บทที่170 อย่าลืม เธอยังมีฉัน
ลมเย็นในฤดูใบไม้ร่วง ตอนนี้มาถึงช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ในสวนต่างก็มีดอกไม้หลายชนิดร่วงหล่นลงมา หลินเวยมี่นั่งอยู่บนเตียงในสวนดอกไม้ ผมยาวปกคลุมถึงไหล่ ปากเล็กเม้มเล็กน้อย ดวงตาเผยความเงียบ
“เฮ้ เวยมี่ เธอมาทำอะไรตรงนี้?” ป่ายห้าวโบกมือให้หญิงสาวจากที่ไกล ๆ
หลินเวยมี่หรี่ตามองไปทางเขา ป่ายห้าวในสูทสีขาวใบหน้าที่ดูสดชื่น หัวเราะดีใจเดินมาทางเธอ
“อ่านหนังสือ” ฉู่เฉินซีกับฐาลี่ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วแม้เธอจะไม่รู้อะไรแต่Elisก็จงใจพูดคลุมเครือเพื่อบอกเธอ หลินเวยมี่ชูหนังสือในมือขึ้นพร้อมสายตาที่เฉยเมย
ป่ายห้าวมองไปที่หลินเวยมี่ครั้งหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา ตบไปที่ไหล่ของเธอ ถามข่าวซุบซิบกับเธอ “เธอยังไม่ได้สู้กับสองพี่น้องนั้นใช่หรือไม่?”
หลินเวยมี่ดึงปากเขาขึ้นลงหนักๆรอบหนึ่ง “นายมาที่นี่จุดมุ่งหมายคงไม่ใช่มาดูพวกเราทะเลาะกันใช่ไหม?”
ป่ายห้าวเผยสีหน้าที่ไม่ปกติออกมา ไอออกมาอย่างทำตัวไม่ถูกและลูบไปที่จมูกตัวเอง “ค่อกค่อก ที่จริงฉันมาหาเฉินเพราะมีธุระนิดหน่อยที่ต้องทำ”
เธอจ้องมองป่ายห้าว สีหน้าที่ผิดปกติของป่าวห้าวหันกลับไปอีกฝั่ง
“ทำไม! ค้นพบว่าตกหลุมรักลุงแล้วหรือไง?”
“ฉันผ่านช่วงวัยรุ่นมาแล้วไม่ได้มีความสนใจลุง โดยเฉพาะลุงที่ชอบฟังข่าวซุบซิบ”
สีหน้าป่าวห้าวชะงักไปเล็กน้อย มองไปที่หลินเวยมี่และยิ้มออกมาทันที “งั้นสถานการณ์การการรบเมื่อวานเธอเป็นยังไงบ้าง”
“สถานการณ์การรบ?” เธอกระตุกมุมปาก สายตาเผยรอยยิ้มเลห์เหลี่ยม “ไม่บอกนายหรอก”
“โยว่ เธอเจ้าเด็กนี้หรือว่าไม่อยากรู้เรื่องระหว่างฐาลี่กับเฉินหรือ?” ป่ายห้าวปัดผมไปมา มองไปทางเธออย่างทุกข์ใจเล็กน้อย
สีหน้าหลินเวยมี่ชะงักไป เดิมทีสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เธอไม่อยากไปแตะแต่ไม่รู้เพราะอะไรตอนนี้ป่ายห้าวถึงได้พูดขึ้นมา เธอรู้สึกประหลาดใจจริงๆ
“พวกเขาสองคนไม่ใช่คู่หมั่นกันหรือไง?ยังมีเรื่องอะไรอีก?” เธอมองสำรวจไปทางป่ายห้าว
ป่ายห้าวถอนหายใจและลงไปนั่งข้างๆเธอ วางมือทั้งสองลงบนม้านั่งหินทั้งสองฝั่งอย่างเอาแต่ใจพูดขึ้นมาอย่างนุ่มนวล “ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนไม่ใช่ง่ายๆแค่นั้น ฐาลี่เป็นถึงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศส ถึงแม้ว่าตระกูลฉู่จะใหญ่มากแต่หากว่ารวมดาบสองเล่มเข้าด้วยกันผลลัพธ์ที่ได้ก็ยิ่งมากขึ้น”
“ใช้ผลประโยชน์จากความสัมพันธ์?” หลินเวยมี่เผยปากเล็กน้อย คิดถึงทุกครั้งที่ฉู่เฉินซีพูดถึงรอยยิ้มอันขมขื่นของฐาลี่ ที่แท้ที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่แรกทั้งสองคนไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ระหว่างพวกเขาทั้งสองมีผลประโยชน์มากมายมาเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงกัดกร่อนความรู้สึกของพวกเขาทั้งสอง
“ที่แท้ฐาลี่ก็มีความสามารถมากมาย”หลินเวยมี่ถอนลมหายใจ คิดไม่ถึงจริง ๆผู้หญิงที่อ่อนโยนแบบนั้น จะเก่งกาจขนาดนี้ มีอำนาจมากมาย มิน่าละความคิดของเธอถึงได้นิ่งลึกขนาดนั้น
ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นแบบElis เกรงว่าบริษัทคงล้มไปนานแล้ว
“แน่นอน ฐาลี่ทำงานอย่างหนัก” ป่ายห้าวมองลึกไปที่เธอ สายตาเผยความเป็นกังวลเหมือนกับว่ามีบางอย่างจะบอกแต่ก็ไม่รู้จะพูดออกมายังไง
“ทำไม หน้าที่เหมือนอยากพูดแต่ก็หยุดไปแบบนั้น?” หลินเวยมี่เม้มริมฝีปากวางหนังสือลงอีกฝั่งและดึงกระโปงลงเล็กน้อย
“เวยมี่ สถานการณ์ของเฉินในตระกูลเฉินเดาว่าเธอก็คงจะเข้าใจ? หากเขาไม่มีฐาลี่เกรงว่าคงจะแย่”
ป่ายห้าวพูดอย่างคลุมเครือแต่เธอกลับเข้าใจอย่างชัดเจน นั้นก็แปลว่าถึงแม้ฉู่เฉินซีจะไม่รักฐาลี่ยังไงก็ต้องแต่งกับเธอและเธอก็คงไม่มีทางมีจุดจบที่ดี
“พอแล้ว ถ้าหากว่าเฉินรู้ว่าฉันคุยเรื่องพวกนี้กับเธอ เขาต้องหั่นฉันทิ้งเป็นแน่แบบนั้นฉันก็จบเห่กันพอดี” ป่ายห้าวพูดด้วยความสำนึกผิด
หลินเวยมี่มองไปที่ป่ายห้าวครั้งหนึ่ง เผยรอยยิ้มที่ขมขื่นออกมาพูดปลอบใจ “ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้กับเขา แต่ว่าทำไมคุณท่านแก่ฉู่เห็นฉันถึงได้ตื่นตระหนกขนาดนั้น บอกว่าฉันไม่ควรที่จะปรากฏตัว นายรู้อะไรบ้างไหม?”
สีหน้าที่ชะงักไปของป่ายห้าวก่อนจะมองจ้องเธอกลับถึงจะเอ่ยปากพูด “สาเหตุอาจเป็นเพราะฐานะของเธอ”
หลินเวยมี่ตาเป็นประกายมองเขาอย่างตื่นเต้น “ป่ายห้าว นายรู้อะไรมากันแน่?”
ป่ายห้าวรู้ตัวก็พูดไม่ออก หลบสายตาออกไปไม่รู้จะจัดการอย่างไร
บังเอิญพอดีที่มีเสียงทะเลาะกันดังออกมาจากหน้าประตู จึงดึงดูดความสนใจของทั้งสองคนไป
“รีบให้ฉันเขาไป ฉันบอกไปแล้ว ฉันเป็นพี่สาวของนายพวกนาย พวกนายกล้าลากฉันมานอกประตูหรือว่าไม่กลัวเขาจะไล่พวกนายออก?”เสียงหยิ่งผยองของฉู่หรานดังมาจากหน้าประตู แต่ว่าบอดี้การ์ดก็ยังคงไม่ให้เธอเข้ามา ยังคงให้เธอยืนอยู่หน้าประตูไม่ให้เธอเข้าใกล้แม้แต่น้อย
“หลินเวยมี่! เธอรีบมาบอกพวกเขาว่าฉันเป็นใคร!” ฉู่หรานผลักบอดี้การ์ดไปด้านข้างตะโกนเรียกหลินเวยมี่ที่กำลังเดินมา
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วจนติดกัน ไม่เข้าใจว่าทำไมฉู่หรานถึงได้มาอยู่นี้ ในใจรู้สึกแน่นไม่หยุดแต่เมื่อเห็นคนที่อยู่ด้านหลังเธออย่างหลินซินหยานก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแน่นๆ
“ปล่อยเธอ เธอเป็นพี่สาวของฉู่เฉินซีจริงๆ”
หลินเวยมี่พูดออกมา บอดี้การ์ดก็วางฉู่หรานลง ฉู่หรานยิ้มดีใจเดินไปหาเธอ “เฉินล่ะ?เฉินอยู่บ้านไหม?”
หลินเวยมี่ขี้เกียจจะสนใจเธอยิ่งเธอดึงมือของหลินซินหยานด้วยแล้ว “ซินหยาน เธอหาที่นี่พบได้ยังไงกัน”
หลินซินหยานเงยหน้ามองไปทางฉู่หรานก้มหัวลงและพูด “ห้องในบ้านถูกแม่รื้อทิ้งไปแล้ว”
หลินเวยมี่รู้สึกเพียงสมองขาวโผล่ ฉู่หรานรื้อห้องไปจริงๆแล้ว! ที่นั้นเต็มไปด้วยความทรงจำตั้งแต่เด็กจนโตของเธอ ฉู่หรานทำไมถึง ทำไมถึงกล้ารื้อห้องนั้นไป!
ความโกรธเกิดขึ้นมา หันกลับไปดึงแขนของฉู่หรานจ้องเธออย่างเหี้ยมโหด “เธอเอาห้องนั้นคืนมาให้ฉัน!”
ใบหน้าของฉู่หรานที่มองเธออย่างดูถูก พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ห้องของเธออะไรกัน เห็นชัดเป็นนายท่านเก็บไว้ให้ฉัน ฉันอยากจะจัดการยังไงฉัดก็จัดการเธอจะยุ่งได้หรือไง?”
“นั้นเป็นบ้านของฉัน!” เธอกัดฟันพูดจ้องไปยังฉู่หราน จับแขนของฉู่หรานบีบแน่นโดยไม่รู้ตัว
ฉู่หรานผลักเธอออกไปอย่างแรง ใบหน้าแสดงความรังเกียจพูดขึ้น “บ้าน? ก็แค่บ้านพังๆหลังหนึ่ง เธอเกาะเฉินได้แล้วยังจะขาดบ้านพังๆหลังหนึ่งหรือไง?
“เธอรู้ไม่รู้ว่าที่นั้นมันมีความหมายสำหรับฉัน!ทำไมเธอถึงได้……..” หลินเวยมี่โกรธจนสั่นไปทั้งตัว จ้องไปที่ฉู่หรานอย่างไม่ลดละ
ฉู่หรานรู้สึกหนาวไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อคิดได้ว่าหลินเวยมี่จะสามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ไงกัน? ตอนนั้นเองก็ไม่รู้สึกกลัวแล้ว
“เธอคนที่แม้แต่แม่แท้ๆยังไม่ต้องการ ยังปรารถนาความรักแบบไหนกัน ช่างน่าขำจริงๆ” ใบหน้าที่ดูถูกเอียงไปมองเธอเหมือนกับมองสิ่งของที่น่าขยะแขยงแบบนั้น
ทันใดนั้นหลินเวยมี่สีหน้าก็เปลี่ยนไป ความโกรธทั้งร่างกายมาถึงขั้นสุดแล้ว เดินไปจับหน้าฉู่หรานมาตบไปทีหนึ่ง
“เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงฉัน? ฉันไม่ใช่!” เธอดึงฉู่หรานมาอย่างบ้าคลั่ง ในหัวมีแต่ความสับสนวุ่นวาย สมองคิดเพียงคำพูดที่ฉู่หรานบอกว่าแม้แต่แม่แท้ๆยังไม่ต้องการเธอ แม่ไม่ได้ไม่ต้องการเธอ…….
“ที่ฉันพูดทั้งหมดคือความจริง เธอน่ะแม้แต่แม่แท้ๆยังไม่ต้องการ แม่เธอคลุกคลีอยู่กับผู้ชายคนอื่น กลัวว่าเธอจะเป็นจุดด่างพร้อยของเธอ เธอช่างเป็นคนที่น่าสงสาร!” ฉู่หรานพูดเสียงดัง
หลินเวยมี่จับไปที่คอเสื้อของฉู่หราน คำพูดของเธอกระตุ้นสมองเธอไม่หยุด เป็นไปได้ไง จะเป็นแบบนั้นได้ไง? เธอยังไม่เชื่อความจริง เธอไม่ใช่คนที่น่าสงสาร
“พอแล้ว!” เสียงต่ำแสดงความโกรธ หลินเวยมี่ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดที่อบอุ่น กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้ใจเธอแสบ เงยหน้าไปมองใบหน้าที่เขียวคล้ำของผู้ชาย ใจถึงได้สงบลงมาได้ หยดน้ำตาแห่งความน้อยใจก็ไหลลงมา
“ฉู่หราน เธอมาอยู่ที่ของฉันพูดไร้สาระอะไร?” ฉู่เฉินซีกอดเธอไว้ในอ้อมแขนแน่น สายตาที่ซ่อนความโกรธไว้
สีหน้าของฉู่หรานซีดลงเรื่อย ๆ หัวเราะอย่างอดไม่ได้ หันไปทางที่ฉู่เฉินซีเดินมา “เฉิน ปากของพี่สาวนายยังไม่ชินหรือไง? ฉันก็แค่พูดเหลวไหล พูดเหลวไหล”
ฉู่เฉินซีก้มลงไปมองใบหน้าเล็กที่น้อยใจ หัวใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เช็ดคราบน้ำตาให้เธออย่างลวกๆ พูดปลอบเธอ “อย่าคิดมากเลย เธอก็แค่พูดเหลวไหล”
หลินเวยมี่จับแน่นไปที่เสื้อของเขา นั้นถึงทำให้เธอสงบได้
“พี่หราน พี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? อย่ายืนอยู่ตรงนี้เลย เข้ามาพูดข้างในเถอะ” ใบหน้ายิ้มเล็กน้อยของฐาลี่ เหมือนกับนางเอกที่คอยจัดการแบบนั้น
“ย๊า เป็นฐาลี่นี้เอง ฉันเพิ่งจะเห็นเธอ ไปพวกเราไปคุยเล่นกัน ฉันไม่ได้เจอเธอมาตั้งนานแล้ว”ฉู่หรานยิ้มมีความสุขลากฐาลี่เข้าไปในบ้าน
ป่ายห้าวและหลินซินหยานยื่นอยู่อีกฝั่ง มองดูพวกเข้าทั้งสองกอดกัน เขาก็ส่งสายตาให้หลินซินหยานออกไปข้างนอก
หลินซินหยานมองดูพวกเขาด้วยสายตานิ่งเรียบพร้อมกับสายตาที่ไม่เต็มใจแต่ไม่นานก็เก็บซ่อนกลับไปและเดินตามหลังป่ายห้าวออกไป
หลินเวยมี่จับเสื้อของหลินเวยมี่ไว้แน่น ใจเต้นอย่างแรง เธอรู้ที่ฉู่หรานพูดไม่ใช่เรื่องเหลวไหล
ต้องมีเหตุผลอะไรแน่ ๆหรือเป็นเพราะแม่กลัวว่าเธอจะเป็นจุดด่างพร้อยของเธอ ถึงได้ทิ้งเธอไว้กับหลินจ่านหง?
อย่างนี้ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมหลินจ่านหงถึงได้เย็นชากับเธอ แต่ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้
“นายรู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?”เธอสูดลมหายใจเข้าจมูกเงยหน้าไปมองฉู่เฉินซี
เขาก้มลงมาเช็ดน้ำตาบนแก้มของเธอ ไม่ได้รีบร้อนที่จะตอบ
หลินเวยมี่กลับรู้สึกรำคาญขึ้นมา ในใจก็เริ่มเกิดความไม่แน่ใจกับความจริงที่ฉู่หรายพูดออกมา เธอรู้ว่าฉู่เฉินซีต้องรู้อะไรบางอย่างแต่ไม่ยอมบอกเธอ
ความรู้สึกที่อยากจะรู้ความจริงเริ่มแรงขึ้น
“ฉู่เฉินซี นายบอกฉันมา ที่ฉู่หรานพูดเป็นความจริงไหม?” เธอจับไปที่มือของฉู่เฉินซีที่กำลังเช็ดน้ำตาให้เธอ ถามอย่างร้อนรน “แม่คิดว่าฉันเป็นเพียงตัวภาระถึงได้ทิ้งฉันไว้กับพ่อ? เธอไม่ต้องการฉันตั้งแต่แรกแล้ว ฉันเป็นเพียงคนที่น่าสงสารใช่ไหม?”
“เธอไม่ได้น่าสงสารแต่ก่อนก็ไม่เคย เธอยังมีฉัน” ฉู่เฉินซีจับหน้าของเธอ สายตาที่ตั้งใจส่งออกมา “อย่าลืม เธอยังมีฉัน”
“ถ้าพูดอย่างนั้น ฉู่หรานพูดก็เป็นเรื่องจริง ฉันไม่เพียงแต่ถูกเธอทิ้งไม่ใยดีแถมเธอยังกลัวว่าฉันจะไปส่งผลกระทบเธอ” ปากของเธอยิ้มขมขื่นขึ้นมา เธอไม่เคยเกลียดเธอมาก่อน หลายปีไม่เคยมีแต่ตอนนี้กลับรู้สึกปวดใจจริงๆ