บทที่165 อย่างทิ้งฉันไป
ท้องฟ้าที่ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งมืด เมฆที่มืดลงยิ่งทำให้ดูน่าหดหู่เป็นพิเศษ เสียงลมหายใจเย็นดังออกมาหญิงสาวที่ยื่นหนาวสั่นอยู่ข้างนอก เธอเงยหน้าขึ้นไปมองยังห้องที่อยู่บนชั้นสอง ห้องนอนของพวกเขายังคงสว่างอยู่
ใจรู้สึกไม่สบาย ความรู้สึกเหมือนจะสูญเสียมีมาไม่สิ้นสุดในก้นบึ้งของหัวใจ ตอนนั้นที่ฉู่เฉินซีมองเธอด้วยสายตาที่สิ้นหวังยังคงชัดเจน
สายฟ้าผ่าลงมาหลายครั้ง เธอเอาแต่จับรั้วข้างๆอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ละครั้งที่ฟ้าผ่าลงมาราวกับร่างกายสามารถปลิวออกไปได้
“ฉันต้องการพบฉู่เฉินซี ให้ฉันไปพบเขา” หลินเวยมี่ตะโกนเสียงดังมือเล็กจับไปยังรั้วอย่างแน่น ประตูใหญ่เปิดออก อ้านเย่ในชุดดำยื่นนิ่งอยู่หน้าประตู มองไปยังผู้หญิงที่อยู่นอกประตูอย่างนิ่งเรียบ ถอนหายใจก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้เธอ
“คุณหลินตอนนี้นายปล่อยคุณไปแล้ว คุณจากไปก็จบแล้วจะทำตัวไม่ชัดเจนแบบนี้ทำไม?”
หลินเวยมี่กัดปากเอาเป็นเอาตายดวงตาชื่นแฉะ “ฉันต้องการพบเขา”
“อย่าให้พูดเลย ตอนแรกเป็นคุณที่คิดเพียงแต่ต้องการหนีจากนายไม่ใช่หรือไง?ตอนนี้เป็นตามที่คุณต้องการแล้ว”
คำพูดของอ้านเย่ทำให้ใจของหลินเวยมี่เหมือนถูกตีลงในทันที ทั้งร่างกายรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ก่อนหน้านี้ในใจของเธออยากที่จะหนีเขาไปอย่างมาก แต่ตอนนี้เธอยังจะมีความกล้านั้นอยู่อีกไหม? ใจของเธอตกไปอยู่ที่ฉู่เฉินซีต้องนานแล้ว ถึงแม้จะจากไปได้แล้วจะเป็นไงได้?เธอก็คงเป็นเพียงร่างที่มีแต่เลือดเนื้อเดินได้เท่านั้น
สักกะนิดเธอก็ไม่ยอม ไม่ยอม
“ไม่ ฉันต้องการพบเขา นายเรียกเขามาพบฉัน!” มือใหญ่ของใบหน้าเล็กที่ดื้อรั้น สายตาจ้องไปที่ประตูหน้าต่างที่ล็อกอยู่บนชั้นสอง
“จำเป็นด้วยหรือไงกัน?”อ้านเย่ถอนหายใจและพูดต่อ “เพียงแค่ตอนนั้นที่เธอเลือกกู้จุนเฟิงอย่างแน่วแน่ ตอนนี้จะมาหานาย นายไม่มีทางจะสนใจคุณหรอกนะ”
“นายเรียกเขามา ฉันจะคุยกับเขา”หลินเวยมี่กัดปากพูดเสียงที่เหมือนจะร้องไห้
“คุณหลินพูดแล้วมันยากที่จะฟังหรือไง นายของพวกเราปฏิบัติต่อคุณพิเศษกว่าแต่ยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย รับไม่ได้กับคนที่กลับไปกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่าแบบคุณ” อ้านเย่พูดออกมาอย่างไม่สนใจใยดี
ใบหน้าที่แสดงออกมาอย่างอึดอัดใจ เธอเข้าใจสิ่งที่เขาพูด แต่ตอนนี้ให้พูดเรื่องพวกนี้มันจะใช้อะไรได้?เธออยากที่จะพบฉู่เฉินซี เธอต้องการที่จะพูดต่อหน้าฉู่เฉินซี ใจของเธอเอาแต่บอกเธอว่าตอนนี้ไปจากเขาไม่ได้แล้ว
“ฉันรู้ ฉันรู้ทุกอย่าง ฉันขอร้องนายล่ะนายเรียกเขามาหน่อย”ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขอร้องของหลินเวยมี่ คนที่หยิ่งแบบเธอตอนไหนกันที่จะขอร้องคนอื่น? เธอเพียงอยากที่จะอยู่ต่อแค่นั้นหรือว่าเพียงแค่นั้นยังไม่ให้โอกาสเธออีกหรือไง?
อ้านเย่ถอนหายใจแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้นก็รู้สึกถึงหยดน้ำที่ตกกระทบบนตาของเธอ เธอรีบเช็ดมันออกก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นหนึ่งครั้งพร้อมกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีดำ เธอยังคงยื่นนิ่งอยู่ที่หน้าประตูรู้สึกเพียงร่างกายหนาวไปหมด ไม่นานเสื้อผ้าก็เปียกไปหมดพร้อมอากาศที่หยาวเย็นเธอสั่นไม่หยุด
ตอนนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้วรอบ ๆมีแต่ลมหนาวที่เย็นเข้ากระดูก แถมในตอนนี้เธอยังยื่นตากฝน
ภายในห้องนอน ฉู่เฉินซียื่นพิงหน้าต่างนิ่งๆ ในมือถือไวน์แดงที่เหลือครึ่งขวดกระดกดื่มเข้าไปอย่างเร็ว ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยความหดหู่ สายตาไม่เคยมองห่างไปจากผู้หญิงที่อยู่นอกประตู
“นาย เธอไม่ยอมไป” อ้านเย่มองไปยังแผลอย่างยากลำบาก สัมผัสไปยังบาดแผลที่ไม่ได้พันผ้าพันแผล สายตาร้อนรน “นายแผลของนายต้องพันแผลซักหน่อย!”
“ออกไป” เสียงที่เย็นชาพูดออกมาอย่างเย็นชา
อ้านเย่รีบออกไป ขณะที่มือจับไปยังประตูเสียงที่เย็นชาก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“เอาร่มไปให้เธอด้วย”
ดวงตาที่ส่องประกายของอ้านเย่ พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้และรีบออกไป
สายตาของเขายังจ้องไปยังผู้หญิงที่อยู่ด้านนอก สายตาที่เฉยเมยก้มลงมองไปยังขวดไวน์แต่ยังไงก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดนี้ได้
ความรู้สึกที่ทรมานนี้ทำให้เขาไม่สามารถที่จะเพิกเฉยได้
ไม่นานนักเขาก็เห็นอ้านเย่นำร่มคันหนึ่งไปให้เธอ แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ถูกเธอปัดทิ้งไปข้างๆ เขารู้อยู่แล้วผู้หญิงที่ดื้อรั้นแบบนี้ไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็จะไม่หยุดพัก
สายตาเยาะเย้ย เสียงที่ดังของหน้าต่างที่ขยับทำให้ทุกสายตาหันมามอง คนที่นั่งอยู่ข้างเตียงอย่างเหี่ยวเฉา หูก็ฟังเสียงฝนที่ตกอย่างแรง ในใจก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมา
ใจที่ไม่สงบไม่หยุดที่จะทรมานเขา
อยากที่จะรู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรแล้วบ้างแต่ก็คุมตัวเองไม่ให้ไปสนไม่ให้หันไปมองไม่ได้
ดื่มไวน์เข้าไปอย่างหนัก ใช่หรือไม่ที่ดื่มจนเมาแล้วจะลืมทุกอย่าง?
แต่ทำไมยิ่งดื่มมากเท่าไรความคิดก็ยิ่งชัดเจน? ร่างนั้นก็ยิ่งเห็นชัด?
เขาคงรักเธอมากไปแล้ว ดังนั้นเธอถึงกล้าที่จะทำร้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เธอรู้ว่าเขาจะไปหากู้
จุนเฟิง ดังนั้นจึงไม่สนอะไรวิ่งไปติดกับดักเขาเพียงเพื่อส่งข้อความให้กู้จุนเฟิง เขาและกู้จุนเฟิงสองคนต่างบาดเจ็บแต่เธอกลับยื่นอยู่หน้ากู้จุนเฟิงและถามเขากลับ
เขาในใจของหลินเวยมี่คงเป็นเพียงแค่ของตายใช่ไหม? เป็นเพียงปีศาจที่ไม่สามารถบาดเจ็บได้ดังนั้นเธอถึงกล้าที่จะทำร้ายเขา?
เทพเจ้าต่างรู้ ตอนที่เธอปกป้องผู้ชายอีกคนเธอจึงต่อต้านเขา ใจที่เจ็บปวดแสบร้อนแบบนั้นมีใครเข้าใจบ้าง?
ขวดที่ว่างเปล่ากระเด็นไปอีกฝั่ง เสียงฝนที่ตกลงมาด้านนอกก็เหมือนกับความทรมานในใจของเขาเพียงเท่านั้น ทั่วทั้งร่างกายกระสับกระส่าย ใจที่ไม่สามารถที่จะปล่อยวางได้
หยิบไวน์แดงอีกขวดขึ้นมาดื่มอย่างหนัก ไวน์แดงหยดลงมาที่คางไหลลงไปยังเสื้อเชิ้ตของเขาจนชื่นเป็นรอยใหญ่แต่เขากลับเหมือนไม่รู้อย่างนั้น เลือดกลายเป็นก้อนขึ้นมาแต่ใจก็ยังคงตกตะลึง
ประตูที่ถูกเคาะเปิดออกมา อ้านเย่มองดูฉู่เฉินซีที่ดูอ่อนล้า คำพูดที่จะพูดก็ไม่รู้จะพูดออกไปอย่างไร
“เธอไปหรือยัง?” เขาเดินมาจากทางประตู ผมเผ้ายุ่งเหยิ่ง ทั้งตัวเต็มไปด้วยความอึดอัดถึงขั้นสุดอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อไหร่กันที่อ้านเย่เห็นนายที่ดูอ่อนล้าของเขา ใบหน้าที่ทนไม่ได้ถึงได้เปิดปากพูด “คุณหลินสลบไปแล้ว”
เท้าของฉู่เฉินซีหยุดอยู่กับที่ ใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมเผยขึ้นมา ปาขวดไวน์ไปยังอีกฝั่งและรีบเดินไปยังหน้าต่างดวงตาสลดลงชั่วขณะ
ภายนอก ร่างเล็กของเธอล้มลงอยู่ด้านข้างมองแล้วช่างดูน่าสงสาร
ทันใดนั้นใจก็เต้นอย่างแรงเขาเดินออกไปทางประตูอย่างรวดเร็วตามเสียงหัวใจที่เต้นอย่างแรง ไม่สนใจฝนที่ตกอยู่ภายนอก รีบไปอุ้มหญิงสาวที่อยู่ข้างนอกมาไว้ที่อ้อมกอด
ใบหน้าเล็กของเธอที่ขาวซีดขนาดนั้น ดูเย็นขนาดนั้น สถานการณ์แบบนั้นไม่หยุดที่จะดึงใจของเขาไว้ ใจที่ปวดจนไม่สามารถที่จะปวดเพิ่มได้อีก
“เวยมี่……..”เสียงที่แหบเรียกขึ้นมา ดวงตาที่แสดงออกถึงความกังวล
ทันใดนั้น ริมฝีปากของเธอขยับและลืมตาขึ้นมา ดวงตาที่ดูเจ้าเล่ห์แถมมือก็ยังจับไปที่คอของเขาอย่างแน่นยังไงก็ไม่ยอมปล่อยมือ
เสียงที่เปล่งออกมาอย่างน้อยใจ “ในที่สุดนายก็มาแล้ว นายปล่อยฉันไม่ลงเป็นห่วงฉันใช่ไหม?”
ใบหน้าที่ดูงุนงงของฉู่เฉินซี ใจที่ห้อยอยู่กลับไปอยู่ที่เดิม ผ่อนคลายลมหายใจออกมา ปล่อยให้เธอกอดแน่นๆ
“ทำไมนายถึงทิ้งฉันแบบนั้น ทำไมนายทำแบบนั้น!” เธอถามใบหน้าซีดขาวที่เต็มไปด้วยความน้อยใจ
“นายพาฉันกลับบ้านได้ไหม?ฉันรู้สึกหนาวมาก” ปากเธอยังคงพูดต่อไป ในคำพูดเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย มือก็จับเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเหมือนกลัวที่เขาจะทิ้งเธอไว้แบบนั้น
สายตาที่พร่ามัวหลินเวยมี่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝนหรือน้ำตา เพียงแค่ขอให้ได้รั้งเขาไว้ไม่ยอมที่จะปล่อยมือ
“พาฉันกลับบ้านฉันหนาว หนาวมาก” เธอกอดเขาไว้อย่างแน่นและสั่นไม่หยุด
ฉู่เฉินซีหรี่ตาลงใบหน้าไม่แสดงอารมณ์อุ้มเธอกลับไปข้างใน ในสมองคิดไม่หยุดกลับคำพูดที่ว่า “กลับบ้าน” เธอเห็นว่าที่แห่งนี้เป็นบ้านหรือไง?
หลินเวยมี่คลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของเขาร่างกายได้ชาไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น เขายังคงแคร์เธอ ไม่อย่างนั้นตอนที่เธอแกล้งเป็นลมล้มลงบนพื้น เขาคงไม่วิ่งออกมาอย่างไม่สนอะไร?
หลังจากที่ฉู่เฉินซีวางเธอลงในห้องอาบน้ำเขาก็หมดแรงและล้มลงอยู่ที่ข้างๆห้องอาบน้ำ
ทันใดนั้นใจของหลินเวยมี่ก็บีบรัดแน่น รีบตะโกนเรียกคนมาช่วย
ยังดีที่อ้านเย่ได้เรียกหมอประจำตระกูลมาไว้ตั้งแต่แรก ผ่านมาจนถึงตอนเย็นทั้งสองคนต่างก็หลับลึกไปแล้ว
หลินเวยมี่ตื่นมาเพราะความกระหาย ตอนตื่นขึ้นมากลับรู้สึกว่าหัวหนักแต่สมองเบาและเจ็บคออย่างมาก คิดว่าคงเป็นตอนที่ฝนตกจึงทำให้เธอป่วย
ผลักประตูออก เดินไปยังห้องนอนของฉู่เฉินซี มองเห็นชายที่นอนแผ่อยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาที่แดงปากที่แตก คิ้วที่ขมวดเข้าหากันเหมือนกับแบกรับความทุกข์ไว้มากมาย
ใจของเธอถูกบีบแล้วบีบอีก มือเล็กแตะลงไปที่แท้เขานั้นตัวร้อน
ประตูถูกผลักออก อ้านเย่มองหญิงที่ปรากฏตัวอยู่ในห้องนอนโดยไม่ตกใจซักนิดและส่งแอลกอฮอร์แผ่นให้เธออย่างนิ่งเรียบ
“นายตัวร้อนไม่หาย คุณช่วยดูแลนายสักหน่อย”
“อืม” หลินเวยมี่เอาแอลกอฮอร์มาไว้ที่มือ เช็ดไปยังใบหน้าเขาอย่างระมัดระวัง
นิ้วของเธอแตะไปโดนแก้มของเขา สายตาจ้องไปยังเขาเผยรอยยิ้มที่ขมขื่น
และก็ยังเช็ดต่อไปยังริมฝีปากของเขาอย่างระวัง ร่างกายก็รู้สึกปวดล้าและสลบลงไปข้างเตียงของเขา
รอจนตอนตื่นขึ้นมา เธอกลับตกใจไม่รู้ตอนไหนกันที่มานอนอยู่บนเตียงของฉู่เฉินซี
เธอจำได้ชัดเจนตอนแรกเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้? หรือว่าเป็นฉู่เฉินซีอุ้มเธอขึ้นมาบนนี้?
หันกลับมาด้วยความงุนงง รับรู้ได้ว่าเขากำลังหลับอยู่ใจก็รู้สึกอบอุ่น เอื้อมมือไปจับเอวของเขาใบหน้าเล็กวางลงบนอกของเขา
“ตื่นแล้วหรอ?”เสียงแหบเยือกเย็นจากบนหัวของเธอส่งออกมา ใจของหลินเวยมี่บีบแน่น ที่แท้ฉู่เฉินซีก็ตื่นแล้ว
นานเข้าก็ยังไม่ตอบหลับตาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน จากน้ำเสียงของเขาก็เดาได้ว่าเขายังไม่ให้อภัยเธอ ดังนั้นเธอทำได้เพียงแกล้งทำเป็นโง่เขลาและแกล้งทำเป็นนอนยังไม่ตื่น ไม่งั้นคงรับไม่ได้กับน้ำเสียงที่เย็นชาของเขา
“ลุกขึ้น” เสียงที่เย็นยะเยือกไม่แสดงอารมณ์ใดใดพูดออกมา
ใจของหลินเวยมี่บีบขึ้นมาแต่ก็ยังคงไม่ลุกขึ้นแบบนั้น
“เธอนอนทับแผลฉันอยู่” เสียงที่เผยออกมาอย่าหมดหนทางของฉู่เฉินซี พูดอย่างเฉยชา
หลินเวยมี่เด้งขึ้นมานั่งทันที มองดูบาดแผลของเขาอย่างตกใจถึงได้รู้ว่าแผลของเขาอยู่อีกฝั่ง
“นายหลอกฉัน”
“เมื่อวานเธอก็หลอกฉันเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?” ฉู่เฉินซียักคิ้วสายตาบ่งบอกอารมณ์ที่เงียบครึม