บทที่ 143 อยากเจอเธอ ก็เลยมาหา
ฉู่หรานตบหน้าอกอย่างขวัญเสีย สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวขีดสุด
“เกิดอะไรขึ้น?” ตรงกันข้ามกับท่าทางหวาดกลัวของฉู่หราน ฉู่เฉินซีมีท่าทีใจเย็นมากอย่างชัดเจน กระทั่งสีหน้ายังไม่เห็นแม้แต่ครึ่งหนึ่งของความห่วงใย
ฉู่หรานมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา แววตางุนงง จึงพูดออกไปด้วยเสียงครึ่งๆ กลางๆ “พวกเราออกไปช้อปปิ้ง ตอนที่กำลังเดินบนถนน รถคันหนึ่งก็มาจอดอยู่ตรงหน้าพวกเรา จากนั้นมันก็ดึงอานหยานเข้าไปในรถแล้วขับออกไป”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ ดวงตาของเธอก็ฉายแววไม่น่าเชื่ออยู่แวบหนึ่ง แล้วพูดยาวยืดว่า “แต่ฉันเหมือนเห็นคนคุ้นเคยคนหนึ่ง”
ฉู่หรานพูดจาไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ เมื่อเห็นว่าฉู่เฉินซีไม่ถามต่อ ตนเองถึงพูดขึ้นช้าๆ “ฉันเห็นคนคนนั้นเหมือนเป็นพ่อบ้านหลี่”
ฉู่เฉินซีใบหน้าเรียบนิ่ง เขาเม้มปากก่อนจะเอ่ยปากขึ้น ”พรุ่งนี้จะกลับไปดู” เมื่อพูดจบเขาก็เดินขึ้นไปชั้นบน ราวกับไม่สนใจความเป็นความตายของอานหยาน
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจกับท่าทางแบบนี้ของเขา อย่างไรอานหยานก็เป็นคนรักของเขา ทำไมไม่เป็นห่วงเป็นใยเลยเหรอ?
เธอรีบตามขึ้นไปชั้นบน แล้วดึงแขนเขาไว้
“ฉู่เฉินซี อานหยานถูกลักพาตัวไป นายยังมีกะจิตกะใจนอนอีกเหรอ?”
ฉู่เฉินซีหันมามองด้วยใบหน้านิ่งเฉย แล้วมองเธอด้วยแววขบขันเล็กน้อย “งั้นเธอว่าฉันควรทำยังไงดี? ”
“อย่างน้อยควรออกไปตามหาเธอสิ?”
“เธอห่วงตัวเองก่อนเถอะ” เขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอจากชั้นบน หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูด เธอมีอะไรต้องห่วง?
“แม่คะ พ่อบ้านหลี่ที่แม่พูดเป็นใครเหรอคะ?” หลินซินหยานถามขึ้นอย่างงุนงง
ฉู่หรานสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดออกมา” เป็นพ่อบ้านของตระกูลฉู่ฉี่ ต้องเป็นคำสั่งของคุณพ่อให้พาอานหยานไปแน่ๆ ”
หลินเวยมี่รับฟังเงียบๆ สายตาชำเลืองมองประตูห้องของฉู่เฉินซีที่ปิดสนิท ที่แท้ก็เป็นคนของตระกูลฉู่ที่จับตัวอานหยานไป แต่ทำไมต้องจับอานหยานไปกัน?
ทุกคนร้อนใจกันหมด แต่ฉู่เฉินซีกลับไม่เป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย แล้วเธอจะเป็นห่วงเพื่ออะไร?
ในช่วงเช้าตรู่ หลินเวยมี่ออกจากบ้าน แล้วมองรถที่จอดอยู่หน้าประตูบ้านนิ่งๆ เธอชะงักไปเล็กน้อย ทั่วทั้งหัวใจเจ็บราวกับถูกบีบแน่น
ผ่านไปเดือนกว่าแล้วที่ไม่เจอกู้จุนเฟิง ไม่คิดเลยว่าเขาจะมา
“เสี่ยวจื๋อ ใช่คุณรึเปล่า?” เธอเอ่ยถามขึ้นพร้อมเคาะๆ กระจกรถไปด้วย
กระจกลดลง เผยใบหน้าของกู้จุนเฟิง แล้วมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำ มุมปากยกขึ้นน้อยๆ “ขึ้นรถ”
หลินเวยมี่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะขึ้นไปบนรถ ในรถเต็มไปด้วยกลิ่นหอมมะนาว ให้ความรู้สึกสดชื่นมาก
“คุณมาเมื่อไหร่?” ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย เขารออยู่ที่นี่นานรึเปล่า?
นัยน์ลึกล้ำของกู้จุนเฟิงลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง เขาเอยขึ้นเบาๆ “มาถึงเมื่อคืนวาน”
เธอมองกู้จุนเฟิงอย่างฉงนใจ แววตาระยิบระยับไปด้วยความรู้สึกพิเศษอย่างหนึ่ง เธอเอ่ยถามเสียงเบาๆ “มาหาฉันมีอะไรเหรอ? ”
จากนั้นก็เงียบสงัดก็ปกคลุมไปทั่วทั้งรถ หลังจากเงียบอยู่เนิ่นนานถึงมีเสียงพูดดังขึ้น “อยากเจอเธอ ก็เลยมาหา”
หลินเวยมี่ไม่ตอบกลับไปนาน เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย เธอกลับไม่รู้ว่าควรพูดต่อคำพูดของเขาอย่างไรดี
“เธออยากไปที่ไหน? ให้ฉันไปส่งเธอไหม? ” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นอย่างขำๆ ราวกับพยายามผ่อนคลายบรรยากาศแสนอึดอัดเมื่อครู่
เธอบอกสถานที่ไป ครั้งนี้กลับเป็นกู้จุนเฟิงที่แปลกใจขึ้นมา เขาอดถามออกไปไม่ได้ “เธอทำงานแล้ว?”
เธอเผยรอยยิ้มขมขื่น แล้วพยักหน้ารับ “อือ เริ่มทำเมื่อวานน่ะ”
แล้วก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ไม่มีใครพูดอะไร ภายในห้องโดยสารเงียบสงัด บรรยากาศเริ่มกระอักกระอ่วนขึ้นมา
หลินเวยมี่หันหน้าออกไปอีกด้าน มองวิวด้านนอกเงียบๆ หัวใจรู้สึกว้าวุ่นไปหมด
“ฉันได้อ่านหนังสือพิมพ์ในช่วงนี้ เธอกับเสี่ยวช๋วน….”
“พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉันบอกกับเขาชัดเจนแล้ว หนังสือพิมพ์อะไรเถือกนั้นนายยังไม่รู้จักมันอีกเหรอ? เขียนใส่สีตีไข่มั่วไปหมด” เธอพูดออกมาอย่างสบายๆ ราวกับไม่ยี่หระ
กู้จุนเฟิงก็ไม่ถามอะไรอีก สายตากลับดูไม่เป็นธรรมชาติ หนังสือพิมพ์น่าจะพาดหัวข่าวที่ชวนคุกเข่าขอเธอแต่งงาน แม้ว่าภาพจะเบลอมาก แต่ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
แค่รูปเดียวก็ทำให้เขารู้สึกอิจฉาแทบทนไม่ไหว เขาไม่กล้าจินตนาการ ถ้าหลินเวยมี่ต้องแต่งงานกับใครขึ้นมาจริงๆ เขาจะทำยังไง? ถึงจุดนี้ เขาก็เข้าใจขึ้นมาแล้ว ความรักไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในหัวใจ
“แม่หนู แล้วเธอวางแผนทำยังไง?”
“ไม่ได้วางแผนอะไร ก็เรื่อยๆ” สีหน้าเธอฉายแววห่อเหี่ยว ราวกับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรชั่วครั้งชั่วคราว ไม่รู้จุดยืนของตนเอง ไม่มีกระทั่งความคิดด้วยซ้ำไป
“แล้วเธอกับฉู่เฉินซี…ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?” เขาถามอย่างลำบากใจ ยามที่พูดชื่อฉู่เฉินซีสามคำนี้ในใจก็รู้สึกขมขื่น
หลินเวยมี่ตากระตุกไป แล้วเอยอย่างไม่เต็มปาก “ไม่ยังไงหรอก เขามีคู่ควงคนใหม่แล้วล่ะ”
“เขาไม่มาวุ่นวายกับเธอก็ดีแล้ว ฉันกลัวแค่ว่าเขาจะหลอกใช้เธอ” กู้จุนเฟิงถอนหายใจออกมา แล้วพูดต่อ “แม่หนู ตอนแรกฉันกะจะใช้อุบายนิดหน่อยโดยการส่งเธอไปอยู่ข้างกายเขา แต่ต่อมาฉันก็พบว่า เขาเล่นด้วยยากมาก อย่างน้อยเขาก็คิดไม่ซื่อกับเธอ”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว ฉู่เฉินซีมีเป้าหมายอะไรในตัวเธอ? แล้วเธอมีอะไรให้ฉู่เฉินซีเข้ามาพัวพันทุกวิถีทาง?
“ที่นายพูดหมายความว่ายังไง?”
กู้จุนเฟิงถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาตอบคำถามด้วยสายตาฝืนๆ “เรื่องนี้ยังไม่สะดวกพูดกับเธอ แต่ขอให้เธอจำไว้ อย่าเข้าไปสนิทชิดเชื้อกับเขาจะดีกว่า”
หลินเวยมี่ไร้คำพูด ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของกู้จุนเฟิง แล้วก็คิดไม่ออกด้วยว่าฉู้เฉินซีมีเป้าหมายอะไรกันแน่ หรือว่าคิดจะชิงจี้จากคอของเธอ? หัวคิ้วขมวดแถบเป็นปม เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
ณ ฟาร์มในประเทศฝรั่งเศส ฉู่เฉินซีสวมแว่นตากันอันใหญ่ลงจากรถ เดินเข้าไปในวิลล่าหรูหราสไตล์ยุโรปด้วยท่าทีเฉยชา ภายในวิลล่ามีบรรดาคนใช้กำลังทำความสะอาดอย่างขยันขันแข็ง
เขามาที่นี่ได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ทั้งไม่เห็นคนที่เขาอยากเจอ เลยหันกายเข้าวิลล่าไป เขาเปิดประตูเข้าห้องหนังสือ เดินก้าวเข้าไป ชายหนุ่มวัยกลางคนมีเส้นผมสีดอกเลานั่งบนเก้าอี้กำลังสูบซิการ์อยู่ เฉินเห้าหมิงยืนอยู่ข้างกายอย่างนอบน้อม มองมาทางฉู่เฉินซีด้วยแววตายิ้มๆ
เขาเดินเข้ามา แล้วนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามฉู่โม่เฉิง ก่อนจะเรียกด้วยเสียงนิ่ง “พ่อ”
ฉู่โม่เฉิงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น สีหน้าไร้อารมณ์ ทั่วทั้งกายแผ่รังสีอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ออกมา
“กลับมาแล้วเหรอ?”
ฉู่เฉินซีกลับหัวเราะไร้เสียง แล้วหรี่ตามองเฉินเห้าหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ “พ่อ พ่อจับคนของผมงั้นเหรอ?”
เขาถามไปตรงๆ ไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย แล้วหยิบซิการ์ขึ้นมา แล้วจุดไฟ
“ได้ยินว่าแกปฏิบัติกับคนคนหนึ่งแตกต่างไป?” สองนัยน์ตาสีขุ่นของฉู่โม่เฉิงเผยประกายไฟ เฉินฉู่ซีมีสีหน้าเรียบนิ่ง เขาเคาะสะเก็ดไฟออก แล้วพูดอย่างขำๆ “พ่อ อย่าไปฟังคนนอกให้มากเลย ลูกของพ่อนั่งอยู่ตรงนี้นะ ผมก็แค่เล่นๆ กับผู้หญิงนั่นเฉยๆ ”
เมื่อเขาพูดออกมา เฉินเห้าหมิงมีสีหน้าซีดเผือดไปทันตา แววตาแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน ทว่าก็ปกปิดไว้อย่างรวดเร็ว
ฉู่โม่เฉิงเข้าใจสิ่งที่เข้าพูด ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เฉินซี ฉันเอ็นดูเห้าหมิงเสมือนลูกชายเสมอมา หลังจากนี้ห้ามพูดแบบนี้อีก!”
ฉู่เฉินซีหัวเราะเสียงเย็น สายตาฉายแววเย้ยหยัน
“พ่อ เมื่อไหร่จะปล่อยตัวคนของผม?”
“ฉันอยากจะรู้นักว่ายั่ยผู้หญิงคนนี้มันพิเศษยังไง ถึงทำให้แกทิ้งเมือง A ไปเสียเนิ่นนาน“ ฉู่โม่เฉิงพ่นควันซิการ์ออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่อยากปล่อยตัวอานหยาน
ฉู่เฉินซีมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ยกมือขึ้นนวดขมับ แล้วพูดต่อว่า “พ่อ ฉันรู้ตัวของฉันดี ไม่มีทางอ่อนไหวกับผู้หญิงหรอก
เขาพูดเช่นนี้ก็เหมือนกับรับปาก น้ำเสียงมั่นคง ไม่เหมือนคำโกหก
“แบบนี้ดีที่สุด แต่แกอย่าลืม พี่ใหญ่แล้วพี่รองของแกต่างจับจ้องตำแหน่งของแกอยู่ ในเวลาหนึ่งเดือน รีบจัดการดูแลเมืองAซะ แล้วกลับมา” ฉู่เฉิงโม่เอ่ยเสียงนิ่ง น้ำเสียงเด็ดขาด เห็นได้ชัดว่าออกคำสั่ง
เฉินฉู่ซีมีสีหน้ากล้ำกลืน มือที่คีบซิการ์เผลอออกแรง จนปลายนิ้วซีดขาว
“ออกไปซะ” ฉู่เฉินซีเผยสีหน้าเหนื่อยล้าเต็มแก่
ฉู่เฉินวีออกจากห้องหนังสือด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ลากมือไปตามโถงทางเดิน แววตาเย็นชา
จังหวะก้าวเดินที่ตามเขามา เฉินเห้าหมิงค่อยๆ เดินออกมา สีหน้าประดับนัยน์ตาหม่นแสง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ “รอผมเหรอ?”
“เฉินเป้าหมิง ตอนนี้แกพอใจรึยัง?” ฉู่เฉินซีเอ่ยถามเหยียดหยาม สายตาฉายแววเย้ยหยัน เยาะเย้ยในความไม่เจียมตนของเขา
เฉินเห้าหมิงใช้มือปัดตามมุมเสื้อผ้า สีหน้าผ่อนคลาย “คุณคาดเดาไว้แต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามันจะมีวันนี้? ทำไมต้องมีท่าทีรุนแรงขนาดนี้ด้วย? ”
เฉินฉู่ซีมีสีหน้ามืดครึ้ม เส้นเลือดหลังฝ่ามือปูดขึ้น จากนั้นเขาลากลำคอของเฉินเห้าหมิง ผลักเข้ากับกำแพง แล้วใช้มือบีบบนลำคอของเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ
“เฉินเห้าหมิง ฉันบอกแกไว้ก่อนนะ ครั้งนี้ฉันปล่อยแกไป แต่ถ้ามีครั้งหน้า ฉันก็ไม่แน่ใจว่าฉันจะทำอะไรลงไปบ้าง!”
เฉินเห้าหมิงเผยสีหน้าเย้ยหยัน เขาพูดอย่างเอื่อยๆ ว่า “งั้นคุณวางแผนอะไรล่ะ? โยนผมให้ปลาแทะกิน? อย่าลืมล่ะว่าผมเป็นใคร”
“อาใช่ ฉันจะลืมได้ยังไงว่าแกคือสุนัขรับใช้ของพ่อ” เฉินฉู่ซีพูดไปพลางคลายมือออก แล้วพูดต่ออย่างเย็นชาว่า “เป็นสุนัขก็ควรสังเกตสีหน้าเจ้านายเวลาทำงาน ไม่ควรพูดจาสอดแทรกเรื่องที่แกไม่เกี่ยวข้อง ระวังปากเสียบ้าง!”
แววตาของเฉินเห้าหมิงหม่นแสง แล้วจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยอย่างใจเย็น “เฉินฉู่ซี จริงอยู่ที่ผมอยากรู้ว่าผู้หญิงที่คุณท่านจับมาครั้งนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงทึกทักว่าเป็นผมล่ะ? ”
“เหอะ ก็แค่ผู้หญิงไม่สำคัญคนหนึ่งจะสนทำไม ถ้าแกชอบก็เอาไป”
“แต่ผมชอบยั่ยแสบนั้นมากกว่า แสบจริงๆ” สายตาของเขาจ้องทะลุเข้าไปที่ฉู่เฉินซี สีหน้าราวกับสนอกสนใจ
“เกรงว่าแกจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการนะ ตอนนี้แกก็สะบักสะบอมแล้ว กระทั่งชีวิตแทบรักษาไม่ได้” เฉินเห้าหมิงเมินคำกระแนะกระแหนของเขา ก่อนยืนขึ้นประจันหน้ากับฉู่เฉินซี เขาเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณคงปกป้องเธอไว้อย่างดีสิท่า จงใจหาตัวแทนมาเปลี่ยน ควรจะกลัวคุณท่านจัดการเธอหน่อยนะ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าที่แท้คุณชายฉู่ก็เป็นนักรักขนาดนี้
ฉู่เฉินซีม่านตาหดเล็กเป็นวงกลม แล้วพูดอย่างขบขัน “ทางที่ดีแกเอาคำพูดเมื่อกี้กลืนลงท้องไปดีกว่า ถ้าฉันรู้ว่าแกยังปากมากไม่เข้าเรื่องอีก จะทำให้แกได้ทุกข์ทรมานแน่! ”
เฉินเห้าหมิงจ้องมองเขาเงียบๆ รับรู้ว่าที่เขาพูดไม่ใช่คำลวง ในห้วงความคิดเผลอนึกถึงใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอันน่ารักของหลินเวยมี่ขึ้นมา เขาไม่มีทางเล่าเรื่องของหลินเวยมี่กับฉู่เฉินซีแน่ ไม่งั้นก็หมดสนุกน่ะสิ