บทที่ 174 ไม่รู้จักผู้ชายของเธอแล้วหรือไง
หลินเวยมี่เดินออกมาด้วยสีหน้าโศกเศร้า ทั้งยังซีดเซียว หล่อนกับเฉินเห้าหมิงพูดคุยกันอย่างลงตัว เขาตกลงจะช่วยหล่อนหาคำตอบ และแลกเปลี่ยนข้อตกลงกัน
แต่ทว่าสิ่งนี้กลับทำให้หล่อนรู้สึกหนักใจ ไม่ว่ายังไงก็หยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้ หล่อนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าถ้ารั่วหรานมีความสัมพันธ์กับท่านฉู่จริงๆ หล่อนควรต้องทำยังไง?
แล้วหล่อนกับฉู่เฉินซีเป็นอะไรกัน? เมื่อคิดเช่นนี้ หล่อนรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา รักที่ต้องห้ามเป็นความรักที่ไม่มีใครยอมรับได้ หรือจะพูดได้ว่าชีวิตนี้หล่อนกับฉู่เฉินซีไม่มีทางได้คบกันอย่างแน่นอน
แต่ทว่า ตอนนี้ก็เหมือนกัน หล่อนไม่มีทางเลือก เพราะฉู่เฉินซีไม่เคยเปิดโอกาสให้เธอได้เลือก
“พี่…” หลินซินหยานพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
หลินเวยมี่รีบเงยหน้าขึ้น หยุดเดินทันที ฉู่เฉินซีกับฐาลี่ก็อยู่ที่นี่
ส่งสายตามองตรงไปที่หลินซินหยาน หล่อนทำสีหน้าจนปัญญา
“พี่สาว คุณลุงฉู่เฉินซีกับฐาลี่ออกไปซื้อของกัน บังเอิญเห็นฉัน…”
สีหน้าของหลินเวยมี่เย็นชาเหมือนน้ำแข็ง เดินตรงไปนั่งข้างหลินซินหยาน
“เวยมี่ ฉันก็คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ เฉินไปเที่ยวกับฉันหลายที่เลย เอ้อนี่ เธอว่าเสื้อเชิ้ตตัวนี้เป็นยังไงบ้าง?” ฐาลี่ยิ้มพลาง
หยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวลายสก็อตออกมา “ฉันคิดว่าเหมาะกับเฉินดีนะ”
หลินเวยมี่เงยหน้าเหลือบมอง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เขาไม่ชอบสีขาว”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึงจนตัวเกร็ง ฐาลี่หันไปมองฉู่เฉินซี เขาหรี่สายตาจ้องมองไปที่หลินเวยมี่ สายตาคู่นั้นแสดงออกถึงความสุข
หล่อนอยู่กับฉู่เฉินซีมาทั้งเช้า ตลอดเวลาครึ่งวันที่ผ่านมาสีหน้าของเขาดูแย่เหมือนมีคนติดหนี้เขา คิดไม่ถึงเลยว่า เพียงคำพูดคำเดียวของหลินเวยมี่ จะทำให้เขายิ้มได้
สายตามองไปยังเสื้อเชิ้ตบนมือ ไม่ว่าจะเป็นสีหรือรูปแบบเสื้อที่หล่อนชอบ ที่แท้ฉู่เฉินซีไม่ได้ชอบงั้นเหรอ?
มองไปที่ฉู่เฉินซีด้วยความรู้สึกผิดหวังเสียใจ แต่ฉู่เฉินซีกลับทำเหมือนมองไม่เห็น กลับมองไปที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
หลินซินหยานกระแอมขึ้น หยิบน้ำผลไม้ขึ้นมาดื่ม “ฉันคิดว่าชุดนี้โอเคมากเลยนะ คุณลุงต้องเปลี่ยนแนวแต่งตัวบ้างแล้ว ใส่แต่เสื้อสีดำสีเทาอยู่ตลอด ล้าสมัยแล้ว”
“ฉันชอบ” ฉู่เฉินซียิ้มขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ
หลินเวยมี่เบ้ปาก เบี่ยงสายตามองออกไปด้านนอก ไม่อยากจะมองเขาต่อไป ฐาลี่จงใจสร้างเรื่องขึ้นมา เพราะรู้อยู่แก่ใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับฉู่เฉินซี ทั้งยังสวีทกระหนุงกระหนิงกันต่อหน้าหล่อน
หลินซินหยานส่งสายตาไม่พอใจมองไปที่ฐาลี่ สีหน้าของหล่อนแย่ไม่สบอารมณ์ หยิบเสื้อโยนใส่ถุง พูดเย้ยขึ้น
“ในเมื่อเธอไม่ชอบ ฉันจะเอาไปให้ป่ายห้าว เขาชอบสีขาว”
ฉู่เฉินซีทำเป็นหูทวนลม ไม่สนใจหล่อนแม้แต่น้อย
ฐาลี่เม้มปากมองไปที่หลินเวยมี่ หลินเวยมี่กำลังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่ากำลังมองดูอะไรอยู่
“เวยมี่ เธอคิดว่าแหวนวงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ฐาลี่ยื่นมือซ้ายออกมา แหวนเพชรสวยงามประดับอยู่บนนิ้วกลางของหล่อน
หลินเวยมี่หันไปมองแหวนบนนิ้วกลางด้วยสายตาอันลึกซึ้ง หล่อนหวนคิดไปถึงฉู่เฉินซีพยายามให้แหวนหล่อนหลายครั้ง แต่ยังไงก็ไม่สำเร็จ ทันใดนั้น หล่อนจึงรู้สึกเย้ยด้วยความสะใจขึ้นมา
“ไม่เลวเลยนี่” น้ำเสียงของหล่อนนิ่งเรียบ ราวกับไม่สนใจแหวนวงนั้น
ฐาลี่เก็บมือกลับ ยื่นมือออกมาลูบแหวน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ “ฉันชอบแหวนวงนี้มากเลย ช่างเหมาะกับมือฉันพอดี อันที่จริงการใส่แหวนก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกผู้ชาย แหวนที่ตัวเองชอบก็เหมือนสองคนที่เหมาะสมกันได้ลงเอยกัน ถือเป็นเรื่องดีที่สุด ”
สีหน้าของหลินเวยมี่ตึงเครียด คำพูดเมื่อครู่ดูเหมือนกำลังเยาะเย้ยหล่อน ฐาลี่คงกำลังสื่อว่าหล่อนกับฉู่เฉินซีไม่เข้ากันเลยสักนิด เสมือนซื้อแหวนมาใหญ่เกินหนึ่งไซส์ จะใส่ยังไงก็ใหญ่อยู่ดี
“อีกอย่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเฉินเป็นคนซื้อแหวนวงนี้ให้ฉัน” เมื่อฐาลี่พูดจบ หล่อนทำหน้าตามีดีใจมีความสุขมองไปที่ฉู่เฉินซี
สายตาของฉู่เฉินซีนิ่งขรึม มองกลับไปเห็นสายตาอันเย้ยยันของหล่อน
ฐาลี่รู้สึกแปลกใจ สิ่งที่หล่อนพูดไปฉู่เฉินซีน่าจะเข้าใจความหมายที่หล่อนต้องการสื่อ แต่ทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ เพียงแค่ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“งั้นก็คงควรค่ากับการเก็บไว้เป็นที่ระลึกนะ แต่ถ้าได้แหวนหลายวงคงจะทำให้คนให้ลืมความหมายที่แท้จริงของแหวนไป”
คำพูดของหล่อนเอาชนะฐาลี่ได้อย่างราบคาบ ฐาลี่กำมือที่ใส่แหวนไว้แน่น สีหน้าย่ำแย่ไม่สบอารมณ์
สีหน้าของหลินเวยมี่ดูอ่อนล้าจนอดไม่ได้ที่จะหาวออกมาวอดใหญ่ เมื่อคืนหล่อนไม่ได้นอนทั้งคืน วันนี้ก็ยังไม่ได้กินอะไร หล่อนรู้สึกเหมือนตัวลอย ไร้เรี่ยวแรง
ขนาดแรงจะต่อปากต่อคำ ยังรู้สึกไร้ซึ่งกำลัง
“เสี่ยวจิ่น ฉันกลับบ้านก่อนนะ ฉันเหนื่อยแล้ว” เมื่อหล่อนพูดจบก็หยิบกระเป๋าเดินออกไปข้างนอกทันที
แสงแดดข้างนอกร้อนจนทำให้หล่อนรู้สึกไม่สบาย หล่อนเบียดเสียดเข้าไปในกลุ่มคนที่หนาแน่น
หล่อนเริ่มมึนงงมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกวิงเวียน พะอืดพะอม กระทั่งกำลังจะล้มลงก็ถูกใครบางคนโอบไว้ในอ้อมอก
หลินเวยมี่เพิ่งจะรู้สึกดีขึ้น จึงหรี่ตาหันไปมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกมึนงง เหมือนไม่รู้จักเขา
“เป็นอะไรไป? จำผู้ชายของเธอไม่ได้แล้วหรือไง?”
ฉู่เฉินซียิ้มอย่างมีเลศนัย กอดหล่อนแน่นจนแทบจะติดกับตัวของเขา กลิ่นหอมบนตัวของหล่อนเตะจมูกเขาอย่างจัง ทำให้เขายิ่งรู้สึกหื่นกระหายยิ่งขึ้น
หลินเวยมี่หรี่ตาลง หมดเรี่ยวแรงที่จะเอ่ยปากพูด จึงใช้มือผลักหน้าอกเขาออกไปด้านข้าง
แต่กลับถูกดึงแขนไว้อีกครั้ง ครั้งนี้หล่อนหมดแรงแล้วจริงๆ ตัวของหล่อนล้มไปที่หน้าอกของเขาอย่างจัง
มือของหล่อนจับหน้าอกของเขาไว้ ถามขึ้นอย่างมึนๆงงๆ “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“กลัวว่าเธอจะหายไป”
หลินเวยมี่ทำสีหน้าเย้อหยิ่งได้ใจ “หายไปก็ดี จะได้ไม่ต้องเป็นกังวล”
“ฉันไม่กังวล?”
“ใช่สิ ไม่มีใครมากวนใจนาย นายก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกรำคาญ มีเวลาไปหาคนของนาย ไปออกเดท แต่งงานกัน” หล่อนกันฟัดพูดขึ้น พูดพลางน้ำตาคลอเบ้า จนเอ่อล้นออกมา
“ทำไมถึงได้กลิ่นคนขี้หึง?” เขาดมกลิ่นพลางขมวดคิ้วขึ้น สายตากลับยิ้มหยอกล้อ สาวน้อยกำลังหึงอยู่สินะ?
หลินเวยมี่สูดหายใจเข้าลึก ตาแดงก่ำ “ฉู่เฉินซี นี่ฉันจริงจังนะ เราเลิกกันเถอะ ฉันจะไม่เป็นตัวถ่วงของนาย และฉันก็ไม่อยากได้แหวนไซส์ใหญ่วงนี้อีกแล้ว! เราเข้ากันไม่ได้”
ฉู่เฉินซีมองหลินเวยมี่อย่างลึกซึ้ง เมื่อเห็นว่าหล่อนพูดจริงจัง สีหน้าของเขาแย่ลงทันที เขายื่นมือไปโอบไหล่ของหล่อนไว้ ถามด้วยความไม่อยากเชื่อ “เธอจริงจังเหรอ?”
หลินเวยมี่พยักหน้าลงด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “จริงจังมาก ฉันคิดมาดีแล้ว”
“เธอคิดดีแล้ว?” เสียงของฉู่เฉินซีสูงขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “เธอเอาอะไรมาคิด? เธอคิดว่าความรู้สึกคือของเล่นหรือไง? บอกเลิกก็จะเลิก? เธอเห็นฉันเป็นอะไร?”
“แล้วนายเห็นฉันเป็นอะไรล่ะ” หลินเวยมี่พูดตะโกนขึ้น ผลักเขาออกเต็มแรง น้ำตาเอ่อล้นไหลออกมาไม่หยุด
ในความเงียบนั้น ผู้คนที่รายล้อมอยู่บริเวณนั้นถึงกับต้องชะงักหยุดลง มองตรงมาที่พวกเขา
สีหน้าของฉู่เฉินซีนิ่งเรียบ คนรอบข้างคงสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นในตัวของเขา แต่หลินเวยมี่กลับน้ำตานองหน้า เงยหน้ามองท้องฟ้า เพราะเคยมีคนพูดกับหล่อนไว้ว่า ถ้าเสียใจอยากร้องไห้ ให้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า น้ำตาจะได้ไหลกลับไป
แต่ไม่รู้ทำไม น้ำตาของหล่อนในตอนนี้กลับเหมือนไข่มุกที่ขาดออกจากสร้อย ไหลรินลงบนใบหน้าไม่หยุด?
“ไปกับฉัน!” ฉู่เฉินซีจับมือหล่อน เดินออกไปที่ถนน จากนั้นรีบโบกแท็กซี่คันหนึ่ง ดึงหล่อนขึ้นบนรถไป
“พวกคุณจะไปไหนกัน?” คนขับรถหันมามองพวกเขา สีหน้าของฝ่ายชายดูโมโหเหมือนมีใครติดหนี้เขา ส่วนผู้หญิงสีหน้าซีดเซียว ตาแดงก่ำ เมื่อเห็นก็รู้ทันทีเลยว่าพวกเขาทะเลาะกัน
“ขับไปไหนก็ได้” ฉู่เฉินซีพูดสั่ง
คนขับตกใจกลัวจนไม่กล้าถามอะไรต่อ รีบขับรถออกไปทันที
“จะเลิกกันจริงเหรอ?” ฉู่เฉินซีถามขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ใจ
“เลิกกันก็เป็นสิ่งที่นายปรารถนาอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?” หลินเวยมี่สูดหายใจเข้าหลายครั้งด้วยความเหนื่อยใจ สายตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“แล้วเธอล่ะ? ฉันอยากฟังความคิดของเธอ เธอคิดยังไง?”
หลินเวยมี่รู้สึกสับสน ในหัวของเธอหยุดคิดภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ฐาลี่โอ้อวดแหวนให้หล่อนดูไม่ได้ ทันใดนั้น หล่อนยิ้มเย้ยขึ้น พูดอย่างไม่คิด “ฉันบอกไปแล้วไง ฉันคิดได้แล้ว และตัดสินใจปล่อยนายไป”
“นี่คือคำตอบของเธองั้นเหรอ?” ฉู่เฉินซีมองไปที่หล่อนด้วยความเจ็บปวดใจ
หลินเวยมี่กัดฟันแน่น ใบหน้ายังคงฝืนยืนหยัดในคำพูดของตน
ภายในรถเงียบลงอีกครั้ง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อ สีหน้าของทั้งสองดูแย่ยิ่งนัก กระทั่งอากาศยังเปลี่ยนไปอย่างน่าฉงน
หลินเวยมี่ก้มหน้าลง น้ำตาของหล่อนค่อยๆหยดลงมาบนฝ่ามือ ความรักครั้งนี้หล่อนพยายามมามากพอแล้ว ความเจ็บปวดที่ต้องเลิกรามีมากแค่ไหน หล่อนเองรู้อยู่แก่ใจ ช่วงสองสามวันมานี้หล่อนทรมานใจจนแทบจะบ้าตาย
เรื่องทั้งหมดกดดันเธอในเวลาเดียวกัน และยังมีเรื่องความรักของทั้งสองอีก หล่อนรู้สึกเหนื่อยใจมามากแล้ว ไม่อยากคิดอะไรให้มากไปกว่านี้ บางทีการถอยออกมาสักก้าวอาจจะทำให้มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นบ้าง
อย่างน้อยหล่อนไม่ต้องเหนื่อยมากไปกว่านี้ ไม่เช่นนั้นชีวิตหล่อนคงพังทลายไม่เป็นท่า
“เธอ ไม่ต้องการฉันแล้วจริงเหรอ?” เสียงแหบแห้งของเขาดังขึ้น เสมือนร้องไห้
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้น เผอิญสบตากับแววตาอันแดงระเรื่อของเขาพอดี เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกของหล่อน ผิดปกติจนต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงซึม “จะเลิกกับผมจริงงั้นเหรอ?”
ทันใดนั้นภายในใจของหล่อนรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด ผู้ชายแมนๆอย่างฉู่เฉินซีร้องไห้? อีกทั้งยังร้องไห้เพราะหล่อน?
ตอนนั้นเอง หล่อนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ ความรู้สึกภายในใจตีกันไปหมด หล่อนมองไปที่ฉู่เฉินซี จู่ๆก็รู้สึกสงสารเขาขึ้นมา จากนั้นหล่อนจึงไม่กล้าพูดอะไรทำร้ายจิตใจเขาต่อ
หล่อนสูดหายใจเข้าลึก ไม่รู้ว่าจะปลอบเขาอย่างไร หล่อนอยากจะยื่นมือออกไปจับเขา แต่กลับหยุดชะงักกลางอากาศ
ทันใดนั้น รถมีเสียงเบรคดังขึ้นและหยุดลง ทั้งสองตกใจจนสีหน้าตึงเกร็งขึ้นมา ฉู่เฉินซีรีบจ่ายเงินและเปิดประตูรถลงมาทันที
หลินเวยมี่ก็เปิดประตูรถลงตามหลังเขามา มองดูสีหน้าเขา ความรู้สึกหล่อนสับสนไปหมด
“ไอ้คนขับระยำนี่!”
เมื่อได้ยินเสียงบ่นของเขา หลินเวยมี่อดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉู่เฉินซี สีหน้าของเขาอมทุกข์มาก จากนั้นมองตามเขาไป หล่อนเองก็ตกใจตะลึงเช่นกัน
คนขับรถพาพวกเขามาที่สำนักงานเขต เพราะคิดว่าพวกเขาจะหย่ากัน