รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน – ตอนที่ 171

ตอนที่ 171

บทที่171 เธอคิดว่าเธอมีค่าพอให้ฉันทำแบบนั้น?

ฉู่เฉินซีเห็นท่าทางผิดหวังแบบนั้นของเธอก็ไม่รู้จะปลอบเธอยังไง ทำได้เพียงกอดเธอแน่นขึ้นแทนการปลอบใจ

ภายในห้องรับแขก ฉู่หรานมองไปรอบๆสายตาที่ดูโลภ “ฐาลี่ ตอนฉันแต่งงานเธอยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กคิดไม่ถึงโตได้ขนาดนี้แล้ว”

ฐาลี่กระตุกริมฝีปากเล็กน้อย สายตามองออกไปยังสองคนข้างนอกอย่างไม่ได้สนใจ แม้แต่รอยยิ้มยังแสดงความไม่สงบออกมาอย่างชัดเจน เธอยังไงก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งถึงแม้ว่าตัวเองจะมีเหตุผลยังไงรู้ว่าสิ่งไหนควรทำตัวยังไงถึงเหมาะสมแต่ในใจก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ

จุดบกพร่องที่สุดของเธอคงจะเป็นคนที่มีเหตุผลเกินไป ไม่อยากให้เกิดความรู้สึกผูกผัน จึงเลือกที่จะเมินเฉยความรู้สึกระหว่างสองฝ่ายแต่กลับคิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองจะเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้

ในใจรู้สึกยากที่จะรับได้อย่างมาก เธอก้มหัวลงเล็กน้อยไม่ทันระวังเผยอารมณ์ออกมาต่อหน้าฉู่หราน

“ฐาลี่ เธอสวยออกขนาดนี้ ใจก็กว้าง ฉันล่ะไม่เข้าใจจริง ๆว่าทำไมเฉินถึงได้ไปชอบเด็กนั้นได้” ฉู่หรานถอนหายใจพูดอย่างเสียดาย

ฐาลี่สีหน้าหมองลงเงยหน้าขึ้นมามองฉู่หราน กระตุกยิ้ม “พี่หราน เฉินแค่รักสนุกไปบ้างรอไปสักพักก็ดีเอง”

ฉู่หรานหยักคิ้ว พูดอย่างไม่คิด “รักสนุก? เธอเห็นเฉินหมกมุ่นอยู่กับผู้หญิงคนนั้น?”

เป็นเป็นประโยคที่อยู่ในใจของฐาลี่พอดี เธอฝืนยิ้มออกมาและไม่คิดว่าเรื่องพวกนี้จะมากระทบจิตใจเธอ ไม่นานสายตาของเธอก็กลับมาเป็นปกติ

ท้องฟ้าเริ่มมืด หลินเวยมี่พิงอยู่ที่เตียงสายตานิ่งเรียบมองออกไปภายนอกหน้าต่าง ในใจรู้สึกหงุดหงิดเธออยากที่จะไปเจอแม่ อย่างน้อยจะได้ถามว่าตอนนั้นทำไมถึงทิ้งเธอไป

น้ำในห้องน้ำหยุดลง ฉู่เฉินซีพันผ้าขนหนูออกมา หยดน้ำที่ยังอยู่บนแผงอก ลมหายใจที่ดูปกติผมที่ยุ่งเหยิ่ง หยดน้ำที่ตกลงมา

หลิยเวนมี่มองไปที่ฉู่เฉินซีด้วยสายตาหม่นหมอง พูดอย่างกังวล “ฉู่เฉินซี ฉันต้องการรู้ความจริง”

เขาฟังได้ถึงตรงนี้ หน้าที่ดูอบอุ่นเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง “ความจริงอะไร? เธอยังอยากรู้อะไร?”

“ทำไมพวกนายไม่ยอมบอกอะไรฉันเลย จริงๆแล้วเธอไปอยู่ที่ไหน ฉันอยากไปพบเธอ ถามต่อหน้าเธอว่าทำไมถึงทิ้งฉัน” ใบหน้าที่หงุดหงิดของหลินเวยมี่ จับแขนของฉู่เฉินซีไว้ไม่ยอมปล่อย

“เธออยากรู้ความจริงอะไรกัน? ความจริงที่เธอรับไม่ได้ ที่พวกเราไม่บอกเธอก็เพื่อเธอ ส่วนเธอเธอก็ไม่จำเป็นต้องไปเจอเธอ” ฉู่เฉินซีถอนหายใจก้มลงไปจูบหน้าผากเธอ

“อย่าหงุดหงิดเลย ไม่มีอะไรหน้าหงุดหงิด ลืมทุกอย่างทั้งหมด มีฉันอยู่ไม่พอหรือไง?” เขาหยิกไปที่แก้มของเธอ จับให้เธอยิ้มขึ้นมากลับถูกเธอผลักออกอย่างเย็นชา

แรงของเธอเยอะมาก เขาสะดุดจนเกือบล้มลงไป

เพียงพริบตาสีหน้าของฉู่เฉินซีก็มืดหม่นลง เม้มปากมองไปยังหลินเวยมี่

“ฉู่เฉินซี นี้เป็นเรื่องของฉัน ฉันมีอำนาจที่จะรู้ นายมีสิทธิ์อะไรไม่ให้ฉันรู้?”เธอพูดอย่างบ้าคลั่งและคว้างหมอนใส่เขาอย่างแรง

ฉู่เฉินซีไม่ได้หลบปล่อยให้หมอนคว้างใส่เขา สีหน้ายิ่งแสดงยิ่งไม่น่ามอง

“เธออย่าลืม ฉันก็มีอำนาจที่จะไม่บอกเธอ” เขาพูดอย่างเยือกเย็น ดวงตาเต็มไปด้วยสายตาที่ทนไม่ได้กับความน่ารำคาญนี้

หลินเวนมี่จ้องตาเขาขว้างเหมือนกับว่ากำลังมองศัตรู “ฉู่เฉินซี นายลงทุนปิดบังฉัน นายมีจุดมุ่งหมายอะไร?”

“จุดมุ่งหมาย?” สีหน้ามืดหม่นลง เผยสายตาที่ดุร้าย

“ไม่อย่างงั้นแล้ว?” เธอยิ้มเยือกเย็น เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “นายเขาหาฉันอย่างมีผลประโยชน์ ในตัวฉันมีผลประโยชน์อะไรกับนายกันแน่?”

“เธอคิดแบบนั้นกับฉัน?”เสียงที่ยิงพูดยิ่งน่ากลัว ภายในคำพูดที่ซ่อนความโกรธเอาไว้ เสียงยิ่งนิ่งเรียบเท่าใดความโกรธก็ยิ่งมากเท่านั้น

หลินเวยมี่มองอย่างเย็นชา คนที่ใจร้อนอย่างเธอไม่มีทางที่จะสังเกตเห็นความโกรธของเขายังคงพูดเสียงเย็นชาต่อ “ใช่ ฉันคิดแบบนั้น!”

ฉู่เฉินซียิ้มเยือกเย็น มือใหญ่บีบไปที่คางของเธอ พูดเสียงเย็นชา “เธอคิดว่าเธอมีค่าพอให้ฉันทำแบบนั้น?”

พูดจบก็ปล่อยมือลงอย่างแรง เปิดประตูเสียงดังและจบปัญหาลง

ดวงตาของหลินเวยมี่เต็มไปด้วยน้ำตา ในใจรู้สึกปวดแสบ รู้สึกน้อยใจอย่างมากเธอก็ไม่รู้ทำไมถึงได้พูดออกไปแบบนั้นแต่เธออยากที่จะรู้ความจริงจริงๆ ฉู่เฉินซีก็ไม่ยอมที่จะบอกเธอสักที

ภายในห้องสมุด ฉู่เฉินซีพิงอยู่ที่เก้าอี้ คิ้วขมวดเข้าหากัน หัวปวดอย่างมาก

หูได้ยินเสียงเปิดประตูเบาๆ เสียงฝีเท้าที่เดินมาแต่เขาก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมา ได้แต่นั่งเงียบๆที่เก้าอี้แม้แต่แรงที่จะพูดยังไม่มี

“ปวดหัวมาก?” เสียงที่ไพเราะดังขึ้นกลิ่นหอมกระทบเข้าไปในจมูก มือเล็กที่ดูอ่อนแอวางลงบนหัวของเขานวดเบาๆ

เธอนวดได้ตรงจุดมาก สมองที่ปวดเหมือนระเบิดทุเลาลง

“เธอไปเรียนนวดมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?” เขาหลับตาพูดเสียงเบา

ฐาลี่ยิ้มออกมาเบาๆ สายตาที่นิ่งเรียบและตำหนิเล็กน้อย พูดขึ้น “นายสนใจฉันตั้งแต่ตอนไหนกัน? นายจำได้ไหมว่าพวกเราไม่ได้เจอกันมานานเพียงใดแล้ว?”

ฉู่เฉินซีลืมตาขึ้นมามองตาเธอ แสดงอารมณ์แปลกใจขึ้นมาเพราะเขาเข้าใจว่าฐาลี่ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้

“พวกเราหนึ่งปีสามเดือนไม่ได้เจอกันแล้ว” เธอถอนหายใจเบาๆอย่างจริงจัง “ที่จริงฉันรู้สึกเหนื่อยมาก”

“ฐาลี่………..” ฉู่เฉินซีไม่รู้จะปลอบเธอยังไง ฐาลี่ที่เป็นแบบนี้เขารู้สึกปวดใจ ที่จริงเมื่อก่อนก็เคยรักกันมาก่อน

ฐาลี่มองไปที่เขาอย่างไม่คิดอะไรและยิ้มขึ้นมา “ฉันคงเป็นคนที่ถูกตัวเองทรมาน ทุกวันต้องมาต่อสู้กับผู้บริหารระดับสูงสามเวลาทุก ๆนาทีพบแต่สถานการณ์กดดันจนฉันลืมไปแล้วว่ารักมีรสชาติเป็นอย่างไร”

เธอพูดพร้อมคล้องคอฉู่เฉินซี สายตาที่ดูอ่อนล้า “ฉันเหมือนอยู่เพื่อมีชีวิตต่อไป ไม่มีความรู้สึก อยากที่จะหายไปจริงๆ”

ฉู่เฉินซีเอื้อมมือไปกอดเธอดมกลิ่นหอมที่กระจายออกมา ทำให้ใจที่หงุดหงิดของเธอสงบลงอย่างมาก

“ฐาลี่ ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเหนื่อยขนาดนั้น เธอไม่ต้องบีบตัวเองแบบนั้น” ฉู่เฉินซีถอนหายใจ พูดออกมาอย่างอดไม่ได้ ฐาลี่มาตรฐานสูงทำอะไรก็ตามต้องให้ดีที่สุดแต่หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปของที่ต้องสูญเสียก็จะยิ่งมากของที่ลืมก็ยิ่งมาก จนถึงตอนสุดท้ายถึงจะพบว่าชีวิตแบบนี้มันเหนื่อยขนาดไหน

“เฉิน……..” เธอโอบมาข้างหน้าเขาพิงเบาๆที่เขา ยื่นมือมาจับแขนเขาส่งเสียงออกมาเบาๆ

“เฉิน ที่จริงฉันแคร์มาก แคร์ที่นายไปมีผู้หญิงคนอื่น”

พูดพร้อมแนบตัวไปที่เขาอย่างอบอุ่น การกระทำที่นุ่มนวลริมฝีปากเย็นประทับไปที่ตัวเขา

อารมณ์เร่าร้อนที่เหมือนกลับไปตอนที่พวกเขารักกัน ทั้งสองคนต่างคุ้นเคยฝั่งตรงข้ามแม้แต่จูบยังคุ้นเคยอย่างมาก จูบที่ประสานกันอย่างสอดคล้องพัวพันอยู่ด้วยกัน

“เฉิน หากฉันเร่าร้อนสักนิด ระหว่างพวกเราสองคนคงจะไม่เย็นชาขนาดนี้ใช่ไหม?” หน้าผากของฐาลี่วางทาบบนหน้าผากเขามองไปที่เขาอย่างลึกซึ้ง

ฉู่เฉินซีนิ่งไม่พูดอะไรทำเพียงแค่มองเธอ ที่จริงยังรู้สึกไม่คุ้นกับฐาลี่ที่เป็นแบบนี้

“พวกเรายังมีโอกาสไหม?” เธอถามด้วยความรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง เริ่มต้นถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกก่อน “เฉิน พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้หรือไม่?”

เสียงที่อ้อนวอนของเธอ ไม่มีคราบของหญิงสาวที่ยิ่งใหญ่ ในดวงตามีหมอกเพิ่มขึ้นมาชั้นหนึ่ง

“เฉิน ให้โอกาสฉันนะ” เธอจูบเบาๆที่ปากเขา เดิมที่ท่าทางธรรมดาแบบนั้นกลับทำให้ใจของเขารู้สึกสงสารจับใจ

สายตาที่เผยรอยยิ้ม เสียงต่ำพูดเบา“นายยังมีความรู้สึกต่อฉัน”

มือเล็กเลื่อนลึกลงไปในกางเกงของเขาอย่างไม่หักห้าม จับกุมความร้อนของเขา

ฉู่เฉินซีเหล่มองไปยังผู้หญิงในอ้อมกอด สายตาที่มองยิ่งลึกขึ้น ห้ามไม่ได้ที่จะกุมมือเธอออกแรงให้เธอเขามาอยู่ในอ้อมกอด…….

หลินเวยมี่นั่งอยู่บนเตียงอย่างน่าเบื่อ ใจที่หงุดหงิดคิดไปเรื่อยมองดูเวลา เมื่อกี้หรือว่าเธอจะพูดแรงไป ถึงแม้จะหงุดหงิดขนาดนั้นก็ไม่ควรทำแบบนั้นกับฉู่เฉินซี? สิ่งที่สำคัญที่สุดระหว่างคนรักคือความเชื่อใจถ้ายังทำไมได้จะรักกันได้ไง?

คิดได้แบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ ที่เธอทำไปเมื่อกี้มันรุนแรงไปแล้ว มิน่าฉู่เฉินซีถึงได้โกรธขนาดนั้น

หากเธอไม่ไปขอโทษ ไปๆมาๆไม่รู้จะเป็นยังไง ว่าแล้วก็เปิดประตูเดินไปทางห้องสมุด

เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องสมุด ก็พยายามเตรียมใจ

“อ่า…..”

เสียงผู้หญิงที่ส่งออกมาเบาๆจากห้องสมุดกระทบเข้าที่หูของเธออย่างชัดเจน ทั้งตัวเธอแข็งทื่อไป ร่างกายรู้สึกหนาว สมองเบลอๆสีหน้าซีดขาว

เป็นฉู่เฉินซีอย่างไม่ต้องสงสัยที่อยู่ในห้องสมุด แต่ว่าผู้หญิงในห้องนี้จะเป็นใคร

เท้าเหมือนถูกตอกตะปูไม่สามารถขยับไปไหนได้ ความคิดของเธอตอนนี้เพียงอยากหนีไปจากที่นี่แต่กลับไม่สามารถขยับเท้าไปไหนได้

หยดน้ำไหลออกมาอย่างไม่บอกไม่กล่าวใจเหมือนว่ามีแต่ความว่างเปล่า

ที่แท้ความรักระหว่างคนสองคนที่ทะนุถนอมจะสามารถถูกทำลายด้วยผู้หญิงคนอื่นได้ เดิมที่เธอก็เข้าใจว่าความรักก็เป็นแบบนี้มาตลอด

จนถึงตอนนี้เธอไม่รู้ว่าเธออดทนมาตลอดเพื่ออะไร? ตัวเองคงมองตัวเองสูงไปแล้ว เข้าใจว่าในสายตาเขาที่มีต่อเธอต่างจากคนอื่น

“พี่ ยื่นอยู่ตรงนี้ทำอะไร?”

เสียงสงสัยดังขึ้นมา จิตใต้สำนึกของหลินเวยมี่สั่งให้หันหลังเดินจากไป ไม่อยากให้ใครได้เห็นความเสียใจของเธอ

เท้าลื่นลงมาเสียงดังครั้งหนึ่ง ล้มลงบนพื้นอย่างจริงจัง

รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน

รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน

Status: Ongoing

หลินเวยมี่ดื่มไปหนึ่งแก้วแล้วก็เมามาย เธอผลักประตูเดินเข้าไปในห้องของโรงแรม เมื่อสบตากับดวงตาสีน้ำตาลที่เข้มลึกนั้น ฉู่เฉินซีรู้สึกถึงความผิดปกติของเธอ ก้มหน้าลงแล้วจูบเธอเบาๆ ตั้งแต่นั้นมาเธอกับเขาก็เริ่มเกี่ยวพันกัน……….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท