บทที่ 145 เธอคือข้อยกเว้น
ฉู่หรานเห็นฉู่เฉินซีก็ตกใจ อดไม่ได้ที่จะถาม “เฉิน คุณกลับมาตอนไหนหรือคะ? แล้วอานหยานคะ?”
“เมื่อวาน เธอไม่ได้กลับมาด้วย” ฉู่เฉินซีตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลินเวยมี่
แก้มของหลินเวยมี่ยิ่งนานยิ่งร้อน ได้แต่กัดริมฝีปาก รีบเดินออกไปข้างนอก
“พี่คะ พี่จะไปทำงานหรือคะ?” หลินซินหยานดึงมือของเธอไว้แล้วถาม
“อืม ใช่แล้ว” หลินเวยมี่รู้สึกว่าสายตาร้อนแรงยังคงจับจ้องมาที่ร่างกายของเธอ ทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างมาก
ผลักประตูออกไป ถอนหายใจ เพียงแต่ร่างกายยังคงมีรสชาติของเขาอยู่ ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ ส่วนลึกในหัวใจก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ฉู่หรานจ้องมองเข้าไปในตาของฉู่เฉินซี อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา แล้วพูดขึ้น “เฉิน ตอนคุณกลับไปคุณพ่อได้พูดถึงฉันบ้างไหมคะ?”
ฉู่เฉินซีมีสีหน้าเย็นชาลุกขึ้นมา ตอบอย่างเย็นชา “ไม่มี”
“ช่างเถอะ คุณพ่อเป็นแบบไหนฉันเองก็รู้ จะคิดถึงฉันขึ้นมาได้อย่างไรกัน” สีหน้าของฉู่หรานไม่ต้องมองก็รู้ได้ว่าเจ็บปวดแล้วพูดต่อว่า “คุณเฉิน การเลี้ยงดูครอบครัวหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ค่าอาหารและที่อยู่อาศัยต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก……”
ฉู่เฉินซีเอาสมุดเช็คออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เมื่อเขียนเสร็จก็ส่งให้เธอ “อย่าแหย่หลินเวยมี่อีก”
ฉู่หรานรับเช็คเงินไปอย่างสวยงาม รีบพยักหน้า
ร่างกายของฉู่เฉินซีอ่อนแรง เมื่อวานเขากลับมาดึกมาก ตอนเช้ายังต้องออกไปจัดการธุระข้างนอกอีก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเหนื่อยล้ามาก
“ผมจะไปพัก อย่ามารบกวนผม”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวขึ้นไปชั้นบน เปิดประตูเข้าไปในห้องของหลินเวยมี่อย่างคุ้นเคย
หลินเวยมี่เดินก้มหน้าไปตามถนนสายเล็ก เอากุญแจออกมามองอย่างละเอียด ส่วนลึกในหัวใจรู้สึกตื่นเต้นมาก ไม่รู้ว่าหลินจ่านหงเก็บซ่อนอะไรไว้ด้านในตู้เซฟ
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าวิ่งก็ดังมาจากด้านหลัง เธอจึงคิดที่จะหันกลับไป แต่ก็รู้สึกเจ็บบริเวณลำคอ จากนั้นสติก็หายไป
คล้ายๆ ว่าในเวลานั้น รู้สึกได้ว่ากุญแจที่ห้อยอยู่กับคอโดนคนชิงไปแล้ว เธออยากชิงกลับคืนมา แต่ก็ไม่มีแรงพอ
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
หลินเวยมี่ลืมตาขึ้น อันดับแรกที่ทำคือการสัมผัสกุญแจที่ห้อยที่คอ แต่ว่าสัมผัสนั้นว่างเปล่า ทำไมถึงไม่มีอะไรเลย
“มี่มี่ พวกเขาชิงกุญแจไปแล้ว ตู้เซฟก็ถูกเปิดออกแล้วด้วย” ป่ายห้าวสีหน้ามืดครึ้มนั่งอยู่ด้านข้าง ถอนหายใจแล้วพูดออกมา
เธอเพิ่งจะสังเกตว่ามีคนอื่นอยู่ภายในห้องผู้ป่วยด้วย นอกจากป่ายห้าว ยังมีฉู่เฉินซีกับหยิ่งอยู่ด้วย
ฉู่เฉินซีพิงหน้าต่างอย่างเงียบๆ สีหน้ามืดครึ้ม ไม่อาจรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“รู้หรือเปล่าเป็นใคร?” เธอถามอย่างกระวนกระวาย ไม่ว่าจะพูดอย่างไรกุญแจก็เป็นของที่หลินจ่านหงให้เธอไว้เป็นสิ่งสุดท้าย เธอจะปล่อยให้มันหายไปได้อย่างไรกัน?
ป่ายห้าวถอนหายใจ ยกมือขึ้น ก็พบสร้อยข้อมือเงินวงหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ
“ตอนผมไปถึงก็พบแค่สิ่งนี้”
สีหน้าของหลินเวยมี่เปลี่ยนไป จ้องเขม็งไปที่สร้อยข้อมือ ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่รู้
สร้อยข้อมือเส้นนี้ไม่ใช่ของคนอื่น เป็นของกู้จุนเฟิง คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่โจมตีเธอเมื่อเช้าจะเป็นกู้จุนเฟิง
“เป็นไปไม่ได้ ทำไมเขาถึงได้ทำแบบนี้? เขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
“มี่มี่ มีเรื่องอีกมากที่คุณไม่รู้” ป่ายห้าวเกาศีรษะไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้เธอเข้าใจอย่างไรดี จึงส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากฉู่เฉินซี “คุณเฉิน คุณบอกเธอแล้วกันนะ”
ฉู่เฉินซีหันหน้ากลับมา เหลือบมองเธอ สายตามีร่องรอยต่อต้าน
“พวกคุณรู้จักกันงั้นหรือ?” หลินเวยมี่มองพวกเขาทั้งสองคนอย่างแปลกใจ สายตาเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ
ป่ายห้าวหยักไหล่อย่างจนปัญญา โบกมือแล้วดึงหยิ่งให้ออกไปด้วยกัน
ภายในห้องพักผู้ป่วยก็กลับมาเงียบอีกครั้ง เธอขมวดคิ้วมองไปที่ฉู่เฉินซี ส่วนลึกในหัวใจคาดเดาไปสารพัด การปรากฏตัวของป่ายห้าวคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างนั้นสินะ?
“มี่มี่ ถ้าหากเลือกได้ ผมยอมที่จะไม่บอกคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะอย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวข้องกับคุณ” ฉู่เฉินซีพูดออกมาค่อนข้างลำบาก
“ที่สุดแล้วมันคือเรื่องอะไรกันแน่?”
“พ่อของผมกับพ่อของกู้จุนเฟิงเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน แต่เพราะการขัดแย้งกันระหว่างของเงินและผลประโยชน์ จึงทำร้ายตระกูลกู้ ในเวลานั้นพี่เขยของผมตกอยู่ในกำมือพ่อของกู้จุนเฟิง ดังนั้นหลังจากที่กู้จุนเฟิงรู้ความจริง ก็ยิ่งอยากจะแก้แค้นพวกเรา ตระกูลฉู่ได้ผลประโยชน์มากเกินไป เขาติดต่อกับพี่ใหญ่พี่รองของผม อยากที่จะเอาชนะผม”
“แต่ว่าแบบนี้มัน” หลินเวยมี่ถามอย่างไม่เข้าใจ แล้วสิ่งที่อยู่ในตู้นิรภัยของหลินจ่านหงคืออะไรกัน?
“เรื่องนี้ยุ่งยากมาก ผมแค่พูดคร่าวๆ ให้เข้าใจได้ง่าย” เขาถอนหายใจ แล้วโคลงศีรษะเบาๆ พูดเสียงต่ำ “มีคนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จำนวนมาก ผมกลัวว่าพี่ใหญ่พี่รองจะหาคุณเจอ ดังนั้นจึงไม่สามารถให้คุณออกมาทำงานได้”
หลินเวยมี่นิ่งไปสักพัก ส่วนลึกในหัวใจไม่เชื่อ ไม่น่าเชื่อเลยสักนิดว่ากู้จุนเฟิงจะเป็นคนหยิบกุญแจของเธอไป แต่สร้อยข้อมือก็เป็นของจริงแน่นอน เรื่องเล็กน้อยก็ไม่อาจที่จะละเลยได้
เหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นสาเหตุของทุกอย่าง ฉู่เฉินซีไปรับเธอออกจากโรงพยาบาลไปส่งที่คฤหาสน์เขตชุมชนหลี่เจียง ยังคงเป็นคฤหาสน์อีกหลัง แต่ทว่าให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน
เธอยืนนิ่งอยู่ที่ข้างชอบหน้าต่าง หลังจากที่ตัวเธอเคยกระโดดตึกมาก่อน ขอบหน้าต่างทำมาจากเหล็ก ต่อให้อยากกระโดดตึกก็ไม่มีโอกาส
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าความรู้สึกของตัวเองเริ่มเหมือนเดิมแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะต้องรังเกียจฉู่เฉินซีอย่างแน่นอน แต่ว่าในตอนนี้ไม่มีความรู้สึกรังเกียจอยู่เลย ใจของเธอรู้สึกธรรมดามาก
คิดไม่ถึงว่าเธอจะกำลังค่อยๆ ยอมรับมัน?
แท้จริงแล้วยิ่งเป็นแบบนี้ในใจก็ยิ่งกลัว ยิ่งรู้สึกไร้เรี่ยวแรง และยิ่งรักเธอมากขึ้นไปอีก
มุมปากยกยิ้มขึ้น เสียงเปิดประตูดังเข้ามา จึงหันกลับไปพบกับรอยยิ้มในดวงตาของฉู่เฉินซี
“คุณจะออกไปแล้วหรือ?” เธอลุกขึ้น ร่างที่สวมชุดกระโปรงขาว ถามเสียงเบา
ฉู่เฉินซีพยักหน้า โอบเอวของเธอ แล้วว่าคางไว้บนไหล่เธอ “ผมจะทำยังไงดี แค่ออกไปไม่ถึงชั่วโมงในหัวของผมก็คิดถึงแต่คุณ”
ใบหน้าของหลินเวยมี่แดงขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตามในตอนนี้ เธอยังปรับตัวไม่ทันกับคำรักของเขา
“คุณออกไปทำอะไรงั้นหรือคะ?” เธอถาม เพื่อเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา
“นี่ไง แค่ไปซื้อของพวกนี้เท่านั้น” เขาวางของไว้บนเตียง ของที่อยู่ข้างในหล่นออกมา
ทันทีที่เธอเห็นของสิ่งนั้นหน้าของเธอก็แดงขึ้นมา ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นชุดชั้นในแบบเซ็กซี่
“คนบ้า อย่างไรฉันก็ไม่ใส่!” เธอโกรธจนหยิบของสิ่งนั้นยัดใส่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าแดงไปหมดเพราะว่าอาการเขินอาย
ฉู่เฉินซียิ้มแล้วมองอย่างสนุกสนาน เลียริมฝีปากบาง “ก็แค่ใส่ให้ผมดูคนเดียว ตัวนี้ไม่เลวเลย”
“ฉู่เฉินซี จะดีมากถ้าคุณเอาของๆ คุณทั้งหมดนั่นไปทิ้ง ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ” หลินเวยมี่โกรธจนต้องกัดฟัน ขยะแขยง ผู้ชายคนนี้ ทำไมในหัวถึงได้คิดแต่เรื่องแบบนี้กันนะ
“ดี ผมจะเอาออกไป รอจนไฟดับค่อยเอามาให้คุณใส่ให้ผมดูดีไหม?” หน้าของเขามีรอยยิ้ม สายตาเต็มไปด้วยความคลุมเครือ
หลินเวยมี่จ้องเขาอย่างโกรธเคือง ใบหน้าแสดงออกถึงการดูถูก
“แค่ก แค่ก”
“เจ้านาย คุณชายเฉินกับคุณElisมาถึงแล้ว”
เมื่อฉู่เฉินซีได้ยินชื่อของพวกเขา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด ดวงตาทอแววอันตราย ลูบหัวของหลินเวยมี่อย่างอ่อนโยน “คุณอย่าออกมา”
“ทำไมคะ?” หลินเวยมี่ถามอย่างอดไม่ได้ ถึงแม้ว่าฉู่เฉินซีจะไม่ชอบเฉินเห้าหมิง แต่ทำไมถึงไม่ให้เธอออกไป ให้ซ่อนจากเฉินเห้าหมิงหรือ
“ฟังผม” เขาก้มศีรษะลงมาแล้วจูบริมฝีปากเธอหนึ่งครั้ง แล้วเดินออกไปข้างนอก
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว เดินไปที่หน้าต่าง มองเห็นรถสปอร์ตสีสันสดใสจอดอยู่นอกคฤหาสน์ เธอจำได้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นรถของเฉินเห้าหมิง
ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมฉู่เฉินซีถึงไม่ให้เธอออกไป แต่เธอก็เกลียดเฉินเห้าหมิงมากพอ และมันดีกว่าถ้าจะอ่านหนังสืออยู่ในห้อง
ผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ประตูก็เปิดออกอย่างรุนแรง หลินเวยมี่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพราะคิดว่าฉู่เฉินซีกลับมาแล้ว จึงถามอย่างเย็นชา “พวกเขากลับไปแล้วหรือคะ?”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นมาในอากาศ เสียงที่เห็นได้ชัดว่าเป็นของผู้หญิงดังขึ้น “เธอคือเด็กแสบที่เฉินเห้าหมิงพูดถึงสินะ?”
ได้ยินเสียงของคนแปลกหน้า จิตสำนึกของหลินเวยมี่สั่งให้เงยหน้าขึ้น ผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าประตู มีผมสีเหลือง ดวงตาสีฟ้า ผิวค่อนข้างขาว มองแล้วคล้ายกับตุ๊กตา
เพียงแค่สายตาของเธอก็แสดงออกถึงการเหยียดหยามอย่างชัดเจน มุมปากยกขึ้นแล้วยิ้มเยาะเย้ยเธอ
ในใจของหลินเวยมี่นึกเกลียดผู้หญิงที่จู่ๆ ก็เข้ามาคนนี้อย่างไม่มีเหตุผล วางหนังสือลงช้าๆ แล้วค่อยๆ เปิดปากพูด “คุณเป็นใครหรือคะ? เวลาจะเข้าห้องต้องเคาะประตูก่อนไม่ทราบหรือคะ?”
“เคาะประตู?ฉันไม่รู้ว่าเคาะประตูคืออะไร ฉันแค่อยากรู้เรื่องของเธอ” ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาอย่างช้าๆ มองเธออย่างละเอียด แล้วพูดอย่างเย็นชา “ผู้หญิงที่ทำให้เฉินต้องการปกป้องคือเธอจริงหรือ? มองแล้วไม่เห็นจะพิเศษตรงไหน”
หลินเวยมี่เกลียดสายตาที่มองมาของเธอจริงๆ สีหน้ามืดครึ้มขึ้นมา ถามเสียงเย็น “คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?ถ้าไม่มีเชิญออกไป!”
“ไม่น่าเชื่อว่าเป็นแค่ของเล่น กล้าที่จะพูดแบบนี้กับฉัน?” เธอทนไม่ไหวแล้วกับการกระทำที่ไม่ต้อนรับของหลินเวยมี่ จึงยกมือขึ้นจะตบออกไป
มือถูกกำเอาไว้ เธอหันกลับไปมองอย่างไม่พอใจ เผชิญกับฉู่เฉินซีที่อารมณ์ไม่เสีย “ใครให้คุณเข้ามา?”
“เฉิน คุณปกป้องของเล่นคนนี้หรือ?” ผู้หญิงคนนั้นถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
สีหน้าของฉู่เฉินซีมืดครึ้มขึ้นมาทันที ตอบกลับอย่างหงุดหงิด “การทำร้ายใครตามใจชอบไม่ใช่นิสัยที่ดี”
“ฉันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก คุณก็ใช่ว่าไม่รู้?” ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้ว แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่ฉู่เฉินซีแสดงออก
หลินเวยมี่มองทั้งสองคนเงียบๆ ฟังจากน้ำเสียงของเธอพวกเขาคงรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และผู้หญิงที่อยู่ข้างกายมีบรรยากาศคล้ายชนชั้นสูงที่แผ่ออกมาอย่างที่ปกปิดไม่มิด
แต่ทว่า ภายในใจของเธอรู้สึกปวดร้าว ไม่ใช่ความต่างระหว่างเธอกับผู้หญิงคนนั้น แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเธอกับฉู่เฉินซี ไม่ว่าอย่างไรเธอก็แตะต้องมันไม่ได้
“Elis ทำไมคุณถึงได้วิ่งมาที่ห้องของเด็กแสบนี่ได้? คงไม่ได้ทำให้เด็กแสบตกใจใช่ไหม?” เฉินเห้าหมิงเอามือทั้งคู่ล้วงกระเป๋า ใบหน้ายิ้มอย่างแฝงความนัย ขวางอยู่ข้างหน้าของหลินเวยมี่ คล้ายแสดงออกว่าจะปกป้องเธอ
“Elis เด็กแสบนี่ไม่ใช่คนที่คุณจะรังแกได้ตามใจ!”
คำพูดธรรมดาของเฉินเห้าหมิงเป็นการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ สีหน้าของElisเปลี่ยนไปทันที ถามด้วยความโกรธ “ทำไมฉันถึงจะรังแกเธอไม่ได้ ถ้าฉันจะตีเธอ เฉินก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามแม้แต่ครึ่งคำ!”
“อ้อ?จะเป็นอย่างนั้นหรือ?Elis คุณอย่าลืมสิ เธอคือข้อยกเว้น” เฉินเห้าหมิงเฝ้าดูการแสดงออกของพวกเขาคล้ายกำลังดูละครฉากหนึ่ง