บทที่ 183 หมดหนทาง
เมื่อพวกเขากลับมาที่เตาปิ้งย่าง แต่กลับไม่เห็นฉู่เฉินซีกับฐาลี่ Elisจึงกระแอมขึ้น ส่งสายตาไปที่โขดหินที่ห่างออกไปไม่ไกล เห็นเงาเลือนลางของพวกเขาทั้งสอง
หลินเวยมี่สีหน้าซีดไปทันที ดึงมือป่ายห้าวให้นั่งลง ฝืนบังคับตัวเองไม่ให้คิดไปต่อว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่
ป่ายห้าวเงียบ ไม่พูดอะไร ยื่นไส้กรอกที่ย่างเสร็จแล้วให้หล่อน
หลินเวยมี่ยื่นมือไปรับ รู้สึกว่าเริ่มหายใจลำบาก หล่อนใจแคบ แคบจนไม่อยากเห็นคนที่ตัวเองชอบเข้าใกล้ผู้หญิงคนอื่น และผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นศัตรูหัวใจของหล่อนเอง
“หึ หน้าไม่อาย ไม่รู้จักถ่อมตัวซะบ้าง” Elisพูดสบถ มองด้วยสีหน้าขยาดแขยง
หลินเวยมี่สูดหายใจเข้าอย่างติดๆขัดๆ ความปวดใจทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาเริ่มเอ่อนอง
“Elis เธออย่าพูดเกินไป! เวยมี่ทำให้เธอเดือดร้อน?” ป่ายห้าวพูดตอกกลับ
Elisaมองพวกเขาด้วยสายตาโกรธเคือง พูดเย้ยขึ้น “ป่ายห้าว นายคิดว่าตัวเองเป็นใครงั้นรึ? ถูกพี่สาวขยี้เล่นอยู่ในกำมือ?”
“พอแล้ว!” สีหน้าของป่ายห้าวเจื่อนไปทันที รีบลุกขึ้นเดินไปอีกด้านหนึ่ง
หลินเวยมี่สูหายใจเข้าลึก พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “Elis ฉันไม่อยากทะเลาะกับเธอ แต่เลิกคิดเรื่องฉู่เฉินซีซะ อย่างน้อยฉันก็เคยมี นี่คือสิ่งที่ต่างกัน?”
สีหน้าของElisเปลี่ยนไปทันที ขว้างเนื้อย่างไปอีกด้านหนึ่ง เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหลินเวยมี่ “หลินเวยมี่ เธอเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้?”
“Elisเธอทำอะไรของเธอ?” เสียงของฐาลี่ดังขึ้น หล่อนยืนขวางอยู่ด้านข้างElis ถามขึ้นด้วยเสี่ยงแผ่วเบา “เธอทะเลาะอะไรกันอีก?”
“พี่ ฉันแค่สั่งสอนใครบางคนที่ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวแค่นั้นเอง” Elisเอามือกอดอก มองเฉียงไปหาหลินเวยมี่พูดขึ้น
ฐาลี่ใช้สายตาเขม่นใส่หล่อน จากนั้นผลักหล่อนไปอีกด้านหนึ่ง “หลินเวยมี่ Elisยังเด็ก อย่าไปสนใจคำพูดของหล่อนเลย”
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้นมองฐาลี่ ยิ้มเยาะ พูดแก้ตัวให้เช่นนี้ตลอด แต่ยิ่งเป็นคนแบบนี้ ยิ่งทำให้หล่อนไม่ชอบ เพราะฐาลี่เป็นคนสมบูรณ์แบบเกินไป สมบูรณ์แบบจนทำให้หล่อนรู้สึกละอายใจ
“ไม่เป็นไร” หล่อนถอนหายใจ สายตามองไปเห็นรอยที่คอของฐาลี่ เป็นรอยช้ำแดงคล้ำ เห็นได้อย่างชัดเจน
หล่อนหน้าถอดสี คาดเดาได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สายตาเยาะเย้ยตัวเอง แสร้งทำเป็นก้มหน้าลงไม่สนใจ
หล่อนกำหมัดแน่น เล็บอันแหลมคมจิกไปกลางฝ่ามือ แต่หล่อนกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย
ฐาลี่หยิบปีกไก่ขึ้นมา กัดกินหนึ่งคำ จากนั้นขมวดคิ้วขึ้น กวักมือเรียกฉู่เฉินซีที่อยู่ด้านหลัง “เฉิน รีบมานี่เร็ว”
“มีอะไรเหรอ์” สีหน้าของฉู่เฉินซีนิ่งเรียบยืนอยู่ข้างหล่อน
“กินอะไรหน่อยสิ” หล่อนยื่นปีกไก่ที่กัดไปแล้วหนึ่งคำให้เขา ยิ้มอยู่เคียงข้างเขา
ฉู่เฉินซีไม่ถือสาอะไร จึงกินปีกไก่ด้วยสีหน้านิ่งเฉยแต่ไม่ได้รู้สึกว่ามีสิ่งอะไรผิดปกติ
หลินเวยมี่ยิ้มเยาะ เบี่ยงสายตามองออกไปไกล หล่อนเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเอง รั้นตามพวกเขามาเพื่อมาดูพวกเขาจีบกัน
หล่อนไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมตอนแรกฉู่เฉินซีถึงดีกับหล่อนขนาดนั้น ผ่านไปแค่ค่ำคืนเดียวกลับเย็นชาใส่หล่อนได้ขนาดนี้ หรือเป็นเพราะเขาเห็นผลDNAฉบับนั้น?
หล่อนสูดหายใจเข้าลึก เป็นไปได้มาก บางทีอาจเป็นเพราะฉู่เฉินซีเห็นรายงานฉบับนั้นแล้ว รู้ว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่ไม่กล้าบอกหล่อน จึงเลือกที่จะเย็นชาใส่หล่อน
รู้สึกใจคอแห้งเหี่ยว รู้สึกมึนๆไม่สบายตัว เพียงเพราะหล่อนไม่สามารถเปลี่ยนผลที่เกิดขึ้นได้ หล่อนควรต้องทำเช่นไร?
สายตาของหล่อนเศร้าเสียใจมากขึ้น ปัญหาทั้งหมดถาโถมเข้าใส่เพียงผู้เดียว หล่อนต้องทำยังไงต่อไปอีก?
ระหว่างทางกลับ หลินเวยมี่นั่งพิงหน้าต่าง ไม่พูดอะไร จู่ๆรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดออกจากโลก นอกจากฉู่เฉินซีแล้ว ยังจะมีใครอีก? ถ้าฉู่เฉินซีทิ้งหล่อนไปจริงๆ หล่อนจะไปอยู่ที่ไหนได้?
หลังจากกลับบ้านไป หล่อนออกมาข้างนอกต่อ จู่ๆรู้สุกอยากเจอเย่หนิง เพราะไม่ได้เจอกันนนานแล้ว จึงคิดถึงหล่อนเป็นพิเศษ
เมื่อโทรศัพท์ไปจึงพบว่า เย่หนิงไม่ได้อยู่ที่เมืองแล้ว หล่อนเดินล่องลอยไปตามท้องถนน ทันใดนั้นเกิดความรู้สึกเหมือนไม่มีที่ไป
“สวัสดี” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง หลินเวยมี่ตกใจชะงัก ไม่หันหลังกลับไป
“เวยมี่ ถึงกับไม่ยอมหันหลังมามองฉันเลยเหรอ?” โจ่วชิงช๋วนเดินมาหยุดตรงหน้าหล่อน มองหล่อนด้วยสีหน้าขมขื่นใจ
หลินเวยมี่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอกับโจ่วชิงช๋วน เอ่ยปากพูดขึ้น “บังเอิญจังเลยเนอะ”
“ไม่บังเอิญหรอก เย่หนิงเป็นคนบอกฉันว่าเธออยู่ที่นี่” สีหน้าโจ่วชิงช๋วนทำสีหน้าอึดอัดใจ ดึงแขนหล่อนไปอย่างเต็มแรงตรงไปที่ร้านน้ำชาด้านข้าง
“นี่ โจ่วชิงช๋วน!” หล่อนพยายามขัดขืน
“ไม่เจอกันนาน แค่พูดคุยกันจะกลัวอะไร?”
หลินเวยมี่จึงหยุดขัดขืน จากนั้นเดินตามเขาเข้าไปในห้องวีไอพีของร้าน
“ว่ามาซิ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง เขาดูแลเธอดีไหม?” โจ่วชิงช๋วนถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา จนไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าอันเศร้าหมองของหล่อน
“งั้นๆแหละ” ถอนหายใจออก เบ้ปากไม่สบอารมณ์
“งั้นๆ? นั้นก็แปลว่าไม่ดีสิ”
“โจ่วชิงช๋วน ถ้านายอยากจะคุยเรื่องแบบนี้ต่อ ฉันกลับแล้วนะ” หลินเวยมี่เม้มปาก สีหน้าไม่สบอารมณ์
“อย่าเพิ่งไป ฉันแค่เป็นห่วงเธอก็เลยถามแบบนี้ เธอนี่ไม่เข้าใจความหวังดีของฉันเลย” เขาถอนหายใจออก ยื่นแก้วชาให้หล่อน
หลินเวยมี่รู้ดีว่าโจ่วชิงช๋วนเป็นห่วงหล่อน แต่ตอนนี้อารมณ์หล่อนไม่เข้มแข็งพอที่จะคุย โดยเฉพาะเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินซี
“โจ่วชิงช๋วน ตอนนี้ชีวิตฉันไม่ดีเลย ไม่ดีมากๆ” หล่อนก้มหน้าลงพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
โจ่วชิงช๋วนตกตะลึง จากนั้นเชิดคางหล่อนขึ้น พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ฉันพาเธอไปเอง”
สายตาของหล่อนเป็นประกาย สับสนเล็กน้อย หล่อนไม่เคยคิดจะเลิกกับฉู่เฉินซีเลย แม้ว่าเขาจะเริ่มเย็นชาใส่หล่อนอย่างจริงจัง แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะเลิกกับเขา
“ฉันไม่ไป”
“เธอนี่ ในเมื่อไม่มีความสุข ถ้าไม่ออกไปแล้วจะทำอะไร?”
“ฉันยังไม่ตายใจ” หลินเวยมี่เบือนหน้าหนี สูดหายใจฟึดฟัดด้วยความน้อยใจ “ฉันแค่รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนเร็วเกินไป เขาไม่ควรที่จะหมดรักฉันได้เร็วขนาดนี้ ต้องมีเหตุผลอะไรปิดบังอยู่แน่นอน ”
“เจ้าโง่ ผู้ชายจะนอกใจจะมีสัญญาณเตือนงั้นเหรอ?” โจ่วชิงช๋วนลูบหัวหล่อน “หรือเธอจะรอให้เขาทิ้งเธอไปจริงๆ จึงจะค่อยตัดใจ?”
เมื่อหลินเวยมี่ได้ยินเช่นนั้นเงยหน้าขึ้นมาทันที น้ำตาเอ่อล้น “ไม่มีทาง บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันคิดมากไป โจ่วชิงช๋วน ขอบคุณนะที่เป็นห่วงฉัน แต่ฉันไม่มีทางเลิกกับเขา!”
“หมดหนทาง เกินเยียวยา!”
หลินเวยมี่ยิ้มอย่างห่อเหี่ยวใจ หล่อนก็หมดหนทางแล้วจริงๆไม่ใช่หรือไง? ไม่เช่นนั้น ทำไมถึงยังยอมเชื่อใจเฝ้าคอยเขาไม่ไปไหนล่ะ?
จิบชาหนึ่งคำ ดมกลิ่นหอมของใบชา ทำให้หล่อนรู้สึกสบายใจมากขึ้น “กู้จุนเฟิงเป็นยังไงบ้าง?”
“เขา? เหมือนเดิม” โจ่วชิงช๋วนยักคิ้วขึ้น ขยับเข้าใกล้หล่อน “ทำไมเธอไม่เป็นห่วงฉันบ้างล่ะ? ทำไมไม่ถามฉันว่าเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหมบ้างล่ะ?”
หลินเวยมี่ขยับพิงตัวไปด้านหลัง มองดูเขา “นายดูสบายดีนี่นา”
“เธอรู้ว่าฉันสบายดีได้ยังไง? ฉันได้รับบาดเจ็บหนักที่หนึ่งเธอรู้รึเปล่า?” เขามองหล่อนด้วยท่าทีจริงจัง น้ำเสียงกลับมีความเย้ยยัน
“บาดเจ็บหนัก? เกิดอะไรขึ้น?” หล่อนมองเขาใหม่ แต่กลับไม่เห็นสิ่งผิดปกติอะไร
โจ่วชิงช๋วนจับไปที่หัวใจ มองหล่อนด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจ “ใจของฉันถูกเธอทำร้ายจนเจ็บปวดไปหมดแล้ว”
หลินเวยมี่กรอกตามองบนใส่เขา “โอ๊ย ให้ตายสิ นายมีสาวๆคอยปลอบใจมากมาย ยังจะกลัวเสียใจอีก?”
โจ่วชิงช๋วนยิ้มด้วยความขมขื่น พยักหน้าลง “อื้ม เยอะมาก”
ถึงแม้ว่ารอบกายเขาจะมีผู้หญิงห้อมล้อมเยอะมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่หลินเวยมี่
ทั้งสองเงียบลงอีกครั้ง หลินเวยมี่รีบเบือนหน้าหันออกไปมองด้านนอก ถอนหายใจออก “ออกไปเดินกับฉันหน่อย ฉันอยากจะไปดูบ้านของฉัน”
“บ้านของเธอ?”
“อื้ม แต่ถูกฉู่หรานขายไปแล้ว ไม่รู้ว่าขายให้ใคร” หล่อนยิ้มอย่างเจ็บปวดใจ สายตาเต็มไปด้วยความลังเลใจ
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปตามทาง ดูโดดเด่นจนทำให้เป็นที่จับตามองของคนที่เดินผ่านไปมา โจ่วชิงช๋วนทำสีหน้าหล่อเท่ห์จนสาวๆบริเวณนั้นต่างพากันมองมาที่ตัวของเขา
หลินเวยมี่รู้สึกสบายใจกับความสงบในตอนนี้ เพียงแต่เมื่อหล่อนคิดถึงภาพที่ตัวเองเดินจูงมือกับฉู่เฉินซีในตอนนั้น หล่อนเป็นผู้หญิงที่พึงพอใจกับอะไรง่ายๆ แค่เรื่องเล็กน้อย ก็สามารถทำให้หล่อนรู้สึกมึความสุขได้มาก
เดินออกไปไม่ไกลนัก ถึงด้านนอกของหมู่บ้าน เห็นบ้านของหล่อนมาตั้งแต่ไกล หล่อนน้ำตาคลอเบ้า มองดูบ้านของตัวเอง ถอนหายใจออก ช่วงนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย กดดันหล่อนจนแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง
หล่อนอยากกลับไปมีชีวิตเหมือนเมื่อก่อน แม้ว่าจ่านหงจะไม่ชอบหล่อน แต่ยังไงหล่อนก็มีบ้าน มีครอบครัว ครั้นกลับมามองตอนนี้ หล่อนไม่เหลืออะไรเลย
หล่อนรู้สึกว่าไร้ซึ่งความยุติธรรม ทำไมหล่อนต้องมาเจอกับเรื่องอะไรเช่นนี้ด้วย?
“เวยมี่ ดูเหมือนจะไม่มีคนอยู่” โจ่วชิงช๋วนมองตรงออกไปไกล “อย่าเสียใจไปเลย พรุ่งนี้ฉันจะติดต่อเจ้าของที่เพื่อซื้อที่นี่กลับมาให้”
หลินเวยมี่มองเขาด้วยซาบซึ้งใจ แต่ไม่นานนักก็กลืนกลับไปอีกครั้ง หล่อนส่ายหน้า “ช่างเถอะ ถึงแม้จะมีบ้านอยู่ แล้วยังไงล่ะ ครอบครัวของฉันก็ไม่กลับมาแล้ว อยู่เฝ้าห้องอันว่างเปล่าคงเสียใจไปตลอดชีวิต”
“ไม่ว่าเรื่องอะไร เธอก็คิดมากไป” โจ่วชิงช๋วนพูดขึ้นด้วยความเหนื่อยใจ
“ใช่สิ คิดเยอะ กังวลเยอะ บางทีอาจจะเป็นเพราะครอบครัว ทำให้ฉันต้องมีนิสัยแบบนี้” หล่อนยักไหล่ขึ้นมาด้วยความทุกข์ใจ นิสัยของตัวเองไม่ดีเท่าไหร่นัก จนบางครั้งรู้สึกกลัวสิ่งที่ต้องเจอข้างหน้าและยังกังวลกับเรื่องด้านหลัง
“แล้วเธอคิดจะทำยังไงต่อ? ถ้าอยากจะเลิกกับเขา ก็มาหาฉันนะ”
“โอเค” สายตาของหลินเวยมี่หมองหม่อน หล่อนกล้าพอจะเลิกกับฉู่เฉินซีงั้นเหรอ? อีกอย่างถ้าเลิกกับฉู่เฉินซี หล่อนไม่มีทางมาหาโจ่วชิงช๋วน ไม่รักก็อย่าเป็นตัวถ่วง เผื่อต่อไปทั้งสองจะทุกข์ใจเปล่าๆ
“คุณหลิน!”
น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ดังขึ้น หลินเวยมี่หันไปมอง อ้านเย่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก สีหน้าเรียบนิ่งจนไม่รู้ว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไร
“อ้านเย่ นายมาที่นี่ได้ยังไง?” หล่อนถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ สายตามองไปที่รถที่จอดอยู่ด้านข้าง หรือฉู่เฉินซีอยู่ด้านในนั้น?
“นายท่านให้ตามคุณหลินกลับบ้านครับ” อ้านเย่พูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเรียบ เหมือนกับกำลังบอกอะไรบางอย่าง จากนั้นพูดต่อ “นายท่านไม่ได้อยู่บนรถครับ”