บทที่ 178 หลินเวยมี่ เธอทำให้ฉันโมโหเหลือเกิน
ภายในห้องคนไข้อันเงียบสงัด ขนตาของใครบางคนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้สั่นกระพริบ จากนั้นมองไปรอบๆ หยิบน้ำบนโต๊ะขึ้นมาดื่ม หน้าผากปวดแสบปวดร้อน ไม่มีแรงไปทั้งตัว
หล่อนพอจะเดาออกได้ว่าที่นี่คือโรงพยาบาล แค่คิดไม่ถึงเลยว่า คุณท่านฉู่จะไม่ฆ่าหล่อน
หล่อนขมวดคิ้วแน่น ตอนนี้ยังไม่ควรดีใจเร็วเกินไป ค่อยๆเดินลงมาจากเตียง เปิดประตูห้องออก กำลังจะออกไป ผู้ชายใส่ชุดสูทสีดำสองคนเดินมากันด้านหน้าของหล่อนไว้
“คุณหลิน คุณห้ามออกไปไหน”
หลินเวยมี่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นปิดประตูดังปั้ง สายตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ไม่ว่ายังไงคุณท่านฉู่ยังคงเคืองแค้นหล่อน แค่เปลี่ยนที่เท่านั้น
หล่อนเดินไปมาในห้องคนไข้อย่างเบื่อหน่าย หล่อนควรจะคิดวิธีหนีออกไปให้ได้ ไม่เช่นนั้น เกิดคุณท่านฉู่อารมณ์ไม่ดีขึ้นมา อาจจะเรียกหล่อนไปฆ่าอีกก็เป็นได้
หล่อนรีบเดินไปที่หน้าต่างข้างห้อง แต่กลับต้องผิดหวังอีกครั้ง ที่นี่สูงมาก นอกเสียจากว่าหล่อนจะมีปีก ไม่เช่นนั้น คงหนีออกไปไหนไม่ได้
ทันใดนั้นหล่อนรู้สึกพะอืดพะอม เหมือนจะอาเจียนออกมา
หล่อนรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำทันที พยายามอาเจียนอยู่หลายรอบ แต่ก็ไม่มีอะไรออกมา หล่อนไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว แม้ว่าจะไม่หิว แต่หล่อนรู้สึกไม่มีอ่อนแรงไปทั้งตัว
หลินเวยมี่เงยหน้ามองหญิงสาวในกระจก สีหน้าของหล่อนซีดเซียวจนทนดูไม่ได้ หล่อนขมวดคิ้วขึ้น ทันใดนั้นความคิดอันน่ากลัวก็แวบเข้ามาในหัว พวกเขาไม่เคยมีการป้องกันเลย หรือว่าจะ…
ความรู้สึกแย่จนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้พลั่งพลูออกมาทันที หล่อนทั้งรู้สึกดีใจและเป็นกังวล เพราะสถานการ์ของหล่อนต่างกัน อีกอย่างหล่อนจะมีความสามารถปกป้องเขาได้เช่นไร?
ถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ พิงกำแพงลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง หล่อนกุมมือไปที่ท้อง ไม่กล้ามั่นใจว่าท้องลูกน้อยอยู่จริงหรือไม่?
ประตูถูกเปิดออก หลินเวยมี่รู้สึกเกร็งไปหมดทั้งตัว รีบออกมาจากห้องน้ำทันที
ใครบางคนที่คุ้นเคยเดินตรงเข้ามา ฉู่เฉินซียืนอยู่ข้างเตียงด้วยความกังวลใจ เพราะเขาไม่เจอคนที่เขาอยากพบ แต่เมื่อหันหลังกลับมา เขาหยุดชะงักลงทันที
ทั้งสองเผชิญหน้ามองตากัน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิ้มขึ้นมาก่อน จากนั้นใบหน้าของทั้งสองจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้น รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเชื่อใจและสบายใจ
“ฉันรู้ดีว่านายต้องมาช่วยฉัน” หลินเวยมี่ยิ้ม น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเขา ค่อยๆเดินเข้าไปกอด ซุกเขาไปในอ้อมอกของเขา
“เด็กโง่ ต่อไปห้ามออกไปไหนมั่วซั่วอีกนะ รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน?”
หลินเวยมี่ยิ้มพลางพยักหน้าลง เมื่อซบลงไปที่ตัวเขา หล่อนรู้สึกได้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย
ทั้งสองไม่ได้กลับไปที่บ้านแต่ไปเปิดห้องพักที่โรงแรม หลินเวยมี่นั่งอยู่บนเตียง สะบัดผมที่เปียกไปกองไว้ที่ไหล่ด้านหนึ่ง ทำให้เห็นใบหน้าชัดเจนขึ้น ดูไปแล้วทั้งทะเล้นและสวย
เสียงเปียโนบรรเลงขึ้นภายในห้อง หลินเวยมี่ตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างตั้งใจ จนสีหน้าออกรสออกชาติ
“อยากเล่นเปียโนเหรอ?” ฉู่เฉินซีใส่ชุดนอนหลวมๆ ในมือที่แก้วไวน์สองใบ
หลินเวยมี่รับไวน์มาจากเขา เขย่าไปมา พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ “นายรู้ได้ไงว่าฉันเล่นเปียโนเป็น?”
หล่อนจำเรื่องที่เคยพูดกับฉู่เฉินซีไปไม่ได้ แล้วเขารู้ได้ยังไงล่ะ? รู้สึกเหมือนโดนล้วงความลับ
“ฉันเป็นแฟนของเธอนะ มีอะไรเกี่ยวกับเธอที่ฉันยังไม่รู้อีกบ้าง?” เขายิ้มพลางหยิกจมูกหล่อน ยิ้มอย่างมีเลศนัย
หลินเวยมี่กรอกตามองบน ทำไมหล่อนถึงลืมคิดไปได้ว่าฉู่เฉินซีเป็นคนยังไง? เขาอยากรู้เรื่องอะไรคงไม่ต้องรอให้หล่อนบอกหรอก
“ไม่อยากสนใจแล้ว”
“ไม่อยากสนใจฉัน แค่ฉันสนใจเธอก็พอแล้ว” เขายิ้มพลางนั่งลงไปบนเตียง ให้หล่อนพิงหน้าอกของตัวเอง มือของเขาซุกซนไปจับหน้าอกของหล่อน
หลินเวยมี่พิงอยู่ในอ้อมอกของเขา ยื่นมือออกไปวางแก้วลง สายตามองเขาอย่างลึกซึ้ง นึกถึงแผ่นทดสอบที่ซื้อมาในกระเป๋าขึ้นได้ หล่อนจึงรีบหยิบกระเป๋าเข้าไปให้ห้องน้ำทันที
หล่อนตรวจด้วยความตื่นเต้น ไม่รีรอให้แผ่นทดสอบนั้นแสดงผล หล่อนก็รีบเปิดประตูออกมา หลินเวยมี่หายใจไม่เป็นจังหวะ รู้สึกกลัวจนโยนกระดาษนั้นทิ้งออกไป มองฉู่เฉินซีที่เดินเข้ามาด้วยความตกใจ
ฉู่เฉินซีมองดูสีหน้าอารมณ์ของหล่อน ถามขึ้นด้วยความงุนงง “ทำไมทำหน้าเหมือนเจอผู้ร้ายเลยล่ะ”
“นายก็คือผู้ร้ายนั่นแหละ” หล่อนกระพริบตาไปมา เบี่ยงสายตามองไปอีกด้าน ใจยังเต้นรัวไม่หยุด
“ฉันไม่ได้ร้ายใส่เธอมานานแล้วใช่ไหม?” จู่ๆเข้ายิ้มและพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคลุมเครืออย่างมีเลศนัย
“ฉันเหนื่อยแล้ว ออกไปก่อนนะ” หลินเวยมี่เปิดประตูออกไปอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ ไม่สนใจสีหน้าอันผิดหวังของฝ่ายชายที่อยู่ด้านหลังเลยสักนิด
หลินเวยมี่นอนพลิกตัวไปมา มีเรื่องคิดมากอยู่ภายในใจจนนอนไม่หลับ หล่อนยังไม่เห็นผลลัพธ์ของแผ่นทดสอบนั้น จึงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
หล่อนไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับฉู่เฉินซี เพราะยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้าหล่อนบอกเขาไป แล้วไม่ได้ตั้งท้องจริงๆ คงจะกลายเป็นเรื่องขบขันเปล่าๆ
ฉู่เฉินซีซุกเข้ามาในผ้าห่ม จากนั้นดึงหญิงสาวเข้ามากอดในอ้อมอก ยกคางขึ้นไปเกยบนหัวของหล่อน ลมหายใจอันเร่าร้อนรดลงบนใบหูของหล่อน เขาซอกไซร้ไปที่ใบหูของหล่อน จนทำให้หล่อนจักจี้สั่นไปทั้งตัว
“ฉู่เฉินซี ฉันง่วงแล้ว ขอนอนก่อนนะ” หล่อนผลักเขาออกไปด้านข้าง
“ราตรีนี้อีกยาวไกล เราไม่ทำอะไรกัน เธอจะไม่รู้สึกเบื่อเหรอ?” เขาพูดพลางมือจับไปที่หน้าอกของหล่อน จากนั้นเขยิบตัวเข้ามาใกล้ชิดหล่อนอีกครั้ง
ลมหายใจอันแสนอุ่นห้อมล้อมทั้งสองไว้ หลินเวยมี่กัดฟันแน่น พูดขึ้นด้วยเสียงนิ่งขรึม “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเหนื่อย จะนอนแล้ว!”
ฉู่เฉินซีฟังเสียงก็รู้ว่าหล่อนกำลังไม่พอใจ เขาชะงักไปทันที ปล่อยตัวหล่อนออก จากนั้นนอนหันหลังให้หล่อน
หลินเวยมี่ตกใจกับท่าทีของเขา จึงหันหลังไปมองแผ่นหลังของเฉิน น้ำตาเริ่มคลอเบ้า หันกลับไปกอดเขาอย่างแนบแน่น
“ฉู่เฉินซี นายเหวี่ยงใส่ฉันอีกแล้วนะ! เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ถึงกับต้องเหวี่ยงใส่ฉันขนาดนี้เลยเหรอ ฉัน…”
“โอ๊ย” ฉู่เฉินซีนิ่งไปสักพัก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
หลินเวยมี่หน้าถอดสีทันที ปล่อยมือออก เห็นแผลบนหลังของเขา หล่อนตกใจตะลึงขึ้นมาทันใด รีบถามขึ้น “หลังของนายไปโดนอะไรมา?”
ฉู่เฉินซียิ้มด้วยความเจ็บปวด พูดปลอบใจตัวเอง “ไม่มีอะไรมาก แค่แผลภายนอก ฉันไม่กลัวความเจ็บแค่นี้หรอก”
หล่อนถอนหายใจออก สายตาเต็มไปด้วยความสงสาร คิดไม่ถึงเลยว่าคุณท่านฉู่จะลงไม้ลงมือกับลูกชายตัวเองได้โหดเหี้ยมขนาดนี้
“ฉู่เฉินซี ฉันขอโทษ เป็นเพราะความสะเพร่าของฉันเอง ที่ทำให้นายต้องโดนทำร้ายขนาดนี้” สีหน้าของหลินเวยมี่เศร้าโศก ถ้าไม่ได้เป็นเพราะหล่อนทำให้คุณท่านฉู่โกรธโมโห จะเกิดเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?
“ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย เธอคิดมากไปแล้ว” เขาพยายามออกแรงหันหลังกลับมา เอื้อมมือไปกอดหล่อนมาไว้ในอ้อมอก คางค้ำหัวของหล่อนไว้ “ขอเพียงแค่วันหลังมีเรื่องอะไรให้บอกฉัน อย่าไปที่ไหนเพียงลำพังแบบนี้อีก ฉันเป็นห่วง”
หลินเวยมี่พยักหน้าลง ไม่พูดอะไรต่อ สีหน้าผิดหวังเสียใจ เมื่อนึกถึงคำพูดที่คุณท่านฉู่พูดกับหล่อน ความสงสัยก็เกิดขึ้นมามากมาย
“ฉู่เฉินซี คุณท่านฉู่กับรั่วหรานทั้งสองเป็นอะไรกันแน่?” หล่อนเงยหน้าขึ้น สีหน้าใจจดใจจ่ออย่างตื่นเต้น “แบบนี้พวกเรา…”
“สมองน้อยๆของเธอกำลังคิดอะไรอยู่? เธอคิดว่าพวกเรามีสายเลือดเดียวกัน?” เขายิ้มเล้กน้อย ยื่นมือไปหยิกมุมปากหล่อน
“แต่ รั่วหรานเป็นคนรักของคุณท่านฉู่ไม่ใช่เหรอ?” หล่อนพูดด้วยความผิดหวัง ก้มหน้าลง หล่อนกลัวว่าจะมีสายเลือดเดียวกับฉู่เฉินซีจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น หล่อนคงสติแตกตาย
ฉู่เฉินซีไม่พูดอะไร เพียงแต่กอดหล่อนไว้แน่นขึ้น สายตาของเขาสั่นคลอนท่ามกลางความมืด
เช้าวันต่อมา หลินเวยมี่ได้กลิ่นหอมฟุ้ง จนต้องลืมตาขึ้นมา พร้อมด้วยเสียงท้องร้องโครมคราม
หล่อนมองฉู่เฉินซีด้วยสายตาออดอ้อน ใบหน้าแดงก่ำ “ฉันหิวแล้ว”
“ฉันได้ยินแล้ว” เขาเม้มปากยิ้มขึ้น รอยยิ้มอย่างมีความสุขเต็มเปี่ยมไปบนใบหน้าอันหล่อเท่ห์ของเขา
หลินเวยมี่ทำตัวไม่ถูก จึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ รีบล้างหน้าล้างตา จากนั้นเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าหล่อนโยนแผ่นทดสอบทิ้งไว้ หล่อนก้มลงหา แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าของฉู่เฉินซีเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ขมวดคิ้วขึ้นพลางเปิดประตูห้องน้ำออก มองฉู่เฉินซีด้วยสีหน้าโกรธเคือง พูดขึ้น “ทำไมฉันมาห้องน้ำแล้วนายต้องตามมาด้วย จะแอบดูฉันรึไง?”
“ฉันต้องแอบดูอีกงั้นเหรอ?” เขายิ้มพลางเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างกระจก โกนหนวดด้วยสีหน้านิ่งเฉย
หลินเวยมี่ยิ่งกลุ้มใจมากขึ้น หล่อนปิดประตูดังปั้ง หล่อนคิดเพียงแต่ว่าแผ่นทดสอบที่หล่อนโยนทิ้งไป หล่อนยังไม่เห็นผลทดสอบนั้นไม่สำคัญ ที่น่ากังวลยิ่งกว่า ถ้าฉู่เฉินซีเห็นแล้วจะทำยังไงดี?
สูดหายใจเข้าลึก หล่อนย้อนคิดไปถึงสมัยก่อนที่ฉู่เฉินซีให้เซียวหย่าไปซื้อยาจีนนานาชนิดมาให้หล่อน หล่อนไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีก
ทั้งสองรีบหาอะไรกิน จากนั้นรีบออกจากโรงแรม หลินเวยมี่เดินนำหน้า วันนี้อากาศร้อนมาก แดดจ้าจนทำให้หล่อนแทบลืมตาไม่ขึ้น
ทันใดนั้น หล่อนรู้สึกว่ามีสายตาของใครบางคนจดจ้องมาที่หล่อนอย่างดุดัน
หล่อนหรี่ตาลงมองไปที่ถนนฝั่งตรงข้าม ตัวเกร็งจนก้าวเท้าไม่ออกขึ้นมาทันที
“เป็นอะไรไป?” ฉู่เฉินซีถามหล่อนด้วยท่าทีมึนงง จากนั้นมองตามหล่อนไป กู้จุนเฟิงยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ทั้งสองมองตรงไปพร้อมกัน ราวกับลืมเรื่องราวทุกอย่าง เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน
ลืมเรื่องทุกอย่าง เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน…
สีหน้าของฉู่เฉินซีค่อยๆถอดสี ความรู้สึกเศร้าเสียใจทวีคูณขึ้นมามากขึ้น ไม่อยากเห็นหลินเวยมี่ต้องเสียสติเพราะผู้ชายคนอื่น
“หลินเวยมี่ ยังดูไม่พออีกหรือไง?” จู่ๆเขาก็บังหน้าหล่อนไว้ ยิ้มเย้ยขึ้น ความโกรธโมโหแผ่ซ่านไปทั้งตัว
หลินเวยมี่ตกใจตะลึง พูดขึ้น “นายโกรธเหรอ?”
ฉู่เฉินซียหัวเราะเยอะ มือใหญ่หนาของเขาตบลงที่บ่าของหล่อนอย่างแรง “เธอคิดว่าไงล่ะ?”
หลินเวยมี่หน้าชาขึ้นมาทันที ผลักเขาออกไป หันไปมองฝั่งตรงข้าม ไม่เห็นคนที่ยืนอยู่เมื่อครู่แล้ว
หล่อนผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ฉู่เฉินซีแทบจะเป็นบ้า กู้จวินเฟิงสำคัญกับหล่อนมา สำคัญจนทำให้หล่อนละเลยเขาได้?
“หลินเวยมี่ เธอทำให้ฉันโกรธจริงๆ” เขาพูดขึ้นด้วยเสียงนิ่งขรึม สีหน้าถอดสีไม่สบอารมณ์