บทที่162 ยายบื้อ ฉันก็คิดถึงเธอ
ในห้องเงียบสนิท หลินเวยมี่มองดูเขาทายาให้เธอด้วยความเงียบ ท่าทางของเขาทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ
“ฉู่เฉินซี คุณไม่ควรพาฉันออกมาแบบนี้” การที่พวกเขาออกมาด้วยกันแบบนี้ มันก็จะยิ่งทำให้ฉู่ชิ่งหยางได้ใจ และฐาลี่ก็อยู่ตรงนั้น เขาไม่สนใจความรู้สึกของเธอจริงๆหรอ ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็คบกันมาตั้งห้าปี
จากที่เห็นที่ห้องอาหารดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังดีอยู่
“จะให้นั่งมองเขารังแกเฉยๆ ฉันทำไม่ได้” ฉู่เฉินซี เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ถ้าคนที่รู้จักเขาที่จะรู้ว่าน้ำเสียงที่เขาไม่พอใจมาตั้งแต่ต้นแล้ว
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ถ้าไม่เป็นอะไรฉู่เฟยหยางก็คงไม่ลงทุนไปลักพาตัวเธอมาถึงที่นี่หรอก
“ไม่เป็นไรจริงๆ หรอ” เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล
ฉู่เฉินซีเงยหน้ามองเธอ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อืม แต่ตอนนี้เราต้องรีบไปจากที่นี่ก่อน”
หลินเวยมี่ตกใจ เอ่ยถามด้วยใบหน้างุนงง หรือว่าพวกฉู่ฉิ่งเจ๋อยังคิดที่จะเล่นงานพวกเขาอีกหรอ
พอคิดได้ดังนี้ เธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
ฉู่เฉินซี ก้มหน้ามองรอยแดงที่แขนเธอ “เวยมี่ ฉันขอโทษ สุดท้ายเธอก็เจ็บตัวเพราะฉันจนได้”
หลินเวยมี่ฉีกยิ้มกว้าง เหมือนไม่สนใจแผล “ที่จริง ฉันก็อยากเจอคุณอยู่พอดีเลย”
ฉู่เฉินซี ตาเป็นประกาย จ้องหน้าเธอ แล้วดึงเธอเข้าไปกอด ก้มจูบปากเธอ
“ยายบ๊อง ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน”
หลินเวยมี่ผลักเขาออก พูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “คุณมีเวลาคิดถึงฉันด้วยหรอ”
เขาคงเอาเวลาทั้งหมดไปสนใจห้องนอนของฐาลี่อยู่แน่ๆ
ฉู่เฉินซี ก้มมองเธอ ยื่นหน้าเข้าไปหอมหน้าผากเธอ แล้วเอ่ยถามขึ้น “เธอหึงฉันหรอ”
“ฉันไม่บอกคุณหรอก”
หลินเวยมี่เบือนหน้าหนี สักพักก็รับรู้ได้ถึงไอร้อนๆ ตรงลำคอของเธอ เขากำลังจูบลำคอของเธออยู่
“ยายบื้อ ฉันคิดถึงเธอแทบจะบ้าอยู่แล้ว” น้ำเสียงเขาแหบพร่า มือหนาเริ่มอยู่ไม่นิ่ง
เขาก้มจูบเธออีกครั้ง
หลินเวยมี่เอื้อมมือไปผลักเขาออก จ้องเธอด้วยสายตาแข็งทื่อ แล้วเอ่ยพูดขึ้น “ฉู่เฉินซี คุณหายไปมีความสุขมาทั้งเดือน คุณยังนึกถึงฉันเป็นอยู่อีกหรอ”
ฉู่เฉินซียกยิ้ม “ฉันไปมีความสุขกับใคร ตอนไหน”
หลินเวยมี่เอยถามด้วยใบหน้าจริงจัง “อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง คุณหมั้นกับฐาลี่แล้วไม่ใช่หรอ”
และอีกอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องอาหาร มันไม่น่าจะใช่เรื่องที่ปกติไม่ใช่หรอ
หลังจากที่เธอสบตาเข้ากับฉู่เฉินซี แววตาของเขายังปกติไม่รู้สึกผิดใดๆ แถมยังมีหน้ามายิ้มให้เธออีก
หลินเวยมี่รู้สึกไม่สบายใจ การที่เขาถูกจับได้แบบนี้ เขายังทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นหรอ
“เธอแคร์ฉันหรอ” เขายกยิ้มมุมปาก
หลินเวยมี่ไม่พอใจเล็กน้อย จึงเบือนหน้าหนี “ฉันเปล่า คุณคิดมากไปแล้ว”
“โกหก” เขายื่นหน้าเข้าไปหายใจรดหูของเธอ “ยังคิดมากเหมือนเดิมเลยนะ”
“ฉู่เฉินซี ฉันกำลังพูดเรื่องจริงจังกับคุณอยู่นะ” หลินเวยมี่ยกมือไปดันแผงอกของเธอด้วยใบหน้าไม่พอใจ
“ฉันก็กำลังคุยกับเธออยู่เหมือนกัน” เขาเอื้อมมือไปจับเอวเธอเอาไว้
“คุณกำลังกวนฉันอยู่” เธอจ้องเขาตาโต
“ก็ได้ๆ เธออยากรู้เรื่องอะไรล่ะ ฐาลี่เป็นพี่สาวของElisอย่างที่เธอเข้าใจ และเธอเองก็รู้อยู่แล้วใช่มั้ย หรือเธออยากรู้เรื่องที่ฉันมีอะไร……”
ฉู่เฉินซี ตั้งใจไม่พูดออกมา เขามองหน้าเธอด้วยใบหน้ายิ้มๆ
หลินเวยมี่เหล่ตามองเขา แล้วตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “คงอยู่ด้วยกันแล้วสินะ”
“เวยมี่ ตอนนี้หน้าเธอแสดงออกถึงความหึงห่วงเป็นอย่างมาก” เขายกมือไปหยิกแก้มเธอ
หลินเวยมี่หน้านิ่ง หึงห่วงงั้นหรอ ถ้าเกิดเขาไม่บอกเธอ เธอเองก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองจะหวงเขาขนาดนี้ เธอกำลังอิจฉาฐาลี่อยู่งั้นหรอ
เธอตาสว่างเล็กน้อย เธอก้มหน้าลงด้วยแววตาหมดหวัง
“ทำไมทำหน้าหมดหวังแบบนั้นเลย ฉันชอบนะที่เธอหึงห่วงฉันแบบนี้” เขาเอื้อมมือไปกุมหน้าเธอ แล้วก้มลงไปจูบเธอ
หลินเวยมี่สับสน เธอแคร์ฉู่เฉินซีก็จริง แล้วเขาล่ะ รู้สึกยังไงกับเธอกันแน่
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเจอฐาลี่ ความรู้สึกเธอก็เปลี่ยนไปฐาลี่ทั้งสวยและดูเหมาะสมกับเขาทุกอย่าง
ความสัมพันธ์ และความจริงทุกอย่างก็วางอยู่ตรงนั้น เธอจะพูดอะไรได้อีก คนธรรมดาอย่างเธอจะไปสู้อะไรกับคนที่มีทุกอย่างอย่างฐาลี่ได้
“เวยมี่ เธอเชื่อฉันนะ” เขาเอ่ยกระซิบข้างหูเธอ “กลิ่นของเธออยู่ติดตรึงใจฉันตลอด และไม่มีผู้หญิงคนไหนมาแทนที่เธอได้”
หลินเวยมี่ตกใจอึ้ง เขาหมายความว่าระหว่างเขากับฐาลี่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ
“ที่จริง พวกคุณมีอะไรกันมันก็ไม่แปลก เพราะพวกคุณเป็นคู่หมั้นกันหนิ”
“ที่แท้สิ่งที่เธอให้ความสำคัญคือฐานะนั้นเองหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
เธอรีบปฏิเสธ “ฉันไม่ได้ต้องการคำสัญญาใดๆ หรือไม่ได้ต้องการให้คุณมารับผิดชอบฉัน”
เธอแค่เพียงอยากอยู่เคียงข้างเขา ถึงแม้ว่าเขาไม่มีทางขอเธอแต่งงานเลยก็ตาม
อยู่ๆ เธอก็รู้สึกสงสารตัวเอง ยอมรับว่าการรักใครสักคนต้องใช้ความกล้าอย่างมาก ไม่งั้นเธอก็คงไม่ยอมทำแบบนี้หรอก
ฉู่เฉินซีมองเขานิ่งๆ ที่เธอไม่อยากได้คำมั่นสัญญาเพราะเธอไม่อยากได้รับแรงกดดันจากเขางั้นหรอ
หรือเป็นเพราะเธอมีคนอื่น และกำลังจะไปจากเขา
เขารู้สึกหมดหวัง ไม่มีแรงอีกครั้ง
“ถ้าเกิดฉันอยากได้ฐานะนั้น คุณจะให้ฉันได้มั้ยล่ะ”
ฉู่เฉินซี ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่ได้”
หลินเวยมี่พยักหน้ารับรู้ “ฉันเข้าใจแล้ว”
ฉู่เฉินซี กำลังจะพูดอธิบายต่อ แต่ก็ถูกเสียงคนเคาะประตูขัดขึ้นก่อน
เขาอึ้ง ที่ห่างไกลแบบนี้ มีน้อยคนมากที่จะรู้จัก ถ้าไม่ใช่คนสนิท แล้วจะเป็นใครได้ล่ะ
เขารีบเดินเข้าไปส่องดูที่ตาแมว ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เขาขมวดคิ้ว
เขาลืมได้ยังไง ที่นี่เป็นฝรั่งเศส คงไม่มีใครที่พ่อเขาจะหาเขาไม่เจอ
“ผู้ช่วยหลี่”
“คุณชายสาม นายท่านอยากพบคุณครับ” เขาเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
ฉู่เฉินซี ยกยิ้มมุมปาก “ครับ ผมขอเวลาห้านาที”
เขาปิดประตูแล้วหันกลับไปมองหน้าเธอ แล้วเอ่ยพูดขึ้น “เวยมี่ เธอรอฉันอยู่ที่นี่ อย่าเปิดประตูให้ใครทั้งนั้น”
หลินเวยมี่พยักหน้าตกลง ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยถามอะไรเขา เขาก็เดินออกจากห้องไปแล้ว
แล้วสักพักก็มีคนเปิดประตูเข้ามา ผู้ชายสูงอายุคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู มองเธอด้วยสายตานิ่งเฉย
หลินเวยมี่ตกใจ ขมวดคิ้ว ก่อนเขาไปเขาบอกให้เธออย่าเปิดประตูให้ใคร แต่คนที่ยืนอยู่หน้าเธอตอนนี้ไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้เธอได้เปิดประตู
และหลังจากที่ฉู่เฉินซี ออกไปในไม่นานเขาก็โผล่มา แสดงว่าคนที่เรียกฉู่เฉินซีออกไปก็คงเป็นเขา และเขาทำแบบนี้แค่เพียงเพราะต้องการเจอเธองั้นหรอ
“คุณอยากเจอฉันหรอคะ”
เขาแก่เดินเข้ามาช้าๆ เธอปิดประตูลงแล้วเดินตามเขาเงียบๆ
“คุณคงจะเป็นคุณท่านพ่อของฉู่เฉินซีใช่มั้ยคะ”
“ตาถึงหนิ” เขาเอ่ยบอกเธอด้วยน้ำเสียงเรียบๆ จ้องหน้าเธออยู่พักใหญ่ แล้วเอ่ยพูดขึ้น “เหมือนจริงๆ เหมือนมาก”
“เหมือนใครหรอคะ” หลินเวยมี่เอ่ยถามด้วยความงง หรือว่าคนคนนี้จะรู้จักแม่ของเธอ
“ไม่แปลกที่เขาจะชอบเธอ” เขาถอนหายใจ “ตอนฉันเห็นอานหยานก็รู้สึกแปลกแล้ว พอฉันได้มาเจอเธอฉันก็ยิ่งตกใจไปใหญ่”
“คุณท่านรู้จักแม่ของหนูหรอคะ” หลินเวยมี่รวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถามเขาไปตรงๆ
“ใช่ แต่เธอไม่ควรจะเกิดมา”
หลินเวยมี่ตกใจกับคำพูดของเขา “ท่านหมายความว่ายังไงคะ ทำไมหนูถึงไม่ควรเกิดมา”
“ถูกอย่างมันถูกวางไว้แล้ว การที่เธอออกมาแบบนี้มันทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด” เขาเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เธอหายใจเข้าลึกๆ ในหัวเธอเต็มไปด้วยคำถาม ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่ายังไง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ
“คุณหมายความว่ายังไง พูดมาให้ชัดเจนเลยดีกว่าค่ะ” เธอเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
จู่ๆ ประตูก็ถูกผลักออกด้วยความแรง เฉินซีเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่พอใจ แล้วมาหยุดยืนบังอยู่ตรงหน้าหลินเวยมี่
“พ่อ ต้องการจะทำอะไรกันแน่”
“เฉิน เธอไม่น่ามาให้แกเห็นหน้า แกไม่น่าไปรู้จักเธอ” เขาเอ่ยบอกเขา
ฉู่เฉินซี พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เธอไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น และจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไรทั้งนั้น และผมก็จะไม่ปล่อยให้เธอรู้เรื่องพวกนั้นแน่นอน”
“ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน” พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป