บทที่157 ห้าปี คือความรู้สึกเเบบไหน
หลินเวยมี่หน้าเสีย จ้องหน้าเขานิ่ง เธอไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาด้วยใบหน้าเเละน้ำเสียงนิ่งเฉยขนาดนี้ คบกันมาห้าปี มันเป็นความรู้สึก ความสัมพันธ์เเบบไหนกันเเน่
หลินเวยมี่มองเขาอยากรู้ว่าเขารู้สึกเเละกำลังคิดอะไรอยู่กันเเน่ เเต่ก็จับผิดอะไรเขาไม่ได้เลย
“ห้าปีหรอ”
“อืม ห้าปี” เขายิ้มเจื่อนๆ “เธอเป็นรักเเรกพบของฉัน”
พอได้ยินเเบบนี้ก็รู้สึกเจ็บปวด ผู้หญิงที่ทำให้เขาตกหลุมรักตั้งเเต่เเรกพบ คงจะเป็นผู้หญิงที่สวย สมบูรณ์มากสินะ
หลินเวยมี่ไม่กล้าถามต่อ ถึงเเม้ในใจเธอจะสงสัยมาก เเต่เป็นเพราะไม่อยากฟังเขาเล่าหรือบรรยายถึงรูปร่างลักษณะของเธอ
เพราะมันจะทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด เธอรู้สึกว่าฉู่เฉินซีไม่ได้เป็นของเธอ เพราะฉะนั้นเธอถึงมีความรู้สึกเเบบนี้สินะ
เธอกลัวว่าเขาจะหายไปต่อหน้าต่อตาเธอ กลัวว่าเขาจะบอกว่าเขาไม่รักเธอเเล้ว
เเละตอนนี้เธอก็ไม่เเน่ใจว่าความรู้สึกที่เขามีต่อเธอมันใช่รักรึเปล่า
“ยายบื้อ เธอคิดอะไรอยู่” เขาเอื้อมมือไปกุมหน้าเธอ ก้มลงไปจูบเธอ
เธอรู้สึกไม่ดี ไม่รู้จะตอบเขายังไง เธอนิ่งปล่อยให้เขาจูบเธออย่างตามใจ ที่เเท้การเจ็บปวดหัวใจเป็นเเบบนี้นี่เอง การที่ได้ยินว่าเขารักคนอื่น มันเจ็บเเบบนี้นี่เอง
เหมือนมีหินมาทับอยู่ตรงหน้าอกหายใจไม่ออก รู้สึกทรมาน
“โกรธหรอ” เขาเอ่ยถามเธอ
หลินเวยมี่สูดหายใจเข้าลึกๆ มองหน้าเขา เธอรู้สึกขำตัวเอง เธอมีสิทธิ์อะไรไปโกรธเขาล่ะ
“เปล่า ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธคุณ” เธอยกยิ้มมุมปาก
ฉู่เฉินซีผิดหวังที่ได้ยินเเบบนั้น “เวยมี่ ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเธอมันไม่เหมือนเดิมเเล้ว ความรู้สึกของเราทั้งคู่ไม่เหมือนเดิมเเล้ว เธอเข้าใจที่ฉันพูดมั้ย”
หลินเวยมี่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เธอไม่เข้าใจ ในเมื่อทั้งคู่รักกันไม่ใช่หรอ เเล้วทำไมถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ล่ะ
ในความคิดของเธอ รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก เเล้วมันจะต่างกันได้ยังไง
“ไม่เข้าใจหรอ” ตอนนี้เขาพูดหรือสัญญาอะไรกับเธอไม่ได้
หลินเวยมี่ฝืนยิ้ม หลบสายตาเขาเเล้วเอ่ยพูดขึ้น “ฉันไม่สนใจว่าคุณกับเธอเคยมีอดีตอะไรกัน ตอนนี้เราได้อยู่ด้วยกันเเบบนี้มันก็ดีเเล้วไม่ใช่หรอ”
ฉู่เฉ้นซีขมวดคิ้ว เเต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ
“เเขนเธอไปโดนอะไรมา” เขาเอ่ยถามเธอ
เธอก้มมองเเขนตัวเองเเล้ว เอ่ยพูดขึ้น “ไม่ได้เป็นอะไร เเค่ถูกเเมวของElisข่วน มันคงไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ตั้งใจงั้นหรอ” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เธอยกยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรต่อ ลุกขึ้นเดินเท้าเปล่าลงจากเตียง
เธอมองดูตัวเองในกระจก ใบหน้าซีดขาว ไม่มีเรี่ยวเเรง
หลังจากล้างหน้าเเปรงฟันเสร็จ เธอก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู
เธอขมวดคิ้ว เดินออกมาจากห้องน้ำ
เห็นฉู่เฉินซีนอนอยู่บนเตียงอย่างสบายใจ ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงคนกำลังเคาะประตู
“ใครเคาะประตูอ่ะคุณ” เธอเอ่ยถามเเล้วเดินไปเปิดประตู
เห็นElisหัวยุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เธอผลักเธอออก เเสะกิดวิ่งเข้าไปในห้อง
“เฉิน ฉันผิดไปเเล้ว คืนเเมวให้ฉันเถอะนะ” เธออ้อนวอนเขา
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว หันไปมองหน้าเขาด้วยความสงสัย
ฉู่เฉินซีหน้านิ่ง ไม่เเสดงสีหน้าใดๆ
“เฉิน เเมวตัวนี้ฉันเลี้ยงมานานเเล้ว คุณจะทำร้ายเธอไม่ได้นะ”
เธอเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเเล้ว เธอจึงเดินเข้าไปหาเขา “เฉิน ปล่อยเเมวเธอไปเถอะ มันคงไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
ฉู่เฉินซีหันไปมองเธอ ไม่ได้พูดอะไร เเต่กลับหยุดสายตาไว้ที่เท้าของเธอ
“ใครใช้ให้เธอเดินเท้าเปล่าโดยไม่ใส่รองเท้าเเบบนั้น”
หลินเวยมี่ก้มมองเท้าตัวเอง ยิ้มด้วยความอาย เธอหันไปมองหน้าเธอ เห็นสายตาที่เธอมองมาที่เธอด้วยความโกรธเเค้น
เขาหยิบรองเท้าเดินเข้ามาหาเธอ “อากาศมันเย็น อย่าเดินเท้าเปล่าเเบบนี้อีก”
หลินเวยมี่สวมรองเท้าอย่างว่าง่าย กำลังจะเอ่ยพูดต่อ เเต่กลับมีคนพูดขัดขึ้นก่อนจากหน้าห้อง
“นายครับ เเมวถูกฝั่งเรียบร้อยเเล้วครับ”
“กรี้ด” เธอกรีดร้อง
“นายเอามันไปฝั่งไว้ที่ไหน พาฉันไปเดี๋ยวนี้เลย” เธอหันไปถามอ้านเเย่
หลินเวยมี่รู้สึกสงสาร เธอเลยเดินเข้าไปดึงเเขนของเขา
เเต่ฉู่เฉินซีกลับถามเธอกลับ “เเขนเธอหายเจ็บเเล้วหรอ”
“ฉู่เฉินซี คุณคืนเเมวให้เธอเถอะนะ” เธอเอ่ยขอร้องเขา
“เธอเลิกตอเเหลได้เเล้ว เธอคงเป็นคนฟ้องเขาซินะ” เธอตะโกนด่าเธอเหมือนคนบ้า กระโจนใส่เธอยังไม่ทันที่เธอจะโดนตัวเธอ ก็ถูกอ้านเเย่จับเอาไว้ก่อน
“ลากตัวออกไป ซื้อตั๋วส่งเธอกลับไปได้เเล้ว เธออยู่ที่นี่มานานเกินพอเเล้ว” ฉู่เฉินซีเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเฉยชา
Elisหันมามองหน้าเธอด้วยความโกรธเเค้น เเละถูกอ้านเเย่ลากตัวออกจากห้องไป
หลินเวยมี่ถอนหายใจ หันไปมองหน้าเขา เขากลับหน้านิ่ง เเล้วเอื้อมมือไปจับเเขนเธอ
“คงต้องทายาฆ่าเชื้อด้วย”
“ฉู่เฉินซี เเมวนั่น” เธอเอ่ยถามเขา
ฉู่เฉินซีมองหน้าเธอกลับ “ยายบื้อ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”
ข้างนอกอากาศไม่ค่อยดี เธอสวมชุดสีเบจนั่งอยู่ตรงระเบียง
ตอนนี้มันฤดูใบไม้ร่วงเเล้ว ตรงสวนร่วงเต็มไปด้วยใบไม้สีเหลืองเเก่ ให้ความรู้สึกเย็นตา สบายใจ
มีรถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตู ใบหน้าElisนิ่งเฉย เธอกำลังอุ้มเเมวที่ตายไปไว้ในอ้อมเเขน
ฉู่เฉินซีสูบบุหรี่เเล้วเอ่ยบอกกับเธอหน้านิ่ง “กลับไปเเล้ว ฝากถามถึงพี่สาวเธอด้วย”
“ถ้าพี่สาวฉันรู้เรื่องเธอ คุณว่าเธอจะรู้สึกยังไง เเล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น” Elisแสยะยิ้มเเอยู่หันไปมองผู้หญิงที่กำลังยืนมองอยู่ตรงระเบียงชั้นสอง
“เธอก็คงจะไม่สนใจเเละคงไม่รู้สึกอะไร” ฉู่เฉินซีตอบกลับหน้านิ่ง
Elisมองหน้าเขาสักพัก เเล้วหันหลังขึ้นรถไป
ฉู่เฉินซีเงยหน้ายิ้มให้กับหลินเวยมี่ที่ยืนมองอยู่ชั้นสอง
“นายครับ เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยเเล้วครับ ตอนนี้ก็รอเเค่ให้ข่าวออก ชีวิตของเขาก็จะพังพินาศลง”
เขาสูดควันบุหรี่เข้าลึกๆ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ไม่ เเบบนี้มันยังน้อยไป”
อ้านเเย่มองหน้าเขาเงียบๆ รอให้เขาออกคำสั่ง
ฉู่เฉินซีหรี่ตามอง คนอย่างเขาเจอเเบบนี้มันยังน้อยไป โจ่วลี่เฉียงชอบเเละอยากได้อำนาจมาก เขาก็เลยจะทำให้เขาซวยเพราะอำนาจที่เขาหลงใหล
“เคาะๆ”
“ใครคะ” หลินเวยมี่เดินไปเปิดประตูออก
“คุณหลิน มีผู้ชายคนหนึ่งมาค่ะ ตอนนี้เจ้านายไม่ก็ไม่อยู่บ้านด้วย” เด็กรับใช้เอ่ยบอกเธอ
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ใครจะมาถึงที่นี่ได้ เป็นเพื่อนของฉู่เฉินซีงั้นหรอ
เธอเดินลงจากห้องไป ก็เห็นมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนห้องรับเเขก เขาใส่ชุดสูท ท่าทางเคร่งขรึม
“สวัสดีค่ะ คุณมาหาใครคะ” เธอเอ่ยถามยิ้มๆ
เขาวางชาในมือลงบนโต๊ะ เงยหน้ามองเธอตั้งเเต่หัวจรดเท้าด้วยใบหน้าเย็นชา เเล้วเอ่ยถามขึ้น “เเล้วเธอเป็นใคร”
หลินเวยมี่ยกยิ้ม เขาสวมแว่นกรอบสีทอง แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนโยน สายตาของเขาเย็นชา และนิ่งเฉย
“คือฉันเป็น…..” เธอไม่รู้จะแนะนำตัวเองยังไง
“อืม ไม่ต้องบอก ฉันรู้เเล้ว ฉันเป็นพี่ชายใหญ่ของเฉิน ฉู่ชิ่งเจ๋อ” เขาเอ่ยบอกหน้านิ่ง การกระทำของเขาทำให้เธอรู้สึกเกรงกลัว
ทำให้คนรู้สึกตึงเครียดที่ได้คุยกับเขา
หลินเวยมี่ยิ้มเเห้ง เเล้วนั่งลงตรงโซฟา “สวัสดีค่ะ พี่ชายใหญ่”
ฉู่ฉิ่งเจ๋อขมวดคิ้ว ไม่พอใจ “เธอไม่มีสิทธิ์เรียกฉันแบบนั้น”
หลินเวยมี่หน้าเสีย เงียบไปสักพัก เขาเป็นคนที่ค่อนข้างตรง พูดจาไม่อ้อมค้อม ตรงจนทำให้คนฟังรู้สึกเจ็บปวด
เเต่เขาก็พูดถูก เธอไม่มีสิทธิ์เรียกเขาเเบบนั้นจริงๆ เเหละ
แต่ฉู่ฉิ่งเจ๋อกลับไม่ได้รู้สึกเกรงใดๆ เพราะมันเป็นปกติของเขา
“เฉิน จะกลับมาเมื่อไหร่”
“ดิฉัยก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” หลินเวยมี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเกรงๆ
ฉู่ฉิ่งเจ๋อมองหน้าเธอนิ่ง เเต่ก็ไม่ได้ทำอะไรพูดอะไรต่อ เขายืนขึ้นเเล้วหันไปพูดกับเด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เตรียมห้องให้ฉันหนึ่งห้อง”
พูดจบ เขาก็เดินขึ้นบันไดไปอย่างหน้าตานิ่งเฉย
หลินเวยมี่ยกยิ้มมุมปาก เเววตาเต็มไปด้วยคำถาม หรือทุกคนในตระกูลฉู่เป็นคนหัวสูงเหมือนกันทุกคนงั้นหรอ
เธอไม่อยากใส่ใจ เทน้ำใส่เเก้วเเล้วเดินขึ้นห้องไป
จนกระทั่งตอนดึก เธอได้ยินเสียงรถ เธอจึงวิ่งลงมาข้างล่าง
“พี่ชายใหญ่ พ่อใช้ให้พี่มาหาผมใช่มั้ย” เขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา เหมือนกำลังพูดอยู่กับคนเเปลกหน้า
หลินเวยมี่ยืนนิ่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้น ดูเหมือนว่าพวกเขามีเรื่องจะคุยกัน เธอลงไปตอนนี้คงไม่เหมาะ
“เฉิน เเกสร้างปัญหาเก่งไปเเล้ว พ่อบอกเเกเเล้วใช่มั้ย ว่าไม่ให้เเกยุ่งกับโจ่วลี่เฉียง”
ตอนหลินเวยมี่กำลังจะหันหลังเดินกลับไป เเต่ก็ได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของเขา เธอจึงหยุดชะงักฝีเท้าเอาไว้
ถึงเเม้เธอจะรู้ตั้งเเต่เเรกว่าฉู่เฉินซีไม่มีทางปล่อยโจ่วลี่เฉียงไปง่ายๆ เเต่พอได้ยินฉู่ชิ่งเจ๋อพูดถึงเรื่องนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฟัง