บทที่ 151 ฉันรักเขา
ภายในห้องพักของโรงแรม กู้จุนเฟิงที่ถือแก้วเหล้าไว้ในมือ แกว่งแก้วด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ทว่าก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนพอที่จะรู้สึกได้ว่าเขากำลังเหม่อลอย
เหมือนกับว่าความคิดของเขาไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น จนกระทั่งเสียงเปิดประตูดังขึ้น ดวงตาของเขากะพริบหนึ่งครั้ง แล้วเบนสายตาไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
หน้าประตู หญิงสาวในชุดหนังสีดำปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความเย็นชา เดินเข้ามาข้างกายเขาอย่างหงุดหงิด
“เรียกฉันมามีเรื่องอะไรหรือ?”
กู้จุนเฟิงค่อยๆรินเหล้าใส่แก้วให้เธอ แล้วจึงพูดเนิบๆ “ของที่ผมต้องการ?”
หญิงสาวยื่นซองเอกสารให้เขาอย่างหงุดหงิด เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “รูปถ่ายใบล่าสุดอยู่ในนี้ เพียงแค่คุณทำตามที่พวกเราบอก จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอแน่นอน”
ดวงตาของกู้จุนเฟิงหรี่ลงชั่วครู่ นิ้วมือขาวหยิบซองเอกสารขึ้นมา ใช้เวลาสักพักในการฟื้นคืนมา ดื่มเหล้าเข้าไปหนึ่งอึก พูดเสียงเรียบ “คล้ายว่าผมเป็นเพียงหุ่นเชิดตัวหนึ่ง ที่ถูกพวกคุณบงการ”
หญิงสาวหัวเราะเย้ยหยันขึ้นมา แล้วพูด “คุณไม่มีทางเลือกอะไรอีกแล้ว”
กู้จุนเฟิงเม้มปากเยาะเย้ยตัวเอง “ก็จริง”
“แต่ว่า ผมอยากรู้ ทำไมคุณถึงต้องแฝงตัวอยู่ข้างกายของหลินเวยมี่ตลอด พวกคุณยังมีแผนการอะไรอีกอย่างนั้นหรือ?”
หญิงสาวเบิกตาขึ้น สายตาฉายแววดูถูก “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ สิ่งที่คุณควรจะทำคือ รอทำตามที่พวกเราบอกอย่างเคร่งครัด”
“คุณจะทำร้ายเธอหรือเปล่า?” ดวงตาของเขาสั่นไหว อย่างช่วยไม่ได้
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ จัดเสื้อผ้า และแสดงสีหน้าผ่อนคลายออกมา “จะพูดอย่างไรเธอก็เป็นพี่สาวของฉัน ฉันจะทำร้ายเธอได้อย่างไร”
กู้จุนเฟิงเงินหน้าขึ้น หรี่ตามองเธอ ถามเสียงเรียบ “หลินซินหยาน คุณเข้าใจหรือเปล่าว่าครอบครัวคืออะไร?”
เธอเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าไร้อารมณ์มองเขา “ขอเพียงแค่ไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของฉัน ครอบครัวก็จะไม่เปลี่ยนไป”
กู้จุนเฟิงรู้สึกถึงภายในใจ ถ้าหากว่าหลินเวยมี่ต้องการแตะผลประโยชน์ของเธอ ถึงตอนนั้นก็คงไม่ใช่แม้แต่ครอบครัว การช่วยคนในครั้งนี้ของพวกเขาล้วนเลือดเย็น จะมาใส่ใจครอบครัวได้อย่างไร?
“การรับมือกับฉู่เฉินซีของพวกคุณในตอนนี้ไม่ค่อยฉลาดนัก ทำตามความสุขของตัวเองเถอะ” เธอยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม หลังจากนั้นก็สาวเท้าเดินออกไป
กู้จุนเฟิงถอนหายใจลึก เป็นการผ่อนคลายชั่วคราว หยิบรูปในซองเอกสารออกมา รอยยิ้มของคนที่อยู่ด้านในอ่อนโยนเหมือนดอกไม้
หางตาของเขาชื้นขึ้น สอดรูปกลับเข้าที่ แล้วดื่มเหล้าในแก้วเข้าไปอีกหนึ่งอึก
ภายในคฤหาสน์ หลินเวยมี่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างบนชั้นสอง มองอ้านเย่กับหยิ่งที่พูดกันอะไรสักอย่างอยู่ในสนามที่มืดมิด สีหน้าของทั้งสองคนดูดี และมือที่อยู่ด้านข้างเหมือนกับกำลังเตรียมทำบางอย่าง สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไร
เวลาผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว หรือว่าฉู่เฉินซีจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงได้คล้ายกับพร้อมจะออกไปแบบนั้น?
โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็รีบวิ่งลงมาชั้นล่าง
“หยิ่ง อ้านเย่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?” เธอรีบไปยืนอยู่ระหว่างทั้งสองคน แล้วถามอย่างร้อนรน
สายตาของทั้งสองคน ก็รู้ว่าไม่มีใครอยากจะบอกเธอ
“คุณหลิน เรื่องนี้ค่อนข้างร้ายแรง ทางที่ดีคุณอย่าเข้ามายุ่งเลยจะดีกว่า” อ้านเย่ตอบเสียงเรียบ
หลินเวยมี่จ้องเขม็งสักพัก ยื่นไปจับแขนของเขาไว้ ถามอย่างร้อนรน “ฉู่เฉินซีเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือเปล่า? พวกคุณบอกฉันที ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
อ้านเย่ทำสีหน้าลำบากมองหลินเวยมี่ ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร จึงส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางหยิ่ง
หยิ่งถอนหายใจ เดินมาอยู่ด้านหน้าของหลินเวยมี่
อ้านเย่ส่ายหน้าให้กับชายที่อยู่ข้างเขา บอกให้ขึ้นรถไปก่อน
เมื่อรอจนทุกคนเดินไปหมดแล้ว หยิ่งจึงพูด “คุณหลิน เห็นคุณเป็นห่วงเจ้านายขนาดนี้ ผมรู้สึกทราบซึ้งมากครับ”
หลินเวยมี่ตกตะลึง มองเขาอย่างเสียอาการ หัวใจยิ่งรู้สึกไม่สงบ “เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่”
หยิ่งถอนหายใจ ก้มศีรษะมองแขนที่เพิ่งโดนจับไว้ “เป็นกรณีของแม่น้ำหลี่เจียงเมื่อครั้งที่แล้ว ไม่ทราบว่าใครถ่ายรูปไว้ เจ้านายกำลังตรวจสอบอยู่ครับ”
หลินเวยมี่สีหน้าซีดขาว ภาพฉากในวันนั้นปรากฏขึ้น แท้จริงแล้วคือเรื่องนี้เอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าจะใช่เรื่องร้ายแรงอะไร?
“ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร?”
“คุณหลิน คุณอย่าได้กังวลไปเลยครับ ให้ผมกับอ้านเย่ไปหากองกำลัง อย่างเงียบๆ”
ภายในใจของหลินเวยมี่ยังคงรู้สึกไม่สงบ รีบพูดต่อ “ฉันต้องการที่จะไปด้วย”
หยิ่งสบตาเธอนิ่ง แล้วตอบกลับ “เพียงแต่ไม่รู้ว่ากองกำลังจะให้พวกเราเข้าพบเจ้านายหรือเปล่า”
หลินเวยมี่สนใจเสียที่ไหนกัน? เรื่องนั้นเกิดขึ้นเพราะเธอ จะให้เธอมองดูฉู่เฉินซีถูกเรื่องนี้ทำให้ติดขัดได้อย่างไร?
เมื่อขึ้นรถแล้ว อ้านเย่ที่เห็นหลินเวยมี่ก็ตกตะลึงงัน เบนสายตาไปที่ร่างของหยิ่ง
“ปล่อยเธอไปเถอะ” หยิ่งถอนหายใจแล้วเข้าไปนั่ง
ภายในรถเงียบสงบ ไม่มีใครพูดอะไร แต่ในใจของหลินเวยมี่ตึงเครียดขึ้นมา เพียงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ร้ายแรงจริงๆ
“คนที่ถูกสั่งให้จับตัวไปคือโจ่วลี่เฉียง เห็นได้ชัดว่าเขาได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว และยังได้รับการช่วยเหลือจากกู้จุนเฟิง เจ้านายในตอนนี้ตัวคนเดียวไร้ซึ่งหนทาง เห็นได้ชัดว่ามีทางชนะ” อ้านเย่พูดออกมาอย่างใจเย็น
หยิ่งถลึงตาใส่อ้านเย่ไปหนึ่งครั้ง อ้านเย่ถึงได้รู้ว่าหลุดปากออกมาแล้ว อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหลินเวยมี่ หลังจากปากไม่พูด
เมื่อหลินเวยมี่ได้ฟังจนจบก็ตัวสั่น คิดไม่ถึงเลยว่าฉู่เฉินซีจะถูกโจ่วลี่เฉียงจับตัวไป โจ่วลี่เฉียงกับฉู่เฉินซีแตกต่างกันอย่างมาก การจับตัวครั้งนี้ โจ่วลี่เฉียงจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร?
ยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งกระวนกระวาย จนแสดงสายตาที่โศกเศร้าออกมาภายนอก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกกระวนกระวายใจนี้ได้
เมื่อถึงกองกำลัง หลินเวยมี่จึงได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ ภายในกองกำลังมีทหารอยู่รอบๆ และทุกคนล้วนมีอาวุธปืนอยู่ในมือ
รถของพวกเขาถูกขวางอย่างรวดเร็ว หยิ่งลงจากรถเพื่อไปเจรจา คนของกองกำลังก็ยังไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไป
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วแน่น แล้วผลักประตูรถเปิดออก สาวเท้าเดินไปด้านหน้า
“คุณผู้หญิง กรุณาหยุดด้วยครับ!”นายทหารคนหนึ่งมาขวางด้านหน้าเธอพูดอย่างจริงจัง
หลินเวยมี่ถลึงตาใส่เขา สีหน้าเย็นชา “เปิดทาง ฉันต้องการพบกู้จุนเฟิง!”
นายทหารตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าก็ยังมั่นคงในเจตนา หลินเวยมี่ต่อต้านเดินเข้าไปต่อ สายตาที่เฉียบคมสังเกตเห็นรถที่จอดอยู่ภายใน หนึ่งในนั้นคือรถของกู้จุนเฟิง
เขาอยู่ที่นี่จริงๆ
“ปล่อยฉัน ฉันต้องการพบกู้จุนเฟิง! ฉันมีเรื่องที่ต้องคุยกันเขา!” หลินเวยมี่ผลักคอของนายทหาร ตะคอกเสียงดัง
จิตสำนึกสั่งให้นายทหารผู้น้อยขวางเธอไว้ แล้วพูดเสียงเรียบ “ไม่มีคำสั่งจากท่านนายกเทศมนตรี ใครก็เข้าพบเขาไม่ได้ทั้งนั้น”
“ปล่อยมือ!” กู้จุนเฟิงที่สวมชุดสูทอย่างเป็นทางการ สีหน้าเย็นชาเดินเข้ามา
หลินเวยมี่แค่มองก็พบกู้จุนเฟิง สาวเท้าเข้ามา จับแขนกู้จุนเฟิงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เสี่ยวจื๋อ ฉันต้องการเข้าไปด้านใน”
กู้จุนเฟิงขมวดคิ้วแน่นจนหัวคิ้วติดกัน จับมือของเธอแล้วพาเดินเข้าไปด้านใน
ระหว่างทางเกือบจะไม่มีการสนทนาใดๆ จนกระทั่งเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง กู้จุนเฟิงถึงได้ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย ถามเสียงเบา “ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้?”
หลินเวยมี่ตาแดงก่ำ จับแขนของเขาไว้ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก “ฉันอยากจะพบฉู่เฉินซี”
กู้จุนเฟิงได้ยินเธอพูดก็หน้าตึงทันที อันที่จริงในตอนที่เธอปรากฏตัวที่นี่เขาก็เดาได้แล้วว่าจุดประสงค์ของเธอคืออะไร เพียงแค่ตอนนี้หลังจากที่เห็นอาการของเธอ ภายในใจก็เย็นเยียบขึ้นมา
เธอใส่ใจฉู่เฉินซีอย่างเห็นได้ชัด ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมเสี่ยงมาที่นี่
“คุณไม่ควรมาที่นี่” เขาพยายามที่จะไม่พูดด้วยเสียง
หลินเวยมี่มีสีหน้าตึงขึ้นมา หายใจเข้าจมูก สีหน้าหนักแน่น “อย่างไรฉันก็ต้องการที่จะพบเขา!”
กู้จุนเฟิงมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ เอ่ยเสียงเรียบ “ผมขอเหตุผลสักข้อ”
“ฉันรักเขา”
เพียงแค่คำเดียวทำให้ทั้งสองคนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรต่อไป อย่างไรก็ตามสีหน้าของกู้จุนเฟิง คาดเดาได้อย่างชัดเจน เป็นเพียงแค่เจ็บปวดภายในใจ
หลินเวยมี่ ยังรักฉู่เฉินซี ในที่สุดเขาก็จับเธอไว้ไม่อยู่
“ดี ผมจะพาคุณไปเจอเขา” กู้จุนเฟิงถอนหายใจแล้วพูด
ดวงตาของหลินเวยมี่ปรากฏความยินดี น้ำตาไหลลงมาจากดวงตา “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ”
กู้จุนเฟิงเม้มปากแน่น ไม่ได้ตอบกลับเธอไป เธอรู้อยู่แล้ว สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่คำขอบคุณ
เดินไปจนถึงห้องที่อยู่ด้านในสุด ผลักประตูออก ฉู่เฉินซีนอนอยู่บนเตียงขนาดเล็ก ด้วยร่างกายสูงใหญ่ของเขาทำให้ดูอึดอัดไปบ้าง
ใบหน้าของเขาขาวซีด บนหน้าอกมีรอยเลือด มองดูแล้วอ่อนแอจนทำให้คนหวาดกลัว
“พวกคุณทำอะไรกับเขา?” หลินเวยมี่เกือบจะกรีดร้อง รีบร้อนเข้าไปในห้อง ลูบแก้มของเขาเบาๆ
กู้จุนเฟิงปิดประตู แล้วพูดเสียงเย็น “แค่สอบสวนตามปกติ เขาถูกตีจนสลบ คาดว่าต้องรอสักพักเขาถึงจะตื่นขึ้นมา”
หลินเวยมี่หรี่ตามองเขา สายตาเต็มไปด้วยความปวดใจ พวกเขาตีฉู่เฉินซีจนเป็นแบบนี้!ยังจะพูดเป็นสุนัขผายลมว่าสอบสวนตามปกติ!
“คุณออกไป!ฉันต้องการอยู่กับเขาตามลำพัง” หลินเวยมี่พูดด้วยเสียงเย็นชา ในน้ำเสียงแฝงความเกลียดชัง
สีหน้าของกู้จุนเฟิงแข็งทื่อ สาวเท้าออกไป
“ฉู่เฉินซี คุณตื่นสิ ฉันทำผิดไปแล้ว ผิดจริงๆ ที่คิดว่าคุณเป็นปีศาจ สามารถทำร้ายคนอื่นได้ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว ที่ปีศาจต้องทำร้ายเพียงเพราะต้องการปกป้องตัวเองเท่านั้น” เธอหายใจเข้าลึกๆ ศีรษะเล็กซบลงบนหน้าอกของเขา
“ต้องทำอย่างไร ฉันต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยคุณได้” เธอร้องไห้ออกมา มองเขาที่อ่อนแออย่างนั้น ก็รู้สึกเศร้าใจ
“แค่ก แค่ก” ฉู่เฉินซีไอออกมาเบาๆ ไม่มีแรงที่จะลืมตา มองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขน ทันใดนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขึ้น
“คุณกำลังเป็นห่วงผม สาวน้อย ผมรู้สึกตั้งแต่คุณเข้ามาแล้ว เพียงแค่ไม่มีแรงที่จะลืมตาขึ้นมา”
หลินเวยมี่มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ กัดริมฝีปากแน่น แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
“ทำอย่างไรดี? คุณถูกพวกเขาตีจนเป็นแบบนี้!”
“อย่างกังวลไปเลย สามชั่วโมงหลังจากนี้ผมก็สามารถกลับได้แล้ว อย่าร้อง” เขาไอเบาๆ ไม่มีแรงที่จะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนหน้าของเธอ
ดวงตาของหลินเวยมี่หดแคบลง ถามอย่างกระวนกระวาย “สามชั่วโมง สามชั่วโมงคุณไม่รู้เลยว่าจะถูกพวกเขาทรมานจนเป็นอย่างไร!”
“ผมยังตายไม่ได้หรอก” เขาพูดอย่างไม่แยแส ภายในแววตามีความโกรธกระจายอย่างรุนแรง โหดเหี้ยม ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาแต่ละคนก็อย่าได้คิดว่าจะมีชีวิตที่ดี