บทที่ 210 ฉันเชื่อว่าพวกคุณเป็นรักแท้
หลินเวยมี่อึ้งไป มองฐาลี่อย่างงุนงง สายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“เธอบอกว่าตอนนั้นฉู่เฉินซีมาช่วยฉันงั้นเหรอ?”จะเป็นไปได้ยังไง?มันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย?
“หลินเวยมี่ อย่าแสร้งเป็นว่าไม่รู้ เพราะเธอนั่นแหละ งานแต่งของพวกเราเลยไม่ได้จัดต่อ เธอไม่รู้สึกโทษตัวเองบ้างเลยเหรอ?”ฐาลี่มองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม
หลินเวยมี่รู้สึกว่าเริ่มวุ่นวายไปกันใหญ่ ไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้น
“โทษตัวเอง?”เธอพูดออกไปเสียงเบา สายตาเต็มไปด้วยท่าทางไม่รู้เรื่อง
“หลินเวยมี่ ตอนแรกฉันก็ดีกับเธอนะ เธอก็มีครอบครัวไปแล้วยังจะมาทำลายพวกเราอีกทำไม?”ฐาลี่เริ่นหงุดหงิด“ฉันรออีก5ปีไม่ไหวแล้วนะ”
“เรื่องระหว่างเรา……”หลินเวยมี่พูดไม่ออก เรื่องระหว่างเธอกับเขามีอะไรงั้นเหรอ?บ่ายวันนี้เรายังอยู่ด้วยกันอยู่เลย
“ไปจากเขาซะ”ฐาลี่สั่งออกไปอย่างไม่คิด“ไม่งั้น ฉันจะบอกเรื่องพวกเธอกับเดวิด ฉันไม่อยากทำลายครอบครัวของพวกเธอหรอกนะ แต่ฉันก็ขอร้องเธอ ว่าอย่ามาทำลายครอบครัวเราอีกเลย”
ฐาลี่ยืนขึ้นพร้อมจะเดินออกไปด้านนอก ราวกับไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
“เดี๋ยวก่อน”
ฐาลี่หยุดเดิน แล้วมองเธออย่างเย็นชา
“เรามาทำข้อตกลงกัน”
ฐาลี่กลับมานั่งตรงหน้าเธออีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้ แต่ก็รู้สึกไร้สาระเช่นกัน ในใจก็ได้แต่คิดว่าข้อตกลงที่หลินเวยมี่ว่านั้นมันคืออะไร
หลินเวยมี่เงยหน้ามองเธออย่างลึกซึ้ง พร้อมพูดอย่างหนักแน่น“ฉันอยากรู้ว่ารั่วหรานอยู่ที่ไหน”
ฐาลี่หรี่ตามองเธอครู่หนึ่ง“ฉู่หราน?เธอจะหาฉู่หรานไปทำไม?”
“ข้อตกลงก็คือแบบนี้ ถ้าเธอไม่อยากช่วยฉันละก็ ฉันไม่ไปจากเขาหรอกนะ”พูดจบ หลินเวยมี่ก็ออกจากร้านกาแฟไปทันที
เรื่องคลุมเครือที่ติดอยู่ในใจไม่รู้จะแก้ไขยังไง ตอนนั้นฉู่เฉินซีไม่ได้ทอดทิ้งเธอ แต่กลับทิ้งงานแต่งแล้วมาช่วยเธองั้นเหรอ?เกิดอะไรขึ้นกับสายนั้นที่โทรเข้ามา?
เธอกลับโรงแรมอย่างปวดหัว แล้วมาเจอกับท่าทางเป็นกังวลของหวงหยิ่ง
“พี่เป็นอะไรไหมคะ?พวกเขาต่างบอกว่าผู้หญิงที่มาหาพี่เมื่อครู่นั้นเป็นภรรยาของแขกห้อง301”
หลินเวยมี่มองเธอด้วยสายตาเย็นชา พยักหน้า“ไม่ใช่ภรรยา แต่เป็นคู่หมั้น”
หวงหยิ่งมองเธออย่างงุนงง แล้วถามเสียงเบา“งั้นที่เขาพูดกันก็จริงนะสิ พี่กับแขกห้อง301……”
“สาวน้อย เรื่องที่ไม่ควรถามก็ไม่ควรจะถามนะ”
หวงหยิ่งหดคอไปมา พยักหน้าอย่างเข้าใจ“ค่ะ พี่เวยมี ฉันเชื่อว่าพวกพี่คือรักแท้”
หลินเวยมี่มองท่าทางของหวงหยิ่ง ก็เผยรอยยิ้มออกมา รักแท้?ตอนนี้ฉู่เฉินซียังรักเธอไหมนะ?นอกจากฉู่เฉินซีที่น่ากลัวคนนั้น เธอไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขายังมีอะไรอีก
โทรศัพท์ตรงแผนกต้อนรับดังขึ้น ผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างมองไปยังหลินเวยมี่อย่างประหลาดใจ“คุณหลิน แขกห้อง301เรียกหาคุณน่ะ”
หลินเวยมี่หน้าซีดไป แล้วรับสาย
“สวัสดีค่ะ คุณต้องการอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ต้องพูดทางการแบบนั้นก็ได้”
หลินเวยมี่หน้าซีดไป เธอหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆ ทุกคนล้วนจ้องมาที่เธอ เห็นเธอหันมาก็รีบหันไปอีกด้านอย่างเร็ว
เธอจงใจเบาเสียงลง ถามด้วยเสียงหนักแน่น“มีอะไร?รีบพูดมาสิ!”
“มาหาหน่อย”เขาพูดสั้นๆ
“ห้ะ?”
“คิดถึงเธอ มาหาหน่อย”
หลินเวยมี่วางสายทันที แล้วมองรอบๆ รับรู้ได้ถึงความประหลาดใจรอบๆ เธอก้มลงไปหยิบผ้าขนหนูใหม่เอี่ยมแล้วเดินไปที่ลิฟต์
ยังไม่ทันกดกริ่งประตูก็เปิดออก ฉู่เฉินซีดึงเธอเข้าไปทันที ไม่รอให้เธอโต้ตอบเขาก็จูบลงไป
แล้วโดนฉู่เฉินซีกดตัวลงไป หลินเวยมี่จึงมีโอกาสได้หายใจ
“อย่า……”
ฉู่เฉินซีหยุดถอดเสื้อผ้าเธอแล้วหรี่ตามองเธอ แล้วทำเสียงเบาๆออกจากมูก“อะไร?”
หลินเวยมี่มองเขาหน้าแดง แล้วพูดเสียงเบา“ฉันยังทำงานอยู่”
“แล้วจะทำไม?”มือใหญ่ของเขาทำต่อ
หลินเวยมี่อดทนต่อความรู้สึกนี้ แล้วพูดออกไปอย่างหนักแน่น“คนอื่นจะว่าเอาได้”
ฉู่เฉินซีหยุดการกระทำไปอีกครั้ง มีสายตายิ้มๆแวบเข้ามา“เธอแคร์งั้นเหรอ?”
เธอพยักหน้าหงึกๆ“แคร์สิ แคร์มาก”
“เพราะครอบครัวเธองั้นเหรอ?”
“ใช่”หลินเวยมี่ตอบ เธอรู้สึกได้ถึงความโกรธของเขา
ฉู่เฉินซีโมโหมากแต่กลับหัวเราะออกมา ปล่อยเธอ แล้วมองเธอที่อยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ“เธอแคร์ครอบครัวของเธอจริงๆงั้นเหรอ ทำไมเมื่อก่อนฉันถึงไม่รู้ถึงด้านดีของเธอนี้เลยล่ะ?”
หลินเวยมี่กัดปากแน่น แล้วติดกระดุมเสื้อใหม่อย่างช้าๆ จากนั้นก็พูดขึ้น“คุณคิดว่าทำไมฉันถึงต้องแคร์ขนาดนี้ล่ะ?เด็กที่เกิดในครอบครัวแบบนั้นล้วนมีความหวังกันทั้งนั้น ก็คือครอบครัวที่สมบูรณ์แบบแก่ลูก”
ฉู่เฉินซีรู้สึกเป็นห่วงผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง“ลูกของเธอ……”
เมื่อนึกถึงเดวิดเขาก็รู้สึกโกรธ วุ่นวายใจขึ้นมา
“ตอนนี้ฉันมีความสุขดี”หลินเวยมี่สูดหายใจเข้าลึกๆ สมองก็อดคิดถึงคำพูดของฐาลี่ไม่ได้
ฉู่เฉินซีขมวดคิ้วเป็นปม ก้มหน้าเล็กน้อย หน้าม้ายาวบดบังสายตาของเขา ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ฉันมีผลกระทบต่อชีวิตของเธอใช่ไหม?”ฉู่เฉินซียิ้มเยาะและถามขึ้น เขากำมือแน่น มองเธออย่างอดกลั้นสีหน้าของหลินเวยมี่ซีดเผือด ก้มหน้ากัดปากแน่น
“ฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณเรื่องหนึ่ง”
“อะไร?”
“ปีนั้นทำไมคุณถึงไม่แต่งงานกับฐาลี่?”เธอจ้องเขาเขม็ง อยากเห็นว่าสายตาเขาจะบอกอะไร
แต่สายตาของเขานอกจากจะเห็นแค่ความเศร้าแล้วก็ไม่เห็นอะไรอีก
“ตอนนี้ยังสำคัญอยู่เหรอ?”เขาหัวเราะเจื่อนๆออกมา“ออกไปเถอะ”
หลินเวยมี่โดนเขาไล่ออกจากห้อง เธอยืนที่ประตู ยังคงลังเลอยู่ อยากจะรู้ว่าจริงๆแล้วตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็กลัวท่าทางร้อนดั่งไฟของเขานั่นเช่นกัน
ฉู่เฉินซีอาจทำให้เธอไหม้ได้ ไม่ว่าเรื่องตอนนั้นจะเป็นยังไงก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึงมันแล้ว ยังไงซะก็ผ่านมาตั้ง5ปีแล้ว
เมื่อกลับมาถึงแผนกต้อนรับหน้าโรงแรม คนรอบๆต่างพากันซุบซิบอะไรบางอย่าง หลินเวยมี่ไม่มีเวลาสนใจพวกเขา เธอก้มหน้าทำเรื่องของตัวเองไป
“โห หล่อจังเลย”
“หล่อจริงๆ”
จู่ๆทุกคนก็พากันส่งเสียงออกมา เธอเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แล้วก็เห็นฉู่เฉินซีที่สวมเสื้อสีฟ้าเข้มเดินออกมา
เขาไม่มองเธอแม้แต่น้อย เธอถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงรู้สึกหดหู่แบบนี้
หลินเวยมี่ก้มหน้าทำเรื่องของตัวเองต่อ แต่ก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรู้สึกแปลกๆในใจได้
คืนนี้ไม่ใช่เวรทำงานของเธอ แต่เธอก็อยู่ที่โรงแรมจนดึกจึงจะกลับ เมื่อเธอเดินออกจากประตูโรงแรมเธอก็รู้สึกโดดเดี่ยว เธอตัวคนเดียวมาตลอด
จากตอนที่อ่อนแอจนถึงตอนที่เข้มแข็ง เธอก็ตัวคนเดียวมาตลอด
ตอนนั้นเธอแอบเปลี่ยนแพลนของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเธอไปที่ไหนมา อีกทั้งยังเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ราวกับละทิ้งทุกอย่างในอดีตแล้วเริ่มต้นใหม่
จนถึง1ปีเธอก็พบกับเย่หนิง เธอถึงจะรู้ว่าความอบอุ่นคืออะไร
เธอเป็นผู้หญิงที่พอใจอะไรง่ายๆ เพียงแค่มีคนทำดีต่อเธอ เธอก็พอใจมากแล้ว
ขณะที่เดินอยู่บนถนนเล็กๆ จู่ๆก็มีรถคันหนึ่งจอดตรงหน้าเธอ ลดกระจกลง เผยให้เห็นใบหน้าของฉู่เฉินซี“ขึ้นรถ”
หลินเวยมี่ขึ้นรถฉู่เฉินซีไปแบบงงๆ เธอมองไปยังฉู่เฉินซีที่นั่งตรงคนขับอย่างเงียบๆ เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกหวาดกลัว
เพราะเขามัวแต่ทำหน้าอึมครึมไม่พูดไม่จา ราวกับกำลังโกรธใครอย่างไรอย่างนั้น
หลินเวยมี่ก้มหน้าลงเล่นโทรศัพท์ แกล้งทำเป็นไม่สนใจ
จู่ๆเขาก็หยุดรถอย่างกระทันหัน เธอมองไปด้านนอกอย่างใจลอย จนไม่รู้ว่าเขาขับพาเธอมาที่ถนนเล็กๆแถวชานเมืองตั้งแต่เมื่อไหร่
“คุณจะทำอะไร?”
เธอเพิ่งจะเอ่ยขึ้น ฉู่เฉินซีจับเธออย่างแรง เขาบดไปทั่วทุกลมหายใจของเธอ ราวกับต้องการให้ลมหายใจของเขากระจายไปทั่วร่างกายของเธอ
หลินเวยมี่ไม่มีแรงที่จะต่อต้าน ได้แต่ยิ้มเบาๆตอบเขาไป แต่เขาก็ยิ่งจูบอย่างดูดดื่ม
จนกระทั่งทั้งคู่ชาไปหมด เขาจึงปล่อยเธอ แล้วก้มหน้ามองริมฝีปากสีแดงระเรื่อของเธอพร้อมยิ้มมุมปากออกมา
“อร่อยมาก”
เขาไล่นิ้วไปตามริมฝีปากเธอ คลอเคลียไปมา
หลินเวยมี่จ้องเขา สายตามีแต่ความสับสน แต่กลับไม่ได้รังเกียจอะไร เธอไม่รังเกียจสัมผัสของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ตอนแรกกะว่าจะไปวันนี้”
หลินเวยมี่เงยหน้ามองเขาอย่างงุนงง สายตาที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจ
แต่ฉู่เฉินซีดูออก มันคือสายตาที่ไม่พอใจ ผู้หญิงคนนี้ไม่อยากให้เขาไป?
เขายิ้มออกมาเบาๆ เขาเข้าไปใกล้ๆแก้มของเธอแล้วกัดเบาๆ
“แค่ฉันคิดว่า ถ้าฉันไปแล้วฉันไม่อาจได้เจอเธออีกจะทำยังไง”เขากำลังยิ้มอยู่แท้ๆ แต่สายตานั้นกลับเต็มไปด้วยความเศร้า “อีกทั้งระหว่างเราสองคนยังเสียเวลากันไปตั้ง5ปี?ฉันเลยบอกกับตัวเองว่า คนที่ฉันต้องการก็คือเธอ”
คำพูดของเธอทำให้หลินเวยมี่ใจเต้นแรง สายตาเต็มไปด้วยความหวั่นไหว แต่หลังจากหวั่นไหวเสร็จก็กลับมาเป็นปกติ พวกเขาไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเป็นแม่น้ำที่ไม่สามารถก้าวผ่านไปได้
“ฉู่เฉินซี……”
เขาแตะนิ้วไปที่ริมฝีปากเธอครู่หนึ่ง สายตาไม่ใช่บ้าคลั่งแบบนั้น แต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“อย่ารีบปฏิเสธฉัน”
คำพูดที่อยู่ในลำคอของเธอถูกระงับไป แต่สายตาที่เป็นกังวลนั้นก็ยังไม่จางหายไป 5ปีหลังจากนี้สิ่งที่พวกเขาต้องคิดให้ดีเรื่องความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
เธอมีครอบครัว มีลูกแล้ว
“เวยมี่ ฉันรักเธอ ทุกเซลล์ประสาทของฉันต่างบอกว่าฉันรักเธอ รักจนแยกจากกันไม่ได้”สายตาเขาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม เขาสารภาพความคิดของตัวเองออกไปอย่างตรงไปตรงมา
ถ้าจะบอกว่าไม่ซึ้งก็คงจะโกหก ใจเธอละลายไปชั่วขณะ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยโผเข้ากอดเขา แต่สติของเธอยังคงบอกว่าไม่ควรทำแบบนี้
จะทำให้เจ็บทั้งสองด้าน ไม่เพียงแต่พวกเขา มันรวมถึงลูกเธอด้วย เธอไม่สามารถลืมความรู้สึกตอนที่หมอบอกว่าลูกของเธออาจจะพิการได้
ดีที่เสี่ยวหลงแข็งแรงมาก แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันได้แบบไร้ยางอาย ความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่สามารถมองข้ามได้
“ขอโทษนะ”เธอปฏิเสธเขาด้วยรอยยิ้มที่สิ้นหวัง น้ำตาไหลออกมา