บทที่ 184 ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ด้วยกันจะทำอะไรได้
สายตาของหลินเวยมี่เต็มไปด้วยความผิดหวังที่ซ่อนไว้ไม่อยู่ เธอหรี่ตา เธอมีแต่ความเศร้า เธออยากจะแยกไปจากอ้านเย่ แต่ว่าก็โดนโจ่วชิงช๋วนจับมือไว้ก่อน
“มองเวยมี่ขนาดนี้ แต่ไม่เข้ามารับ นี่มันหมายความว่าอะไรกัน?” สายตาของโจ่วชิงช๋วนเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม จับมือของหลินเวยมี่ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
อ้านเย่เหลือบหันกลับมามองหน้าเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “รัฐมนตรีโจ่ว อย่าทำอะไรโดยพลการเลยครับ เจ้านายของบ้านผมเป็นคนที่คุณไม่ควรไปแหย่”
โจ่วชิงช๋วนยิ้มออกมาอย่างเย็นชา สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าถ้ายั่วเขาแล้วจะเป็นยังไง?”
“โจ่วชิงช๋วน” หลินเวยมี่รีบเรียกชื่อเขา แล้วก็แอบเหลือบไปมองหน้าอ้านเย่ แล้วก็พูดเสียงเบาว่า “ปล่อยฉันไปก่อน แล้ววันหน้าฉันจะมาหานายอีกครั้ง”
“เวยมี่ ทำไมเธอถึงยังหลงงมงายอยู่อีก? ถ้าเกิดว่าเขาแคร์เธอจริงๆ ทำไมต้องส่งแค่ลูกน้องมารับเธอด้วยงั้นล่ะ?”
“ฉันหลงงมงายเองนั่นแหละ ปล่อยได้แล้ว” สีหน้าของหลินเวยมี่มืดมน สายตาเต็มไปด้วยการเตือน เรื่องของหยิ่งฉู่เฉินซียังไม่ได้ไปคิดบัญชีกับพวกเขาเลย แล้วถ้าเกิดว่าไปยั่วฉู่เฉินซีเรื่องนี้อีก กลัวว่าเรื่องมันจะจบไม่สวย
“เธอ……”โจ่วชิงช๋วนมองหน้าหลินเวยมี่อย่างโกรธเคือง แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าควรจะเกลี้ยกล่อมยังไง
“พอแล้ว ขอบคุณที่คุยเป็นเพื่อนฉัน ตอนนี้ฉันต้องกลับไปแล้ว”เธอสะบัดมือเขาออก แล้วก็ตามอ้านเย่ไปขึ้นรถ
ภายในรถมีบรรยากาศของความกดดัน ใบหน้าของเธอมืดมนไม่ได้พูดอะไรออกมา อ้านเย่เองก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน ก็เลยได้ยินเพียงเสียงเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว
ในสวนนั้น ฉู่เฉินซีถือมีดแล้วยืนพิงอยู่ด้านข้าง บนต้นไม้มีแอปเปิลสองลูกห้อยอยู่ตรงนั้น
“ฉู่เฉินซี……”
เธอยังไม่ทันจะพูดจบ ก็เห็นมีดลองเขาลอยเข้ามา แล้วแอปเปิลที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ก็หล่นแยกออกมาเป็นสองชิ้น
เธอประเมินเขา แล้วก็เห็นว่าสีหน้าของเขามีอะไรที่แปลกไป เหมือนกับว่าเขากำลังคับแค้นใจกับใครอยู่
เธอยืนอยู่ด้านข้างไม่ได้ก้าวขึ้นไปข้างหน้า แต่ก็เห็นเขาหยิบมีดมาอีกเล่มหนึ่ง แล้วก็ตัดแอปเปิลผ่าครึ่งอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งแอปเปิลที่ห้อยอยู่ตรงต้นไม้หล่นหายไป เขาก็หันหน้ามา แล้วก็มองหน้าเธอนิ่งๆ
ดวงตานั้นยังคงลึกซึ้ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็สามารถมองเห็นความไม่พอใจจากสายตาของเขา เขากำลังโกรธอยู่งั้นหรอ?
ทั้งสองคนสบตากันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร แต่หลินเวยมี่กลับรู้สึกได้ถึงความกดดัน และความกดดันนี้ก็มาจากตัวของหลินเวยมี่ อัดแน่นมาที่ร่างกายของเธอ เธอมีความรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก
สายตาเธอเป็นประกาย ยกเท้าขึ้นเตรียมจะเดินออกไป แต่ว่าตอนที่จะออกไปนั้นก็โดนเขาคว้าข้อมือไว้ก่อน
“เล่นสนุกมั้ย?” น้ำเสียงเยือกเย็นทิ่มกระดูกของเขาดังออกมา ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะเรียบง่าย แต่ว่าสามารถรับรู้ได้ว่ามันเต็มไปด้วยความโกรธ
หลินเวยมี่อึ้งไป แล้วก็คลี่ยิ้มที่เสียดสีออกมา “ถ้าได้เล่นก็ต้องมีความสุขสิ ได้อยู่กับเพื่อนแล้วทำไมต้องไม่มีความสุขด้วยล่ะ?”
“เพื่อนหรอ? เหอะๆ” เขาหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา สีหน้าเต็มไปด้วยการดูถูก “ฉันเคยเตือนเธอรึยัง ว่าไม่ให้เข้าใกล้พวกนั้นอีก?”
สายตาของหลินเวยมี่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เธอเหลือบมองหน้าฉู่เฉินซี “ไม่ใช่ว่าาไม่แคร์ฉันหรอกหรอ? แล้วตอนนี้ทำอะไร? แกล้งทำเป็นหึงให้ใครดูกัน?”
คำพูดของเธอทิ่มแทงฉู่เฉินซี มือที่จบข้อมือเธออยู่ยิ่งออกแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นมือของเขาก็จับคางของเธอไว้ แล้วก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลินเวยมี่!อย่าท้าทายอารมณ์ของฉัน!”
“แล้วจะทำไม? อยากตีฉันหรอ?” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย แต่ว่าสายตามีแต่ความผิดหวัง
“เธอ!”ฉู่เฉินซีโกรธแต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมา แล้วก็ปล่อยเธอ พร้อมกับถามกลับว่า “เธอทำอะไรกับโจ่วชิงช๋วนล่ะ?”
หลินเวยมี่ทนไม่ไหวที่จะเอามือลูบคางตัวเอง แล้วก็พูดออกมาอย่างเย็นชา “ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ด้วยกัน นายคิดว่าจะทำอะไรกันล่ะ?”
“หลินเวยมี่!”สายตาที่เย็นชาของเขาเต็มไปด้วยคำเตือน
“ถ้ายังงั้นนายก็ลองบอกมาสิ พวกเราควรจะทำอะไรกันหรอ? ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่าพวกเราทำอะไรกันแน่ ถึงทำให้นายโกรธ?” เธอถามกลับอย่างเย็นชา ไม่หลบสายตา แต่ว่าสายตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“เขาจับมือเธอ เดินบนถนน! ใช่มั้ยล่ะ?”
“ในเมื่อนายรู้อยู่แล้ว แล้วจะถามฉันอีกทำไม?” หลินเวยมี่หันหน้าไปอีกทางอย่างไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
มือหนาของเขาจับไหล่เธออย่างรุนแรง แล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “มีแต่ฉันเท่านั้นที่จับมือเธอเดินบนถนนได้ ผู้ชายคนอื่นทำไม่ได้ เข้าใจรึยัง?”
“ฉู่เฉินซี ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของนายนี่มันน่าตลกซะจริง”หลินเวยมี่หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา แล้วก็หันมาจ้องตากับเขาอีกครั้ง “ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนที่ฉันอยากให้นายแคร์ฉัน แต่ว่านายกลับไปมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับผู้หญิงคนอื่น แต่ว่าตอนนี้ฉันก็แค่ไปดื่มชากับผู้ชายคนอื่น เดินเล่น แต่ว่านายกลับมีปฏิกิริยาขนาดนี้ ฉู่เฉินซี นายจะเอายังไงกันแน่?”
“เธอหึงหรอ?” ฉู่เฉินซีมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วก็ถามออกมาทีละคำ
“ใช่ ฉันแคร์มาก มากๆ” ตอนที่เธอพูดประโยคนี้ออกมาน้ำเสียงก็สะอึกสะอื้น มีน้ำตาเอ่อขึ้นมาในดวงตาของเธอ ในใจรู้สึกทุกข์ใจมาก
ฉู่เฉินซีอึ้งไป ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงดี เขาไม่สามารถเห็นเธออยู่ในสายตาได้ ไม่ยังงั้น ไม่ยังงั้น เขาก็คงไม่สามารถไม่สนใจเธอได้ แต่พอคิดว่าต้องปล่อยหลินเวยมี่ไป เหมือนว่าหัวใจของเขาขาดหายอะไรไป มันว่างเปล่า
นี่เธอพึ่งออกไปแค่สามชั่วโมงเอง เขาก็รับไม่ได้แล้ว แล้วถ้าเกิดว่าในโลกนี้ไม่มีหลินเวยมี่แล้ว เขาควรจะทำตัวยังไงดี?
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เขาอดไม่ได้ที่จะคว้าเธอเข้ามากอดในอ้อมอก
“เวยมี่ ฉันควรทำยังไง” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหมดหวังและความสับสน เหมือนกับไม่รู้ว่าควรจะเลือกทางไหน
หลินเวยมี่อึ้งไป หน้าของเธอแนบอยู่กับหน้าอกออกเขา ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไรกันแน่ ไม่แม้แต่รู้ว่าที่เขาพูดนี้หมายความว่าอะไร หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันไม่มีทางเลือก หรือว่าอะไรกัน?
สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดูเหมือนว่ามันเป็นเหวที่ทั้งสองคนไม่สามารถข้ามไปด้วยกันได้
พวกเขาไม่ได้รับการยอมรับจากคนในโลกนี้ แล้วก็ไม่มีวันอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต แล้วเธอควรจะทำยังไงดี?
“ก็เป็นแบบนี้ไปไม่ได้หรอ?”
สีหน้าของฉู่เฉินซีค้างนิ่ง ถ้าเกิดว่าทำแบบนั้นได้จริงๆ แล้วทำไมเขาจะต้องละเลยเธอด้วยล่ะ? ก็เพราะว่ามันทำไม่ได้ เขาก็เลยต้องเจ็บปวดอยู่แบบนี้
เขาหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกได้ว่าอากาศตอนนี้เบาบางลง เหมือนกับว่าไม่ว่าจะกอดเธอเท่าไหร่ก็ไม่พอซักที อยากจะกอดเธอให้ลึกถึงกระถูก ถ้าเกิดว่าทำได้ เขาก็อยากจะเก็บเธอไว้ตลอดชีวิต
แต่ว่าเรื่องจริงนี้มันสมจริงมากกว่าที่คิด เขาไม่สามารถเก็บเธอไว้ข้างกาย ได้แต่ต้องปล่อยไปเท่านั้น
มือเล็กๆของหลินเวยมี่จับหน้าอกของเขาไว้ พลางเงยหน้าแล้วสัมผัสริมฝีปากที่เย็นชาของเขา
ลมหายใจของเธอกระทบไปที่จมูกของเขา เหมือนกับว่าเซลล์ทั้งหมดในร่างกายของเขาถูกปลุกให้ตื่น เหมือนว่าสัมผัสลมหายใจของคนตรงข้ามเท่าไหร่ก็ไม่พอซักที
ลิ้นเล็กๆของเธอสอดเข้าไปอย่างไม่ชำนาญ ลิ้มรสรสชาติของเขา เขากอดเอวเธอแน่นขึ้น
หลังจากผ่านไปนาน ทั้งคู่ถึงปล่อยจากกัน
ใบหน้าเล็กๆของหลินเวยมี่มีเหงื่อออกบางๆ ริมฝีปากเล็กๆมุ่ยเล็กน้อย เหมือนกับว่าไม่พอใจแล้วอยากจะจูบเขาต่อ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสน ท่าทางน่ารักมาก
เขาจุ๊บไปที่ริมฝีปากสีแดงสดของเธอหนึ่งที แล้วก็เอาหน้าผากชนกับเธอ “ยัยตัวเล็ก ต่อไปนี้ห้ามเข้าใกล้ผู้ชายคนอื่นอีก ไม่ยังงั้นฉันจะโกรธ”
หลินเวยมี่เงยหน้ามองหน้าเขา แล้วก็เลียนแบบน้ำเสียงเขา “เจ้าตัวใหญ่ ต่อไปห้ามเข้าใกล้ผู้หญิงคนอื่น ไม่ยังงั้นฉันจะกัดนายให้ตาย”
ฉู่เฉินซีหัวเราะออกมาเบาๆ เขาไม่ได้ดูโกรธเลย เหมือนจะมีความสุขด้วยซ้ำ
สีหน้าของหลินเวยมี่เต็มไปด้วยความจำใจ ที่จริงเธอรู้สึกไม่เข้าใจฉู่เฉินซีเลย อยู่ดีๆก็ทำกับเธออย่างเย็นชา แต่ว่าตอนนี้อยู่ดีๆก็ทำท่าทีเหมือนแคร์เธอมาก เธอไม่เข้าใจเลยว่าสุดท้ายแบบไหนกันแน่คือตัวตนที่แท้จริงของเขา
หรือแม้แต่ในใจเขาคิดอะไรอยู่กันแน่?
“ฉู่เฉินซี รอจนให้ถึงเวลาที่พวกเรารักกันอีกต่อไปไม่ได้แล้ว พวกเราค่อยปล่อยมือกันดีมั้ย?” หลินเวยมี่กอดคอของเขาไว้ สายตาเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความหวัง
เธอพูดได้อย่างชัดเจนมาก ถ้าเกิดว่าคุณท่านแก่ฉู่เปิดเผยเรื่องนี้เมื่อไหร่ ทั้งสองคนค่อยเลิกกัน
ฉู่เฉินซีขมวดคิ้วแน่น สายตาของเขาจมดิ่งลงอีกครั้ง สีหน้ามีความหงุดหงิด ถอนหายใจออกมาแล้วก็ส่ายหน้า
“เวยมี่ ถ้าเกิดว่าเรื่องราวมันง่ายขนาดนั้นก็คงจะดีน่ะสิ”
หลินเวยมี่กอดเขาแน่น แล้วก็พูดเหมือนจะปลอบใจว่า “ฉันรู้ ฉันรู้ทั้งหมดแหละ”
ฉู่เฉินซีก้มหน้าลง เขาไม่ได้ไปคิดให้มากความว่าสุดท้ายแล้วที่เธอพูดมันหมายความว่ายังไงกันแน่ ได้แต่กอดเธอแน่น ไม่รู้ว่าก้าวต่อไปควรทำยังไงดี
ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมาก ถ้าเกิดว่าไม่ได้ไปตรวจสอบเรื่องนี้ ไม่ไปฟังที่คุณท่านแก่ฉู่พูดเรื่องอดีตของน้าหราน พวกเขาก็คงจะได้อยู่ด้วยกันโดยปราศจากอุปสรรคใดๆใช่มั้ย?
แต่ว่าตอนนี้อะไรก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว ถึงเขาจะระวังหน้าระวังหลัง แต่ว่าเขาก็ไม่เห็นแก่ตัวถึงขั้นที่จะทำร้ายน้าหรานเพื่อตัวเอง น้าหรานเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ และเขาก็มองน้าหรานเป็นแม่ของตัวเอง ไม่ว่าจะพูดยังไงเขาก็ทำร้ายน้าหรานไม่ได้หรอก
“เวยมี่ ถ้าเกิดว่าหลังจากนี้ฉันรังแกเธอ เธอเกลียดฉันตลอดชีวิตเลยได้มั้ย?”
หลินเวยมี่แข็งทื่อ หลังจากนั้นก็ทำเหมือนตัวเองไม่แคร์ “ฉันต้องเกลียดนายอยู่แล้ว ฉันจะเกลียดนายไปสามชั่วอายุคน!”
ฉู่เฉินซีคลี่ยิ้มออกมา แล้วก็พูดออกมาเบาๆ “ถ้ายังงั้นก็ยิ่งดีเลย ไม่ยังงั้นฉันกลัวว่าเธอจะลืมฉัน เธอมันคนไม่มีหัวใจ ถ้าเกิดว่าลืมฉันไปจะทำยังไง?”
หลินเวยมี่เม้มปากแน่น แล้วก็เอามือวางบนหน้าท้องของตัวเอง แล้วก็พูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ได้ยิน “แค่มีเขาคอยเตือนฉัน ฉันก็คงลืมไม่ได้หรอก”
ฉู่เฉินซีหลับตา แล้วก็สูดดมกลิ่นหอมบนเส้นผมของเธอ กลิ่นนี้ ต่อให้ดมตลอดชีวิตเขาก็ไม่มีวันเบื่อ
“เมื่อรักจนถึงที่สุดเมื่อไหร่ก็จะเกลียดได้เมื่อนั้น ถ้าเกิดว่าเธอเกลียดฉันจริงๆ ก็แสดงว่าเธอรักฉันเข้ากระดูกดำไปแล้ว”
หลินเวยมี่เม้มปากแน่น “ไม่ใช่ซักหน่อย นายคิดไปเองทั้งนั้นแหละ ซื่อบื้อ”
“ถ้ายังงั้นเธอไม่รักฉันหรอ? แล้วเมื่อกี้ใครบอกว่าแคร์ฉันกัน? กลัวว่าฉันจะไม่แยแส?” เขาเลิกคิ้วใส่เธอ
หลินเวยมี่หน้าแดงอย่างไม่ได้ปัดบรัชออน เธอหันมองไปทางอื่น แล้วก็พูดออกมาอย่างกลุ้มใจ “ฉันเปล่าซักหน่อย นายน่ะมั่วไปเอง ฉันไม่เคยพูดแบบนั้นออกมาเลยนะ”
“ยัยตัวเล็ก เมื่อกี้พึ่งพูดเองยังไม่ยอมรับอีกหรอ ไร้หัวใจจริงๆ” เขาเอามือไปสัมผัสที่ริมฝีปากของเธอ ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน