แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 181 ขอเพียงแค่บอกมา แล้วฉันจะเป็นฝ่ายไปเอง
ในโรงพยาบาล หลินเวยมี่เดินถือฟิล์มเอ็ซเรย์สีแบบสีออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความสุข ยิ้มไม่หุบ
ทันใดนั้น มีใครบางคนมายืนขวางหล่อนไว้ด้านหน้า หล่อนตกใจตะลึง เงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงตรงหน้า
“เธอมาที่นี่ได้ยังไง?”
“ฉันขอดูหน่อย” เฉินเห้าหมิงรีบแย่งฟิล์มในมือหล่อนไปดู มองดูสักพักจากนั้นคืนให้หล่อน สายตามีแสงวูบวาบขึ้นมา จากนั้นยิ้มพลางพูดขึ้น “เธอท้องงั้นเหรอ?”
หลินเวยมี่เลิกคิ้วขึ้น เก็บฟิล์มเรียบร้อย จากนั้นเหลือบมองเขา “ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายนะ?”
“แน่นอนว่าไม่เกี่ยวกับฉันโดยตรง ในเมื่อนี่ก็ไม่ใช่ลูกของฉัน” เฉินเห้าหมิงหัวเราะชอบใจ ดึงแขนของหล่อนเดินออกไป
หลินเวยมี่สะบัดแขนเขาอย่างไร้อารมณ์ สีหน้าไม่พอใจพูดขึ้น “ดึงแขนฉันทำไม?”
“ที่นี่คุยได้หรือไง?” เฉินเห้าหมิงหันไปมองหล่อน สายตาของหล่อนโกรธเกลียดเขาอย่างมาก ดูไปแล้วคงโกรธเขาเข้ากระดูกไปแล้ว
หลินเวยมี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในโรงพยาบาลไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการพูดคุยจริงๆ หล่อนขมวดคิ้วขึ้น “งั้นไปกันเถอะ”
ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านชานม เมื่อเดินเข้าไปในร้านก็ได้กลิ่นชานมหอมเตะจมูกขึ้นมาทันที
“รสเผือกเป็นรสนิยมที่นี่ เธอคงไม่รังเกียจใช่ไหม?” เฉินเห้าหมิงวางชานามไว้ตรงหน้าหล่อน มองหล่อนเงียบๆ
หลินเวยมี่ดื่มไปอึกหนึ่ง รู้สึกว่าหวานเกินไป จึงรีบส่ายหน้า “นายมาหาฉันถึงนี่มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ? ตอนนี้ไม่ต้องแอบแล้ว?”
สีหน้าของเฉินเห้าหมิงจองหองมากขึ้น ถือแก้วไว้ในมือแต่ไม่ดื่ม “แอบไปแอบมาเหนื่อยเหลือเกิน ฉันแค่รอให้ฉู่เฉินซีมาหาฉันด้วยตัวเอง”
“ฉันไม่สนใจเรื่องของพวกนายเลยสักนิด ว่ามา มีเรื่องอะไรกันแน่ ”
“มีความคืบหน้าเรื่องสถานะของเธอ” เฉินเห้าหมิงถอนหายใจออก สายตาเป็นทุกข์ พูดด้วยเสียงนิ่งขรึม “เพียงแค่ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ควรบอกเธอหรือไม่ เพราะเธอกำลัง่ท้องอยู่”
เมื่อหลินเวยมี่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้จึงรู้สึกตกใจขึ้นมาทันที รู้สึกได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร ก้มหน้าลงคิดอยู่นานจึงพูดขึ้น
“พูดมาเถอะ ฉันทำใจเตรียมไว้แล้ว”
อันที่จริงสิ่งที่หล่อนยอมรับไม่ได้มากที่สุดก็คือหล่อนกับฉู่เฉินซีมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดไม่ใช่หรือ? เรื่องอื่น หล่อนยังจะไปกลัวอะไร?
เฉินเห้าหมิงไม่พูดจา หยิบเอกสารฉบับหนึ่งยื่นให้หลินเวยมี่ เอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารปลอมที่ฉู่เฉินซีไม่ได้นำกลับมาจากคลินิกในวันนั้น และบังเอิญเป็นเอกสารที่เฉินเห้าหมิงนำกลับมาให้หล่อน
หลินเวยมี่เปิดเอกสารรายงานออก สายตากวาดมองดูผลด้านบน จากนั้นสีหน้าของหล่อนตกตะลึงขึ้นทันที จากนั้นแสร้งทำเป็นไม่สนใจ เก็บรายงานใส่กระเป๋าเรียบร้อย
“ฉันทราบแล้ว ขอบคุณนะ”
“ฉันเคยบอกแล้ว หลังจากดำเนินการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อย จะยื่นข้อเสนอกับเธอหนึ่งอย่าง เธอยังจำได้รึเปล่า?” เฉินเห้าหมิงจ้องมองหล่อนด้วยความตั้งใจ นี่ถือเป็นครั้งแรก ที่เขาแสดงสีหน้าอารมณ์เช่นนี้
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเอ่อล้นด้วยน้ำตา น้ำเสียงแหบแห้ง “ว่ามา เงื่อนไขอะไร
“ฉันอยากให้เธอมีความสุขในวันข้างหน้า ไม่อยากเห็นน้ำตาของเธออีก” เฉินเห้าหมิงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้หล่อน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “สัญญากับผม”
หลินเวยมี่มองหน้าเฉินเห้าหมิงอย่างงุนงง คิดไม่ถึงเลยว่าเฉินเห้าหมิงจะขอเงื่อนไขกับเธอเช่นนี้ รู้สึกแปลกใจขึ้นมา ก้มหน้าลงพูดขึ้น “ขอบคุณนะ”
เฉินเห้าหมิงยิ้ม สายตามองหล่อนด้วยความเห็นดู ผ่านไปสักพักจึงรีบเดินออกไป
ท่ามกลางบรรยากาศหอมหวน แต่กลับทำให้หล่อนรู้สึกทุกข์ใจ หล่อนปวดตาเป็นอย่างมาก ไม่รีรอให้น้ำตาไหลริน หล่อนก็รีบเช็ดจนแห้ง สูดหายใจเข้าลึก
ฝืนทำเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่ห้องตรวจในโรงพยาบาล หลินเวยมี่ก้มหน้าลงถามคุณหมอ “หมอคะ ถ้าแต่งงานกับญาติสนิท เด็กที่คลอดออกมาจะได้รับผลกระทบอะไรไหมคะ?”
“เรื่องนี้พูดยาก บางคนแข็งแรงสมบูรณ์ดี แต่ที่เจอเป็นส่วนมากจะมีอากรพิการทางสมอง โรคโปลิโอ และโรคอื่นๆอีกมากมาย ”
หลินเวยมี่ตกใจกลัว เหม่อราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง หล่อนค่อยๆลุกขึ้น ยิ้มเจื่อนพลางเดินออกไปด้านนอก
ท่ามกลางผู้คนมากมายบนท้องถนน ความเจ็บปวดภายในจิตใจทวีคูณมากขึ้น หล่อนเดินไปอย่างคนล่องลอยไร้สติ คอยคิดถึงแต่เรื่องถ้าวันหนึ่งลูกเกิดมาอย่างไม่สมบูรณ์ หล่อนควรทำเช่นไหร?
เมื่อกลับถึงบ้านก็มือค่ำแล้ว ขณะที่กำลังเข้าไปในห้อง บังเอิญเจอกับฐาลี่ ฐาลี่จ้องมองดูหล่อน จากนั้นรีบเดินเข้ามาหา
“สีหน้าของเธอดูไม่ค่อยดีนะ มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
น้ำเสียงห่วงใยเช่นนี้ทำให้หลินเวยมี่ตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นยิ้มขึ้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนมาปลอบใจหล่อนในเวลานี้ คนที่เป็นห่วงหล่อนไม่ใช่ผู้ชายที่หล่อนรักที่สุด แต่กลับเป็นศัตรูหัวใจ
“ฉันสบายดี”
ฐาลี่สายตามองหล่อนลึกเข้าไป พยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เธอคอยระวังด้วยนะ ฉันจะออกไปข้างนอก ให้ฉันซื้ออะไรกลับมาไหม?”
“ไม่เป็นไร” หล่อนพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ฝืนยิ้มขึ้นมา
ฐาลี่ยักไหล่ขึ้น เดินลงไปด้านล่าง
หล่อนผลักประตูออกและยืนพิงไว้ หล่อนอดคิดไม่ได้ ถ้าหากหล่อนเป็นฐาลี่ หล่อนจะไม่มีน้ำใจต่อศัตรูหัวใจขนาดนี้ จะว่าไปหล่อนก็คงพูดเช่นนั้นกับฉู่เฉินซี หล่อนก็แค่ผู้หญิงใจแคบคนหนึ่ง
แต่หล่อนไม่เข้าใจเลยจริงๆ เมื่อเห็นแฟนของตัวเองอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ฐาลี่จะไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ?
จะเหมือนสีหน้าท่าทางที่หล่อนแสดงออกมาจริงๆเหรอ ทั้งมีน้ำใจ เรียบง่าย หน้าตาเฉยแบบนั้น?
ขี้เกียจคิดมากไปกว่านี้ หล่อนยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูผู้หญิงในกระจก สายตาของหญิงสาวผู้นั้นช่างว่างเปล่า สีหน้าดูไม่ได้เลยจริงๆ
หยิบเอกสารรายงานผลในกระเป๋าออกมาเก็ยอย่างมิดชิด จึงรู้สึกสบายใจขึ้นมา
“พี่สาว อยู่ในห้องรึเปล่า?” เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“อยู่จ้า” หลินเวยมี่เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว มองดูหลินซินหยานที่ผลักประตูเข้ามา อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “ซินหยาน”
หลินซินหยานยืนยิ้มอยู่ข้างเตียง มองหล่อนด้วยสีหน้ากังวลใจ รีบถามขึ้น “พี่รู้แล้วใช่ไหม? ทำไมสีหน้าแย่ขนาดนี้ล่ะ?”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วขึ้น มองหลินซินหยานด้วยสีหน้างุนงง ถามขึ้น “ซินหยาน เธอกำลังพูดเรื่องอะไร? เธอไปรู้อะไรมา?”
หลินซินหยานทำสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ รีบส่ายหน้าอย่างกระวนกระวาย “ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
“ซินหยาน เธอเป็นน้องสาวของฉัน เป็นคนที่ฉันสนิทที่สุด เธอไม่ควรมีเรื่องปิดบังฉัน” หลินเวยมี่รีบดึงมือของหล่อนไว้พูดขึ้น ในใจอดคาดเดาไม่ได้ว่าคือเรื่องอะไรกันแน่
หลินซินหยานเงยหน้ามองหล่อน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดขึ้นด้วยความขมขื่นใจ “วันนี้ฉันออกไปเดินเที่ยว บังเอิญเห็นคุณลุง”
สีหน้าของหล่อนเปลี่ยนไปทันที แสร้งทำเป็นไม่สนใจ ถามขึ้น “เขาอยู่กับใคร?”
“ผู้หญิงคนหนึ่ง ดูไปแล้วไม่ใช่คนดีเท่าไหร่! ” หลินซินหยานกัดฟันพูดขึ้นจนไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของหลินเวยมี่เปลี่ยนไปจนหน้านิ่วคิ้วขมวด
หลินเวยมี่ก้มหน้าลง สีหน้านิ่งเรียบ ทำตัวเหมือนไม่สนใจอะไร “อ๋อ คงเป็นเพื่อนของเขา หรือไม่ก็เจรจาทางธุรกิจกับลูกค้า”
“เจรจาธุรกิจ? ที่หน้าประตูโรงแรม?” หลินซินหยานพูดด้วยความฉุนเฉียว
“ซินหยาน เขาจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา เข้าใจไหม?” หล่อนลูบมือของหลินซินหยานด้วยความอ่อนโยน อดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้
“แต่…” หลินซินหยานมองหล่อนอย่างลึกซึ้ง ถามขึ้น “แต่พี่เป็นแฟนของเขาไม่ใช่เหรอ? ทำไมเขาถึง…”
“ซินหยาน เธอยังเด็ก มีหลายเรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจ ฉันเหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนก่อนนะ” หลินเวยมี่ยิ้มเล็กน้อย สีหน้านิ่งเฉยจนปิดบังอารมณ์ของหล่อนไว้
หลินซินหยานพยักหน้ามองหล่อน จากนั้นเดินออกไป
ภายในห้องเงียบสงัด หล่อนทิ้งตัวนอนลงบนเตียง แต่ไม่รู้สึกง่วงเลยแม่แต่น้อย เสื้อเชิ้ตที่มีกลิ่นน้ำหอม รอยริมฝีปากสีแดง รอยเครื่องสำอางของผู้หญิง
“เฮ้อ…”
เสียงหัวเราะอย่างไร้เรี่ยวแรงดังขึ้น สายตาแสดงถึงความเยาะเย้ย ฉู่เฉินซี เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
ฉู่เฉินซีเพิ่งจะกลับมาตอนรุ่งสาง เมื่อเดินเข้าไปในห้องรับแขก ไฟที่ห้องรับแขกสว่างขึ้น เหลือบไปมองเห็นหญิงสาวที่นอนอยู่บนโซฟา
เขาทนเห็นหล่อนเช่นนี้ไม่ได้ แต่ต้องแสร้งทำเป็นไม่เห็น จากนั้น รีบขึ้นไปด้านบน
“ฉู่เฉินซี เรามาคุยกันหน่อย”
เสียงเย็นชาของหญิงสาวดังขึ้น เสียงของหล่อนแหบแห้ง ดูไม่ค่อยน่าฟังเสียเลย แต่เขากลับหยุดชะงักลง ไม่หันหลังกลับไปมอง ยืนนิ่งอยู่ที่บันได
“ให้ฉันเดา ทำไมนายถึงเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้” หล่อนหัวเราะเบาๆ ยืนขึ้นค่อยๆเดินตรงไปหาเขา
ฉู่เฉินซีถือเสื้อคลุมไว้ในมือ เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวไว้เพียงตัวเดียว และยังเป็นตัวที่หล่อนซื้อให้เขาอีกด้วย เพราะหล่อนโกรธที่ฐาลี่ซื้อเสื้อให้เขา
หล่อนยืนอยู่ตรงหน้าเขา มองหน้าเขาด้วยสายตาเย้อหยิ่ง ดมกลิ่นไปมา ขมวดคิ้วขึ้นทันที
“ไปหาผู้หญิงมาหรอ?”
กลิ่นบุหรี่และกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงคละคลุ้งไปทั้งตัวของเขา แสบจมูกจนทำให้รู้สึกขยะแยง
“เวยมี่…” สายตาของเขาไร้ซึ่งความอดทน เบี่ยงสายตามองไปอีกด้าน สีหน้าย่ำแย่
“เพื่ออะไร? ให้ฉันเลิกกับนาย? นายจำเป็นต้องพยายามขนาดนี้เลยเหรอ? นายบอกฉันมาตรงๆก็ได้ ขอเพียงแค่นายพูดมา ฉันก็จะไปเอง”
น้ำเสียงเย็นชาของหล่อนดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มอันแสนเลือนราง
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น” ฉู่เฉินซีพูดขึ้นด้วยเสียงนิ่งเรียบไร้ซึ่งอารมณ์
ฉู่เฉินซียืนหนึ่งไม่ขยับ เพียงแค่ยืนมองหล่อนด้วยสายตาอันเย็นชา
หลินเวยมี่โมโหจนปลดกระดุมเสื้อเขาหนึ่งเม็ด ขยำเสื้อของเขาขว้างลงไปกองกับพื้น จากนั้นรีบลงไปด้านล่าง ใช่กรรไกรตัดเสื้อออกอย่างเหี้ยมโหด
เสื้อขาดออกเป็นสองท่อนอย่างชัดเจน มือของหล่อนถูกจับไว้แน่น หล่อนเงยหน้าสบตามองฉู่เฉินซี
“หลินเวยมี่! เอากรรไกรมาให้ฉัน!”
นัยน์ตาของหลินเวยมี่แดงเป็นสายเลือด สะบัดมือออกจากเขาอย่างแรง ตัดเสื้อต่ออย่างบ้าคลั่ง ไม่นานนักเสื้อตัวนั้นก็ขาดเป็นชิ้นๆ
“อย่าดื้อได้ไหม?” เขาใช้มือจับข้อมือหล่อนอย่างเต็มแรง แต่กลับถูกหล่อนสะบัดออก
กรรไกรอันแหลมคมแทงเขาไปที่แขนเขาอย่างรวดเร็ว เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลออกมา จนสะท้อนเป็นสีแดงในตาของทั้งสอง
หลินเวยมี่ขว้างกรรไกรไปอีกด้านหนึ่ง รีบใช้เศษผ้าที่ถูกตัดออกมาห้ามเลือดให้เขาด้วยความกระวนกระวาย
“เธอโง่หรือไง?” หลินเวยมี่ตะโกนใส่ น้ำตาไหลพรากออกมา
แผลไม่ได้ลึกมากนัก เพียงแค่เฉี่ยวโดน ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่มาก
ฉู่เฉินซีมองดูเสื้อที่ถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ “นี่เป็นเสื้อตัวแรกที่เธอซื้อให้ฉันเลยนะ”