บทที่158 ฉันคิดว่าเธอชินกับความเจ้าเล่ห์ของฉันเเล้วซะอีก
ฉู่เฉินซีไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูด เขายกยิ้มมุมปาก เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “พี่ชายใหญ่ เขาเป็นคนล้ำเส้นที่ผมขีดไว้ก่อนเอง”
ฉู่ฉิ่งเจ๋อเงยหน้ามองก็สบตาเข้ากับหลินเวยมี่ที่กำลังยืนฟังอยู่ตรงบันได เขามองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
หลินเวยมี่ตกใจที่ถูกเขามองมา ทำให้เธอรู้สึกกลัว ทำอะไรไม่ถูก
ฉู่ฉินซีเองก็รู้สึกได้ จึงเงยหน้ามองตามพี่ชายเขา “เวยมี่ ขึ้นไปอยู่บนห้องก่อน” เขาเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ฉู่ชิ่งเจ๋อยกยิ้มมุมปาก เเล้วเอ่ยพูดขึ้น “ไหนๆ ก็เป็นคนในเเล้ว ทำไมไม่ลงมานั่งด้วยกันก่อนล่ะ”
คำพูดของเขาทำให้ฉู่เฉินซีนิ่งไปสักพัก “เราสองคนคุยกัน ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยก็ไม่ดีเท่าไหร่”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว มองหน้าฉู่เฉินซี ใบหน้าของเขานิ่งสนิท เดาใจเขาไม่ออก
“พวกคุณเชิญคุยกันตามสบายเลยค่ะ ฉันขอตัวก่อน”
พูดจบเธอก็เดินกลับห้องไป เธอรีบปิดประตูลง หัวใจเต้นสะกิดรง ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกันอยู่
เเต่มีอยู่เรื่องหนึ่งเขาคงไม่อยากให้เธอพูดคุยกับพี่ชายของเขาฉู่เฉินซีก็เลยพูดเเบบนั้นออกไป
เธอนั่งถอนหายใจอยู่บนเตียง ตอนนี้เธอพอจะรู้จักผู้ชายขึ้นมาบ้างเเล้ว รู้ว่าสีหน้าท่าทางเเต่ละอย่างมันหมายความว่ายังไง
นี่มันเป็นเรื่องดีรึเปล่าเนี่ย
ฉู่ชิ่งเจ๋อยังคงจ้องมองจุดที่หลินเวยมี่ยืนตาไม่กะพริบ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“พี่ชายใหญ่ ไม่รู้ว่าที่มาครั้งนี้นอกจากเรื่องนี้เเล้วมีเรื่องอะไรอีกรึเปล่า” ฉู่เฉินซีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แล้วเป่าควันบุหรี่ออกมา
ฉู่ฉิ่งเจ๋อตอบกลับด้วยใบหน้านิ่งเฉย “ไม่มีอะไร เเค่ให้ฉันมาบอกเเกไม่ให้ยุ่งกับโจ่วลี่เฉียง บอกให้เเกรีบกลับไปได้เเล้ว เออใช่ เวลาหนึ่งเดือนที่พ่อให้เเกคงใกล้จะหมดเเล้วซินะ”
ฉู่เฉินซีหรี่ตามอง รอบๆ เต็มไปด้วยควัน ทำให้เขาให้ความรู้สึกลึกลับเป็นพิเศษ
ฉู่เฉินซีถอนหายใจ หนึ่งเดือนผ่านไปเร็วมาก เขากลับรู้สึกยังไม่อยากจากเธอไปไหน
ตกดึก เธอกำลังนอนอย่างสบาย เเต่เธอรู้สึกเหมือนมีคนมาสะกิดเรียกเธอ เธอลืมตาขึ้นก็สบตาเข้ากับฉู่เฉินซี
“เวยมี่ ตื่นเร็ว” เขาลากให้เธอลุกขึ้น เเล้วยื่นเสื้อกันหนาวให้เธอ
“ทำไม” เธอหลับตาลงเเล้วเอ่ยถามเขา
ฉู่เฉินซีก้มลงไปจูบหน้าผากของเธอ “เราออกไปเที่ยวกันเถอะ”
หลินเวยมี่ยังคงง่วงอยู่ เธอสะลึมสะลือไม่ได้สติ
ฉู่เฉินซีเอื้อมมือไปสวมเสื้อกันหนาวเเล้วจดกระดุมเรียบร้อยให้เธอ เเล้วอุ้มเธอลงจากห้อง
จนกระทั่งออกมาถึงข้างนอก เธอถูกลมหนาวที่พัดมาปลุกให้ตื่น ตอนเธอได้สติก็พบว่าตัวเองอยู่บนรถเรียบร้อยเเล้ว
“เราจะไปไหนกันหรอ” หลินเวยมี่เอ่ยถามด้วยความสงสัย ดึกขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นใช่มั้ย เขาถึงดูรีบร้อนขนาดนี้ พอคิดได้ดังนี้เธอก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา
ฉู่เฉินซียกยิ้มขึ้น “ไปในที่ที่สวยๆ”
“เเล้วทำไมต้องไปตอนดึกขนาดนี้ด้วยล่ะ”
“เพราะตอนดึกมันจะยิ่งสวย”
หลินเวยมี่ตกใจอึ้ง เธอไม่ชินกับการกระทำเเบบนี้ของเขา ปกติเขาไม่เคยพาเธอออกมาตอนดึกๆ วันนี้พาเธอออกมาเเค่เพียงเพราะอากาศดีเเค่นั้นหรอ
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเเค่ไหน จนกระทั่งรถหยุดจอด เขาจูงมือเธอเดินลงจากรถ เธอเพิ่งรู้ว่าเธอมาถึงท่าเรือเเห่งหนึ่ง
“เราจะไปไหนกันเเน่”
ฉู่เฉินซีไม่ตอบเธอ เเต่จูงเธอเดินขึ้นเรือลำหนึ่งไป
หลินเวยมี่พูดไม่ออกตอนเห็นบรรยากาศข้างในเรือใหญ่ แสงไฟในเรือสว่างมาก ทำให้เห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
“มีที่ที่หนึ่งสวยมาก” เขาพูดยิ้มๆ เเล้วเดินเข้าไปในห้องคนขับเรือ
หลินเวยมี่ยืนมองเขาอยู่ข้างๆ เขาขับเรือได้อย่างชำนาญ
“เมื่อก่อนตอนฉันอารมณ์ไม่ดีฉันชอบมาที่นี่คนเดียว” ฉู่เฉินซีเอ่ยบอกเธอด้วยใบหน้ายิ้มเเย้ม
“ทำไมถึงรู้สึกอารมณ์ไม่ดีล่ะ” หลินเวยมี่เอ่ยถามเขาด้วยความอยากรู้ เธออยากรู้จักเขามากขึ้น
ฉู่เฉินซียกยิ้มมุมปาก “ก็เพราะว่าทุกๆ วันต้องเจอคนมากมาย ต้องคอยเดาว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ ต้องคอยคิดว่าจะทำยังไงเพื่อให้ธุรกิจใหญ่โต ใช้ชีวิตที่เต้มไปด้วยความกดดันมากมายนานๆ ก็จะรู้สึกเครียดก็เลยต้องออกมาเดินคลายเครียดบ้าง”
หลินเวยมี่เงยหน้ามองเขา ใบหน้าของเขานิ่งสนิท มันเป็นครั้งเเรกที่เธอรู้สึกว่าเขาก็เป็นเเค่คนธรรมดาเหมือนคนอื่นๆ เพราะที่ผ่านมาเธอคิดว่าเขาเป็นปีศาจที่ทำทุกอย่างได้โดยไม่มีความรู้สึกอะไร
ที่เเท้เขาก็รู้จักเหนื่อย ชีวิตที่ผ่านมากว่าเขาจะมีทุกวันนี้มันคงไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกคนเห็นเพียงมุมที่เขาประสบความสำเร็จ ไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องพยายามมากเเค่ไหนกว่าจะประสบความสำเร็จ
เเค่ต่อกรกับพี่ชายใหญ่ของเขาเเค่คนเดียว เขาก็คงจะรู้สึกเหนื่อยมากเเล้ว เเต่ยังต้องต่อสู้กับคนอีกมากมาย ทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง จะทำพลาดไม่ได้
“ทำไม เห็นใจฉันละซิ” ฉู่เฉินซียกยิ้มมุมปาก
“ใช้ชีวิตที่มันเรียบง่ายกว่านี้หน่อยไม่ได้หรอ” เธอถอนหายใจ ถามด้วยความสงสัย ถ้าเกิดว่าใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ก็คงจะไม่เหนื่อยขนาดนี้หรอกใช่มั้ย
“มีเธออยู่ ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากเเล้ว” เขายกยิ้ม เขาหยุดเรือเเล้วเดินจูงเธอออกไปข้างนอก
นอกเรือลมแรงมาก เธอดึงกระชับเสื้อเข้าหากัน
ข้างนอกลมเเรงมาก ฉู่เฉินซีใส่เเค่เพียงเสื้อเชิ้ตตัวเดียว ลมพัดผ่านมาทำให้ทั้งคู่ตัวสั่น
เขาเอื้อมมือไปดึงเธอเข้ามากอด แล้วมองออกไปรอบๆ
ในน้ำสว่างมาก มีบางอย่างกำลังส่องประกายเเสงอยู่ในน้ำ เหมือนดวงดาวกำลังส่องเเสงประกายอยู่ในน้ำ
เธอมองดูด้วยความอึ้งอยู่เงียบๆ บรรยากาศสวยมาก จนเธอคาดคิดไม่ถึง
“อะไรอยู่ในน้ำหรอ” เธอเอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าสงสัย
“เป็นเเมงกระพรุนที่สามารถส่องเเสงในน้ำได้”
หลินเวยมี่มองไปรอบๆ ด้วยใบหน้ายิ้มเเย้มมีความสุข เธอหันหลังกลับไปมองหน้าเขา
เขากำลังยืนมองเธออย่างเงียบๆ
“ที่นี่สวยมากจริงๆ” เธอเอื้อมมือไปกอดเอวเขาไว้ เเล้วเขย่งเท้ายื่นหน้าเข้าไปจูบเขา “ฉันชอบที่นี่จังเลย”
ฉู่เฉินซีดึงเธอเข้ามากอด เเล้วเอ่ยพูดขึ้น “เธอก็สวยมากเหมือนกัน”
หลินเวยมี่รู้สึกแปลกๆ เธอหดตัวขยับหนี แล้วยกมือดันอกเขาไว้ แล้วเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ฉู่เฉนซี คนเจ้าเล่ห์ นายคิดจะทำเรื่องไม่ดีเเบบนั้นอีกเเล้วใช่มั้ย”
“ฉันนึกว่าเธอจะชินเเล้วซะอีก”
ฉู่เฉินซีอุ้มเธอขึ้น เดินเข้าไปนั่งตรงไม้นั่ง
หลินเวยมี่นอดนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ฉู่เฉินซี คืนนี้ฉันมีความสุขจัง”
“เธอมีความสุขขนาดนี้ คงต้องให้รางวัลตอบเเทนฉันบ้างซิ” เขาล้วงมือเข้าไปในเสื้อของเธอ
“ไอ่บ้า มือคุณเย็น ฉันหนาว” ทั้งคู่ใกล้กันมากขึ้น เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนที่เเผ่มาจากร่างกายของเขา
“ยายเด็กดื้อ ถ้าเธอยังดินไม่หยุดละก็….” เขาเอ่ยเตือนเธอ
“คุณจะทำไม” เธอจงใจเอื้อมมือไปกอดคอเขา เเล้วยกยิ้มมุมปาก “คุณคิดจะทำเรื่องไม่ดีอย่าว่าใช่มั้ย”
ฉู่เฉินซียกยิ้มมุมปาก ก้มหน้าลงไปจูบเธอ ทั้งสองเริ่มหายใจติดขัด เธอเขินหน้าเเดง
ฉู่เฉินซีกำมือไว้แน่น “ยายบ้า เธอกำลังตั้งใจยั่วฉันหรอ”
หลินเวยมี่กะพริบตา ต่อว่าเขา “ฉันไม่ได้ยั่วคุณสักหน่อย คุณต่างหากที่ไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเอง”
“จะทำไงได้ ฉันมีอารมณ์ทุกครั้งที่เห็นเธอ” เขาเอ่ยบอกเธอหน้าตาเฉย
หลินเวยมี่รู้สึกได้ถึงไอร้อนในตัวเขา พูดขึ้นด้วยความอายหน้าเเดง “คงผู้ชายที่ไหนจะคิดเเต่เรื่องพรรคนั้นอยู่ตลอดเวลาเหมือนคุณหรอก”
“ไม่ ผู้ชายเหมือนกันทุกคน ฉันก็เเค่พูดออกมาตามตรงก็เเค่นั้น” เขาพูดยิ้มๆ
“ฉันเเตะตัวเธอไม่ได้ เเตะเธอเมื่อไหร่ฉันก็จะห้ามใจตัวเองไม่ได้ เธอเป็นเหมือนเม่นน้อยที่มีพิษ เเตะนิดเดียวก็จะทำให้ฉันหัวใจเต้นเเรง”
หลินเวยมี่เข้นหน้าเเดง หัวใจเต้นเเรง
“ฉู่เฉินซี คุณพูดเเบบนี้กับผู้หญิงมากี่คนเเล้วล่ะ”
ฉู่เฉินซีก้มหน้าไปจูบหน้าผากเธอ “ฉันไม่เคยพูดเเบบนี้กับใคร เธอเป็นผู้หญิงคนเเรกที่ฉันรู้สึกเเบบนี้ด้วย”
หลินเวยมี่มองหน้าเขานิ่ง เเล้วเอ่ยถามขึ้น “เเล้วเธอล่ะ เธอเป็นอะไรสำหรับคุณหรอ”
ฉู่เฉินซีนิ่งเงียบไปสักพัก สายตาเริ่มเปลี่ยนไปจากตอนเเรกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
หลินเวยมี่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ในเวลาเเบบนี้ธอพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องเเบบนี้ได้ยังไง เสียบรรยากาศหมด