่เธอต้องการ เธอยังไม่อยากเจอพวกเขา โดยเฉพาะฉู่หราน
เธอสวมชุดออกกำลังกายสีชมพูทั้งตัว เดินอยู่บนถนนเงียบๆ เพราะก่อนหน้านี้เย่หนิงแนะนำให้เธอไปที่ร้านจิวเวลรี่แห่งหนึ่ง ดังนั้นเธอเลยถือโอกาสไปดูสักหน่อย
เมื่อมาถึงร้านจิวเวลรี่ ก็สมัครงานได้อย่างราบรื่น แล้วเข้างานในวันนั้นเลย โชคดีที่ก่อนหน้านี้ได้ศึกษาเรื่องอัญมณีมาบ้าง ก็เลยไม่รู้สึกห่างเหินจากเรื่องนี้เท่าไหร่
“คุณครับ” ชายหนุ่มที่สวมชุดโอเวอร์โค้ทสีเทายืนเคาะกระจก แล้วกวักมือเรียกเธอ หลินเวยมี่อึ้งไปเล็กน้อย เธอโผล่ออกไปด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างมีมารยาท “คุณผู้ชาย ต้องการอะไรเหรอคะ?”
ชายหนุ่มสวมโอเวอร์โค้ทยังคงส่งสายตากะล่อนมา กวักมือเรียกอย่างมีลับลมคมใน
หลินเวยมี่ออกไปอย่างไม่สบายใจ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คุณผู้ชาย มีอะไรเหรอคะ? ”
“ฉันรู้สึกสนใจเธอมากเลย”
เจอประโยคนี้ ใบหน้าของหลินเวยมี่ก็มืดครึ้มทันที เธอจ้องเขาอย่างระแวดระวัง จึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบนิ่ง “คุณผู้ชายคะ ถ้าไม่ได้มาซื้ออัญมณี กรุณาออกไปเถอะค่ะ อย่าขัดขวางการทำงานของดิฉันเลยค่ะ”
ชายหนุ่มในชุดโอเวอร์โค้ทชายตามองเธออย่างไม่ยี่หระ แล้วเอื้อมมือไปคว้าจี้บนลำคอเธอมา บนสร้อยคอเชื่อมจี้ไว้สองสิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือกุญแจ
“ฉันหมายถึงฉันสนใจมันน่ะ!”
หลินเวยมี่มีสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วคว้าจี้กลับมาอย่างรวดเร็ว จ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา “คุณเป็นใครกันแน่? ”
แม้ว่าภายนอกจะแสดงท่าทีระมัดระวังเป็นพิเศษ ทว่าภายใจจิตใจกลับเป็นกังวล คนผู้นี้จะเป็นบุคคลปริศนาที่หลินจ่านหงบอกรึเปล่านะ?
“เธอกังวลอะไร เป็นกันเอง เอางี้ เดี๋ยวหลังเธอเลิกงานฉันเลี้ยงข้าวเธอ ถึงตอนนั้นค่อยคุยกัน” ชายหนุ่มในชุดโอเวอร์โค้ทหันกายเดินออกไป ก่อนจากไปยังไม่ลืมโปรยจูบมาให้อีก
หลินเวยมี่เม้มปาก ได้แต่สวดภาวนาอย่างช่วยไม่ได้ คนคนนี้ต้องไม่ใช่บุคคลปริศนาอะไรนั่นแน่ๆ ไม่งั้นเธอต้องปวดหัวตายแน่เลย
หลังจากยุ่งมาทั้งวัน ในที่สุดก็เลิกงาน เพราะเธอเพิ่งทำงานวันแรก ดังนั้นจึงมีอะไรให้เรียนรู้อีกมากมาย มีภาระงานที่ต้องทำเยอะกว่าคนอื่นๆ เธอจึงรู้สึกเหนื่อยล้ามาก
เมื่อเดินออกมา ก็เห็นชายหนุ่มยืนพิงอยู่ที่เสาข้างร้าน
“ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มสวมโอเวอร์โค้ทเดินเข้ามา แล้วดีดนิ้วใส่เธอครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินนำไปด้านหน้า
หลินเวยหมีมีสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินตามไป ไม่ว่าจะเป็นยังไงสถานการณ์ก็ล้วนพลิกได้ เพียงแค่เบาะแสเดียว อีกอย่างก็ไม่ควรตัดสินคนจากภายนอก แม้ว่าภายนอกคนนี้จะดูไม่เต็มหน่วยก็เถอะ……
ทั้งสองเดินเข้ามาในร้านKFCที่เปิด24ชั่วโมง หลินเวยมี่มองชายหนุ่มในชุดโอเวอร์สั่งเมนูด้วยสีหน้าบึ้งตึง ที่เขาบอกว่าจะเลี้ยงข้าวคือKFC?
เธอแอบถอนหายใจในใจเบาๆ แล้วนั่งลงในมุมหลืบรอเขาอย่างไม่ใส่ใจ
“เยอะแยะเลยใช่ไหมล่ะ?” ชายหนุ่มในชุดโอเวอร์โค้ทเผยยิ้มแย้ม
หลินเวยมี่เม้มปากอย่างไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี สุดท้ายก็พยักหน้ารับ แม้ว่าเธอจะไม่ชอบอาหารขยะพวกนี้ก็เถอะ
“พวกเรามาเริ่มคุยกันเถอะ” หลินเวยมี่เผยสีหน้าจริงจัง เธอถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา ทว่าชายหนุ่มในชุดโอเวอร์โค้ทกลับมีท่าทีเป็นกันเองอย่างเห็นได้ชัด เขาดื่มโค้ก แล้วเอ่ยขึ้น “งั้นพวกเรามาเล่นต่อคำกันดีกว่า”
เขามองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง แล้วขยับเข้าไปใกล้หลินเวยมี่อย่างมีลับลมคมใน “ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ต้องฟังคำของราชา”
หลินเวยมี่จ้องชายหนุ่มในชุดโอเวอร์ด้วยสีหน้ากล้ำกลืน แล้วเอ่ยถามอย่าอดไม่ได้ “คุณคงไม่ได้หนีออกจากโรงพยาบาลจิตเวชมาแน่นะ? ”
“ล้อเล่นนา ทำไมเธอต้องจริงจังขนาดนั้นด้วย” ชายหนุ่มในชุดโอเวอร์โค้ทหัวเราะแหะแหะ แล้วพูดต่อ “กุญแจของเธอไม่ธรรมดา”
“ไม่ธรรมดายังไง?” หลินเวยมี่ถามขึ้นอย่างนิ่งเฉย เธอไม่ได้คาดหวังอะไรจากเขาอีกแล้ว
ชายหนุ่มในชุดโอเวอร์โค้ทขยี้ๆ ผม สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ เขาพูดอ้อมแอ้มว่า “ฉันลืมไปแล้ว”
หลินเวยมี่ตัวแข็งทื่อ ทว่าภายในใจกลับรู้ชัดเจน ชายหนุ่มตรงหน้านี้กำลังหลอกล้อเธอ ดีนะที่เธอไม่คิดว่าเป็นบุคคลปริศนาอะไรนั่นจริงๆ
“เธออย่าสงสัยฉันสิ ฉันเป็นคนของรั่วหรานจริงๆ เพียงแต่ฉันค่อนข้างบ๊องๆ ก็เท่านั้นเอง” เขาพูดอย่างลำบากใจ แล้วพูดต่อ “แต่กุญแจนี้ต้องซ่อนให้ดี ยังมีหลายคนตามหามันอยู่”
เมื่อหลินเวยมี่ได้ยินชื่อรั่วหรานก็ปล่อยวางความเครียดลง แม้ว่าชายหนุ่มในชุดโอเวอร์โค้ทจะทำตัวไร้สาระ แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง เขาก็คือบุคคลปริศนา
“เอาเถอะ คุณบุคคลปริศนา เชิญคุณตามสบาย ฉันขอตัวกลับล่ะ” เธออ้าปากหาวคำโตแล้วยืนขึ้นพูด
ชายหนุ่มในชุดโอเวอร์โค้ทพยักหน้า “ไปเถอะ ไปเถอะ อย่าทำกุญแจหายล่ะ”
เมื่อหลินเวยมี่กลับมาถึงบ้านฟ้าก็มืดแล้ว เธอเปิดประตูอย่างเหนื่อยล้า ในห้องรับแขกไร้ผู้คน เงียบสงัดมาก
“เธอไปไหนมา?” บนบันไดของชั้นสอง มือสองข้างของฉู่เฉินซีซุกในกระเป๋ากางเกง มองจดจ้องตาของเธอ หลินเวยมี่ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “ทำงาน”
“พวกหล่อนออกไปแล้ว” ฉู่เฉินซีกล่าวต่อ น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
“ยังไม่ได้กินมาใช่ไหม?”
“เดี๋ยวฉันไปทำให้” ฉู่เฉินซีพูดอย่างเรียบนิ่ง แล้วจ้ำอ้าวเข้าห้องครัว
หลินเวยมี่หันหน้ามองชายหนุ่มที่เดินเข้าห้องครัวไป หัวสมองอดนึกไปถึงภาพที่เขาทำไข่ดาวรูปหัวใจไปวันก่อนอย่างช่วยไม่ได้ ยังมีเศษซากไข่ของคราวก่อนนอนแอ้งแม้งอยู่ในถังขยะอยู่เลย
“ฉันทำเองดีกว่า” หลินเวยมี่เดินไปสวมผ้ากันเปื้อน สีหน้าเต็มไปด้วยประสบการณ์
ฉู่เฉินซีถอยออกไป แล้วยืนพิงกรอบประตูมองหญิงสาวที่กำลังยุ่งหัวหมุนเงียบๆ
“ทำไมจู่ก็อยากออกไปทำงาน?”
หลินเวยมี่ตอบออกอย่างไม่แม้แต่จะคิด “หาเงินใช้”
“ฉันดูแลเธอไม่เอาเหรอ?” ฉู่เฉินซีตอบกลับไปอย่างมั่นใจ
หลินเวยมี่กลอกตามองเขาครั้งหนึ่ง ใบหน้าฉายแววไม่ยินดี “ฉันไม่จำเป็นต้องมีคนอื่นมาดูแล นายทำแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองต่างจากสวิ่นเหินตรงไหน”
“ฉันไม่เคยเห็นเธอเป็นสัตว์เลี้ยง”
“ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่เป็นของเล่น คุณสมบัติยังเหมือนเดิม” หลินเวยมี่ยกบะมี่ขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วยกไปที่โต๊ะทานข้าว
ทันใดนั้น ก็รู้สึกร้อนวูบไปทั่วแผ่นหลัง จู่ก็ถูกเขาโอบกอดไปทั้งตัว ลมหายใจอุ่นร้อนคลอเคลียอยู่บนกกหูของเธอ ”ถ้าฉันบอกว่าไม่เหมือนล่ะ? ”
“แต่สำหรับฉันมันเหมือนกัน พวกเราหยุดคุยเรื่องไร้สาระกันได้รึยัง?” เธอพูดอย่างรำคาญใจ แล้วเดินจ้ำไปที่โต๊ะทานข้าว
ฉู่เฉินซีมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ยั่ยนี่กลับพูดว่าเรื่องดูแลเธอเป็นเรื่องไร้สาระเนี้ยนะ!
เขาแทบพุ่งเข้าไปลงโทษเธอ ทว่าประตูถูกเปิดอย่างแรง ฉู่หรานและหลินซินหยานวิ่งเข้ามาอย่างทำอะไรไม่ถูก แล้วตะโกนอย่างแตกตื่นว่า “เฉิน แย่แล้ว อานหยานถูกพวกชั่วกลุ่มหนึ่งจับตัวไป!