บทที่ 182 สายตาโกหกไม่ได้
หลินเวยมี่รู้สึกสะเทือนใจ เจ็บปวดใจเหลือเกิน หล่อนสูดหายใจเข้าลึก อดกลั้นอารมณ์ทุกอย่างไว้ จากนั้นพาเขาไปนั่งที่โซฟา ค่อยๆใช้สำลีฆ่าเชื้อเช็ดไปที่แผลของเขา
เลือดที่แผลหยุดไหลอย่างรวดเร็ว หล่อนค่อยๆเช็ดคราบเลือดบริเวณรอบๆอย่างตั้งใจ
ฉู่เฉินซีมองดูหล่อนเงียบๆ ในใจรู้สึกทนแทบไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องหันไปมองหล่อนอีก
จนกระทั่งหล่อนทำแผลให้เขาเสร็จ ทั้งสองไม่พูดอะไรกันอีก
หลินเวยมี่นั่งอยู่ที่มุมโซฟา ก้มหน้าลง ถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ฉู่เฉินซี ฉันขออะไรหนึ่งอย่างได้ไหม”
แม้ว่าเสียงของหล่อนจะนิ่งเฉยราวกับไม่มีอารมณ์อะไร แต่ฉู่เฉินซีกลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของหล่อน ทั้งสองนั่งกันอย่างเงียบๆ ไม่พูดจา ไม่รู้ว่าต่างฝ่านต่างคิดอะไรกันอยู่
“ช่างเถอะ ฉันเหนื่อยแล้ว ขึ้นไปข้างบนก่อนนะ”
ท้ายสุดหลินเวยมี่ทนความเงียบไม่ไหว จึงเอ่ยปากขึ้นก่อน จากนั้นเดินขึ้นไปด้านบน เสมือนกับมีปุยนุ่นอัดเต็มในหน้าอก ทำให้โกรธไม่ลง
ฉู่เฉินซีเงยหน้าขึ้น มองดูหล่อนเดินจากไป สายตาเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
วันต่อมา เมื่อหลินเวยมี่กำลังจะออกจากบ้าน แต่กลับพบว่าฉู่เฉินซียังคงอยู่ หล่อนทำอาหารเช้าสองชุดเหมือนปกติ ชุดหนึ่งวางไว้ด้านหน้าของเขา ทั้งสองนั่งมองหน้าเข้าหากัน ฉู่เฉินซีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ แต่กลับไม่มองหล่อนเลยแม้แต่น้อย
หล่อนนั่งกินอาหารเช้าอย่างเงียบๆ บรรยากาศระหว่างทั้งสองผิดปกติอย่างมาก
“ฮัลโหล เฉิน พวกเราไปกันเถอะ” ฐาลี่กับElisเดินออกมา ยิ้มให้เขา
ฉู่เฉินซีเงยหน้าขึ้น จากนั้นเหลือบมองหลินเวยมี่ “ไปด้วยกันสิ”
หลินเวยมี่อึ้งตะลึง สบตามองเขา “ไปที่ไหน?”
“พวกเราจะไปทะเลกัน คุณหลินผิวพรรณบอบบาง ไปแล้วคงโดดแดดเผาจนดำ ไม่ต้องไปคงดีกว่านะ” Elisยิ้มพูดขึ้น สายตาเหยียดหยาม
หลินเวยมี่ตกใจกับพูดของเขา จานนั้นยิ้มขึ้น “ฉันจะไป”
Elisยิ้มเย้ย เดินออกไปด้านนอกก่อน
“ฉันมีชุดว่ายน้ำสองชุดพอดี ให้เธอยืมหนึ่งชุดแล้วกัน” ฐาลี่พูดอย่างเป็นมิตร
“ขอบคุณนะ” หลินเวยมี่ยิ้มเล็กน้อย
ทั้งสี่ออกเดินทางด้วยกัน ฉู่เฉินซีเป็นคนขับรถ ส่วนหล่อนและElisนั่งอยู่ด้านหลัง Elisปั้นหน้ายื่นเล็บสีใหม่แวววาว จนกลิ่นทินเนอร์โชยฟุ้งไปทั้งรถ
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วแน่น เปิดกระจก ให้ลมโกรกเข้ามา
แต่หล่อนกับรู้สึกพะอืดพะอม ใช้มือกุมไปที่ท้อง ได้โปรดอย่าเพิ่งเป็นอะไรตอนนี้เลย แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งรู้สึกทรมานมากขึ้น
“ฉู่เฉินซี จอดรถ!” หล่อนพูดขึ้นด้วยใบหน้าซีดเซียว
รถจอดสนิทลงทันที หลินเวยมี่รีบเปิดประตูรถออก วิ่งตรงไปที่ต้นไม้ข้างทางอาเจียนออกมา
ฝ่ามือหนาใหญ่อุ่นๆวางลงบนหลังของหล่อน จากนั้นพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เมารถเหรอ?”
หลินเวยที่ตกใจตะลึง รีบพยักหน้าลง “ช่วงนี้ท้องไม่ค่อยดี”
จากนั้นหล่อนยื่นมือไปรับน้ำที่ฉู่เฉินซีเอามาให้ บ้วนน้ำทิ้ง และกลับขึ้นไปบนรถอีกครั้ง
“ตัวซวยจริงๆเลย!” Elisพูดด้วยความไม่พอใจ เบือนหน้าไปอีกด้านหนึ่ง
หลินเวยมี่ไม่อยากสนใจเขา จึงพิงหัวไปที่ที่หน้าต่าง ค่อยๆปิดตาลง
เมื่อถึงทะเล กลับพบว่าป่ายห้าวถึงก่อนแล้ว เขาใส่กางเกงว่ายน้ำเดินตรงมาโบกมือให้พวกเขา
Elisกับฐาลี่เปลี่ยนชุดเสร็จก็ลงไปเล่นน้ำ แต่หลินเวยมี่กลับนั่งอยู่ที่ชายหาด มองดูฉู่เฉินซีที่ห่างออกไปไม่ไกล
แขนของเขายังเจ็บอยู่ ว่ายน้ำไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ จึงขึ้นมาบนฝั่งอย่างรวดเร็ว
“เฉิน มาช่วยฉันย่างเนื้อสิ” ป่ายห้าวหันไปพูดกับเขา เหงื่อไหลพรากเต็มหน้า
“ฉันช่วยทำเอง” หลินเวยมี่เดินเข้าไป หยิบปีกไก่ ไส้กรอกวางลงบนเตาย่าง
“เฉิน งั้นพวกนายย่างเถอะ ฉันไปเล่นน้ำก่อน” ป่ายห้าวยิ้มอย่างมีเลศนัย วางของในมือไว้อีกด้าน จากนั้นเดินลงทะเลไปทันที
ทั้งสองปิ้งย่างกันอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร หลินเวยมี่ขมวดคิ้วขึ้น เงยหน้ามองเขา
“ฉู่เฉินซี ฉันทำอะไรผิดกันแน่?”
ฉู่เฉินซีตะลึงไปครู่หนึ่ง เงยหน้ามองหล่อนด้วยความรู้สึกงุนงง “เธอกำลังพูดอะไรอยู่?”
“ทำไมนายต้องเย็นชาใส่ฉันด้วย?” หลินเวยมี่กัดฟันพูดขึ้น
เขายิ้มเจื่อน สายตามองลงไปที่เตาปิ้งย่าง พูดด้วยเสียงนิ่งเรียบ “ผู้หญิงที่ฉลาดจะไม่ถามคำถามเช่นนี้”
หลินเวยพี่มองเขาอย่างตกตะลึง รู้สึกปวดใจขึ้นมา พยักหน้าลง “นายพูดถูก ผู้หญิงที่ฉลาดควรจะไปตั้งแรกแล้ว ฉันมันโง่ โง่มาก!”
สายตาอัดอั้นไปด้วยน้ำตา สูดหายใจเข้าลึก อดกลั้นความปวดใจไว้ เขาไม่ยอมพูดอะไร งั้นก็คงตีความได้เหมือนที่หล่อนพูดใช่ไหม?
หล่อนจะเลิกกับเขาจริงเหรอ?
“ฉู่เฉินซี ฉันจะไม่ไปไหน!” หล่อนกัดฟันพูดขึ้น สูดหายใจเข้า “นายทำแบบนี้ก็คงอยากให้ฉันออกไปจากชีวิตนาย ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น นายจะทำอะไรฉันได้?”
“เวยมี่ บางทีคนเราอยู่ด้วยกันไม่ได้พึ่งความรักแค่อย่างเดียว ความรักก็เหมือนกับสิ่งแต่งเติมชีวิตที่แห้งเหี่ยว ทำไมต้องจริงจังด้วย?” สายตาของเขาเย็นชาอย่างมาก เมื่อคำพูดที่เขาพูดออกมา ช่างเย็นชาเหลือเกิน
สิ่งแต่งเติมให้ชีวิตที่แห้งเหี่ยว? แล้วตอนนั้นเขาจะจีบหล่อนทำไม? ตอนนี้หล่อนรักเขาเต็มหัวใจ จนไปไหนไม่ได้ แต่เขากลับเย็นชาหันหลังเดินออกไป บอกว่าไม่ต้องจริงจัง?
ทำไมเขาถึงได้ใจร้ายช่นนี้?
“ฉันไม่เชื่อ เป็นเพราะคุณท่านฉู่กดดันนายใช่ไหม? เขาไม่ให้เราคบกันใช่ไหม?” หลินเวยมี่ถามด้วยความสงสัย
“ทำไมเธอยังไม่เข้าใจอีก?”
“ฉันต้องเข้าใจอะไรงั้นเหรอ? เข้าใจว่านายแค่เห็นฉันเป็นของเล่น? นายเลือกที่แต่งงานกับฐาลี่เพื่อผลประโยชน์? นี่คือสิ่งที่นายเลือกใช่ไหม?”
เสียงของหล่อนสั่นคลอนเล็กน้อย ราวกับกำลังอดกลั้นความรู้สึกที่กดทับในจิตใจมากมาย
ฉู่เฉินซีเม้มปาก พูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “แล้วแต่เธอจะคิด”
“ฉู่เฉินซี นายมันไอ้สารเลว!”
ท่ามกลางเสียงด่ากันไปมาขณะนั้น เสียงตบหน้าดังเพี๊ยะก็ดังตามมา มือของหล่อนตบไปที่หน้าของเขาอย่างจัง จนมือชาไปหมด
“นายมีสิทธิ์อะไรที่จะไปจากฉันตอนนี้? พอรักฉันแล้วทำไมต้อง…” หลินเวยมี่สะอึก น้ำตาไหลพรากออกมา เบือนหน้าไปอีกด้านหนึ่ง หลับตาลงให้น้ำตารินไหลลมา
ทำไมเขาถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้? หล่อนไม่สนใจว่าเขาจะแต่งงานกับใคร แค่อยากอยู่เคียงข้างเขา หรือคำขอร้องเล็กๆของหล่อนเพียงแค่นี้เขาก็ให้ไม่ได้?
“ฉู่เฉินซี นายเลือกที่จะทิ้งฉันแล้วจริงๆใช่ไหม? ฉันยอมให้นายแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นได้ นี่ยังไม่พออีกเหรอ? จะต้องให้ฉันไปจากชีวิตนายเท่านั้นหรอ?”
หลินเวยมี่ถามขึ้นด้วยท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ หล่อนรักจนยอมลดค่าของตัวเอง นี่ยังไม่เพียงพอในการแลกกับรักของเขาเลยสักนิดงั้นเหรอ?
“เฮ้อ พวกเธอทะเลาะอะไรกันเนี่ย…” ป่ายห้าวเดินเข้ามา มองดูพวกเขาทั้งสอง เม้มปากขึ้นทันที “ปกติพวกเธอสองคนรักกันปานจะเป็นคนคนเดียวกันแล้ว ทำไมตอนนี้ถงทะเลาะกันล่ะ?”
หลินเวยมี่หันหลังไปปาดน้ำตา ย่างอาหารต่อ “ฉันจะไปหนีหายไปไหน? เธอก็ห้ามไปจากฉันเช่นกัน ได้ยินแล้วยัง?”
ฉู่เฉินซีเงยหน้าขึ้น ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไงกันแน่ ทั้งชอบในทัศนคติที่หล่อนมุ่งมั่นพยายามกับเรื่องความรัก แต่กลับทุกข์ใจที่เขาไม่สามารถสานต่อความรักกับหล่อนอีกแล้ว
“เวยมี่ เธอร้องไห้ทำไมล่ะ” ป่ายห้าวเดินเข้าไปหาหล่อน หยิบทิชชู่ยื่นให้ “มีเรื่องอะไรก็คุยกันดีๆ ไม่ทะเลาะกัน”
หลินเวยมี่สะอื้น คัดจมูก เช็ดคราบน้ำตาจนแห้ง ฝืนพูดขึ้น “ขอบคุณนะ”
“ไอ้หยา เฉินนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” Elisมองรอยตบบนใบหน้าเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ สายตามองไปทางหลินเวยมี่ไม่หยุด
ฐาลี่มองพวกเขาอย่างตั้งใจ ไม่พูดอะไร หยิบน้ำแข็งก้อนหนึ่งเดินตรงไปหาเขา “เฉิน มานี่สิ ฉันประคบให้”
ฉู่เฉินซีที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ค่อยๆเดินไปก้มตัวลงให้ฐาลี่ประคบน้ำแข็งให้
ฐาลี่สูงแค่ไหล่ของฉู่เฉินซี เอื้อมมือขึ้นไปประคบ แต่เขากลับไม่รู้สึกปวดเลยสักนิด
หลินเวยมี่หันหน้ากลับไปด้วยความผิดหวัง และบังเอิญเห็นสีหน้าอันทุกข์ใจของป่ายห้าวพอดี หล่อนตกใจตะลึง หันกลับไปมองฐาลี่อีกครั้ง ส่ายหน้าไปมา
“เธอเป็นคนตบหน้าเฉินใช่ไหม” Elisยืนขวางหน้าหล่อนด้วยท่าทีโกรธโมโห ยื่นมืออกมาผลักไหล่หล่อน
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วขึ้น “เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย?”
“ฉันถามว่าใช่หรือไม่!”
“ถ้าฉันตบจริงแล้วเธอจะทำอะไร?”
เมื่อหล่อนพูดจบ Elisง้างมือขึ้น ยังไม่ทันได้ตบ กลับถูกหลินเวยมี่จับมือของหล่อนไว้อย่างเต็มแรง Elisใช้แรงขัดขืน แต่กลับไม่มีแรงพอที่จะสะบัดออก
“Elis เธอมีสิทธิ์ตบฉัน?” หลินเวยมี่ทำท่าทีเยาะเย้ย “ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร? คุณElis!”
หลินเวยมี่ผลักหล่อนไปอีกด้านหนึ่ง กระแอมขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเดินตรงไปที่รถ
ใช้มือจับไปที่ท้อง สายตาบ่งบอกถึงความเจ็บปวด หล่อนห้ามแสดงความอ่อนแอออกมา เกรงว่าจะถูกพวกเขารังแก เพื่อลูก ทำเพื่อลูก
กลับไปที่รถหยิบน้ำดื่ม รู้สึกขี้เกียจที่จะกลับไปตรงนั้น ป่ายห้าวเดินตามมา แม้ว่าใบหน้ายังมีรอยยิ้ม แต่หล่อนกลับเห็นสายตาอันโศกเศร้าของเขาอย่างชัดเจน
อาจจะเป็นเพราะเห็นตัวเองในตัวเขา หล่อนจึงรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“นายชอบฐาลี่?” หลินเวยมี่ถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
ป่ายห้าวมองหลินเวยมี่ด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเวยมี่จะสังเกตเห็น จึงรู้สึกเหมือนความลับถูกเปิดโปง
“เธอรู้ได้ยังไง?”
“เพราะสายตาของนายโกหกไม่ได้” หลินเวยมี่ยิ้ม มองไปที่ป่ายห้าว
“สายตา?” ป่ายห้าวเลิกคิ้วขึ้น ทำท่าทีเหนื่อยใจ “หล่อนคงมองไม่ออกใช่ไหม”
“พวกเราเป็นคนประเภทเดียวกัน เห็นนายก็เหมือนเห็นตัวฉันเอง รู้สึกเหน็ดเหนื่อยทุกข์ใจกับความรักขนาดนี้” หลินเวยมี่ยิ้มเย้ยออกมาพลางส่ายหน้า
“ไม่ อย่างน้อย เฉินก็รักเธอ แต่ฐาลี่กลับรักคนอื่น แต่ฉันก็ไม่คาดหวังว่าหล่อนจะคิดยังไงกับฉัน ฉันแค่อยากเห็นหล่อนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอแล้ว” ป่ายห้าวก้มหน้าลง สายตาหมดหวัง
หลินเวยมี่มองออกไปยังที่ไกลแสนไกล ฉู่เฉินซีรักหล่อน? ยิ้มเจื่อนขึ้นมา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อกี๊ฉู่เฉินซีเพิ่งจะบอกหล่อนเองว่าความรักก็เหมือนสิ่งเติมแต่งชีวิตที่แห้งเหี่ยวเท่านั้นไม่ใช่หรือไง?
เขาไม่ได้ปฏิเสธว่าเขาไม่รักหล่อน เพียงแค่ไม่จริงจักกับความรักที่มีให้หล่อน
แต่หล่อนเป็นผู้หญิงที่หากตั้งใจกับสิ่งใดแล้วจะไม่มีวันยอมแพ้หรือย่อถอย หล่อนไม่จริงจังไม่ได้ ความรักทั้งสองก็เหมือนกับการแข่งสกี การแข่งครึ่งแรกฉู่เฉินซีเป็นฝ่ายตามหล่อน ส่วนการแข่งขันครึ่งหลังหล่อนเป็นฝ่ายตามฉู่เฉินซี
ไม่ว่าความกังวลของเขาคืออะไร ขอเพียงแค่เขายังรักหล่อน ก็เพียงพอแล้ว หล่อนก็รู้สึกพอใจแล้วเช่นกัน