บทที่ 203 ลงนรกไปด้วยกัน
ผ้าม่านหนากั้นอยู่ที่หน้าต่างบานเดียวในห้องพักรับรอง ข้างเตียงเดี่ยวมีแสงสว่างของโคมไฟดวงเล็กๆหนึ่งดวง สาดแสงไฟสลัว
อากาศภายในห้องยิ่งเบาบางลงเรื่อย บรรยากาศอันอบอวลทั้งสองคนต่างแนบแน่นอยู่ด้วยกัน จนได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจเต้นของอีกฝ่าย
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว เป็นฝ่ายดึงสติกลับมาได้ก่อน เอ่ยถามเสียงเข้มว่า “คุณบ้าไปแล้วเหรอ!”
“ผมคงจะบ้าไปแล้วจริงๆ คิดถึงคุณจนแทบบ้า!” เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของเขาลอยมาเข้าหูหล่อน ฟังแล้วรู้สึกหนักแน่นและมีเสน่ห์ชวนหลงใหล
หลินเวยมี่หลับตาลง นัยน์ตาฉายความกังวล เตือนเขาว่า “ฉู่เฉินซี นี่มันในงานเลี้ยงนะ แล้วนี้ก็คือห้องรับรองในงานเลี้ยงนะคะ!”
มือของเขาวางอยู่บนร่างหล่อน ริมฝีปากบางมัมเบาๆที่ติ่งหูหล่อน ทำให้หล่อนต้องพยายามหลบหนี หัวเราะเสียงเบาๆออกมา “ผมรู้แล้ว”
“คุณรู้แล้ว คุณยังจะ…” หลินมี่เวยหนีพลางปัดป้องพลาง นัยน์ตายังคงมีความวิตกกังวล หากจู่ๆมีคนเข้ามาข้างในนี้ ก็ต้องเห็นพวกเขาแน่
“แล้วยังไง” ฉู่เฉินซีเอ่ยถามอย่างไม่รู้สึกรู้สา มือของเขาสอดเข้าไปในขอบกระโปรงของหล่อน
หลินเวยมี่สูดอากาศเย็นเข้าไป สัมผัสได้ว่าลมหายใจของคนที่อยู่ด้านหลังนั้นหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ในใจหล่อนก็ยิ่งหวาดหวั่นมากขึ้น ผลักเขาออกอย่างแรง หมุนตัวกลับมาถลึงตาใส่เขา
กลืนน้ำลาย น้ำเสียงกลับผ่อนคลายลง “ฉู่เฉินซี อย่าทำแบบนี้ นี่มันห้องพักรับรองนะ มีคนเข้ามาได้ตลอดเวลา”
ช่างไม่รู้ตัวเลยว่าสภาพของตัวเองในสายตาเขาตอนนี้ เป็นอย่างไร ผมที่ยุ่งเหยิงนิดหน่อยสยายลงบนบ่า สายตาวิงวอน ชุดกระโปรงยางสีน้ำเงินสวมอยู่บนร่างหล่อน
ดวงตาของฉู่เฉินซีหรี่มอง นัยน์ตาดั่งเปลวเพลิงกองเล็กๆ แทบจะควบคุมไม่ให้มันลุกลามออกมาไม่ได้
กลิ่นตัวของหล่อนเองก็ยังคงเป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคย คุ้นเคยดีขนาดที่เขาควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้
โน้มตัวลงไปหาร่างหล่อน ร่างหล่อนถูกทับอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง
หลังของหล่อนถูกกระแทกไปที่กระจกอย่างแรง หล่อนนั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง เงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจ ไม่ทันได้ป้องกัน ก็ถูกเขาจูบอย่างรุนแรง
ลมหายใจของทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน
ร่างหลินเวยมี่อ่อนระทวย ในขณะที่หล่อนกำลังตักตวงความสุข อารมณ์ความรู้สึกเอาชนะเหตุผล สมองหลุดจากการควบคุม ถูกครอบงำอย่างบ้าคลั่ง
มือใหญ่ของเขาฉีกกระโปรงหล่อนออก มือของเขาช้อนไปที่หลังของหล่อนอย่างชำนาญ
อากาศในห้องยิ่งเบาบางลงเรื่อยๆ หล่อนหรี่ตา อดไม่ได้ที่จะมองหน้าฉู่เฉินซี
ฝ่ามือใหญ่ที่อยู่ตรงเอวหล่อน ออกแรงดึงหล่อนลงมา ทำให้ทั้งสองยิ่งแนบชิดกันมากขึ้น
แม้จะมีเสื้อผ้ากั้นกลางอยู่ก็ตาม แต่หล่อนสัมผัสได้ว่าเขาพร้อมที่จะโจมตีรุกล้ำตลอดเวลา
“อย่า…” หล่อนเผยอปาก สายตากลับปฏิเสธ
“อย่าเหรอ อืม ตอนนี้คุณมีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ” ฉู่เฉินซีหัวเราะเยาะ แต่กลับถูกท้าทายด้วยคำพูดว่า อย่า ของหล่อน
เขามองคนที่อยู่ใต้ร่างเขากัดฟันแน่นอย่างแปลกใจเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นัยน์ตาฉายความอ่อนโยน การกระทำค่อยๆอ่อนโยนลง
แต่ความใคร่นั้นก็ค่อยๆเอาชนะความมีเหตุผล
ไม่รู้ว่าผ่านไปแค่ไหน เขาถึงยอมปล่อยหล่อน
ริมฝีปากหล่อนถูกกัดจนมีเลือดซึมออกมา ในดวงตามีน้ำตาเอ่อ หล่อนดูน่าสงสารไปทั้งตัว เอนตัวไปอีกด้านอย่างไร้เรี่ยวแรง
ฉู่เฉินซีขมวดคิ้ว เมื่อครู่เขาไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของหลินเวยมี่เลย
ยื่นมืออกไปอยากจะกอดหล่อน แต่กลับถูกหล่อนตบหน้าไปหนึ่งฉาด
“ฉู่เฉินซี คุณมันชั่วช้า ฉันจะ จะไม่มาพบคุณอีก” เสียงของหล่อนอยู่ในภาวะที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ทุ้มต่ำแหบพร่า แต่กลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ฉู่เฉินซียิ้มออกมา มองหล่อนด้วยสายตาเยือกเย็น “หลินเวยมี่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะเลือกได้”
ขอบตาแดงกล่ำ น้ำตาไหลลงอาบแก้ม พละกำลังทั้งหมดถูกดูดไปจนสิ้น มองชุดตัวเองที่ถูกฉีกขาดอย่างอับอาย กัดริมฝีปากไว้แน่น
อยากลุกขึ้นยืน แต่ที่เอวกลับมีความเจ็บปวดพุ่งขึ้นมา ทำให้หล่อนต้องสูดอากาศเย็นเข้าไป แม้แต่จะลุกยืนหล่อนยังไม่มีเรี่ยวแรง
ฉู่เฉินซีดูเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติของหล่อน จึงอุ้มหล่อนขึ้นมาวางบนเตียง
“คุณอย่ามาแตะต้องตัวฉัน” หล่อนยังคงขัดขืน แววตามีแต่ความโกรธแค้น
“ที่ควรแตะ ที่ไม่ควรแตะ ผมก็แตะมาหมดแล้ว ตอนนี้คงไม่มีอะไรเสียหายนะ” น้ำเสียงเขาแฝงความเยาะเย้ยถากถาง
หลินเวยมี่หลับตาด้วยความอับอาย แต่กลับรู้สึกได้ว่าเขากำลังช่วยหล่อนใส่ชุดราตรี
ฉู่เฉินซีสังเกตเห็นรอยฟกช้ำที่เอว นัยน์ตาซ่อนความรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย รูดซิบให้หล่อน แล้วอุ้มหล่อนให้ลงมายืนบนพื้น รีบจัดทรงผมหล่อนให้เรียบร้อย
นอกจากรอยแผลที่หล่อนกัดริมฝีปาก กับคราบน้ำตาบนแก้ม หล่อนก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากตอนที่เพิ่งเข้ามา
แต่กลิ่นแย่ๆในอากาศนั้นยังอยู่ ทำให้หล่อนไม่สามารถมองข้ามไปได้
นัยน์ตามีแต่ความผิดหวัง หล่อนสับสนวุ่นวายใจอันที่จริงแล้วจะโทษฉู่เฉินซีก็ไม่ถูกนัก ควรจะโทษตัวเองมากกว่า เพราะเมื่อครู่ตนเองก็มีอารมณ์ร่วมกับเขา
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เดิมทีคิดว่าทั้งสองต่างไม่ได้ติดต่อไปมาหาสู่อะไรกันแล้ว ตอนนี้กลับ……
ฉู่เฉินซีกอดหญิงสาวที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงกำลังใดๆ แล้วจูบหล่อนอย่างหนักหน่วงอีกครั้งราวกับแกล้งหล่อน อ่อนโยนมากขึ้น
หล่อนพิงร่างในอ้อมอกเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง ในใจรู้สึกอับอายยิ่งนัก หล่อนไม่สามารถปฏิเสธเขาได้เลย แต่กลับคิดถึง การถูกเขาสัมผัสแตะต้อง ไร้ซึ่งการขัดขืน
หล่อนเกลียด เกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้
“หลินเวยมี่ คุณดูสิ จริงๆแล้วในใจลึกๆของคุณก็ยอมรับผม” เขากัดติ่งหูหล่อน คำพูดเข้าข้างตัวเองอย่างร้ายกาจดังขึ้นเบาๆข้างหูหล่อน
หลินเวยมี่ตัวสั่น ลืมตาดู นัยน์ตาเย็นยะเยือกมีแต่ความเกลียดชังไม่มีที่สิ้นสุด
“ไม่ ฉันไม่ได้ยอมรับคุณ!”
“อย่าปฏิเสธเลย นี่มันไม่ใช่สิ่งที่พิสูจน์หรอกหรือ” เขายิ้มโปรยเสน่ห์ ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นกลับทำให้หลินเวยมี่ชอบเขาไม่ลง
มีแต่ความรังเกียจ หล่อนไม่อยากจมดิ่งลงไปอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นจะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น
ผลักเขาออก เดินเซไปมาออกไปทางประตู แต่ในขณะที่หล่อนเซจนเกือบจะล้มลงนั้น มือใหญ่ของเขาก็มาคว้าไว้ทัน
กลับไปหาอ้อมอกของเขาอีกครั้ง
เขากอดหล่อนเอาไว้แน่น น้ำเสียงชั่วร้ายดังขึ้นที่ข้างหูของหล่อน “คุณหนีไม่พ้นหรอก”
“พวกเราเหมาะสมกันขนาดนี้ คุณก็คิดถึงผมมากขนาดนั้น อย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย คุณหนีผมไม่พ้นหรอก”
“ไอ้สารเลว หยุดพูด หยุดพูดได้แล้ว!” หลินเวยมี่ขัดขืนอย่างไร่เรี่ยวแรง ขอบตาแดงกล่ำเพราะร้องไห้
คำพูดของเขาราวกับเป็นคำพูดที่นอนละเมอพุ่งเข้าไปในหัวสมองของหล่อน หล่อนเอามืออุดหูอย่างคลุ้มคลั่ง ใบหน้าเจ็บปวด
“ตกลงคุณคิดจะทำอะไร เลิกทรมานฉันสักทีได้มั้ย ฉันเหนื่อยแล้วจริงๆ” หล่อนวิงวอนขอร้องอยู่ในอ้อมกอดเขา “ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันมีครอบครัวแล้ว อย่าทรมานฉันอีกเลย”
“ครอบครัวเหรอ” ดวงตาฉู่เฉินซีหรี่มอง เขาลากหล่อนขึ้นมา “ทำไมผมถึงลืมไปได้ ว่าคุณแต่งงานแล้ว และสามีคุณก็กำลังรอคุณอยู่ที่ด้านนอก”
“คุณคิดจะทำอำไร” หลินเวยมี่หายใจติดขัด มองเขาอย่างตระหนก
“คุณคิดว่าถ้าพวกเราออกไปในสภาพนี้ พวกเขาจะคิดยังไง” มุมปากกระดกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัว นัยน์ตาลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
สีหน้าหลินเวยมี่เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที ในชั่วพริบตา ปากค่อยๆเผยอออกมา แววตาตื่นกลัว
ไม่ได้ หล่อนจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ทว่าชื่อเสียงของเดวิด จะถูกทำให้เสื่อมเสียไม่ได้
เดวิดดีต่อหล่อนมาก หล่อนจะไม่ทำให้เขาต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“คุณคิดจะทำอะไร” หล่อนถามเขาอย่างหวาดวิตก
สุดท้าย เขาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เข้ามาใกล้หล่อน
“ง่ายมาก เป็นคนของผม”
หัวสมองของหล่อนเหมือนถูกแยกออก ต่อมามุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เจ็บปวด “ฉู่เฉินซี คุณมันเป็นปิศาจ จะต้องทำแบบนี้ให้ได้ใช่มั้ย”
“แล้วจะทำไม” นัยน์ตาเขาแฝงความเหี้ยมโหด มือที่โอบเอวหล่อนรัดแน่นขึ้น
เขาคิดไม่ถึงว่าหลินเวยมี่จะจริงจังกับการแต่งงานในครั้งนี้ จึงทำให้หล่อนหวาดกลัวการข่มขู่ของเขาเมื่อครู่
หล่อนกลัวว่าเดวิดจะรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขาหรือ หล่อนรักเดวิดมากขนาดนั้นเชียวหรือ เขารุ่มร้อนในทรวงอก ความโหดร้ายทั้งหมดพลุ่งพล่านออกมา ความรักครั้งนี้ทรมานเขามาห้าปี หล่อนมีสิทธิ์อะไรไปแต่งงานใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่
ในใจลึกๆยังคงขับข้องใจ รับไม่ได้ที่หล่อนทำกับเขาราวกับเป็นคนแปลกหน้า
“คุณมันก็คือปิศาจดีๆนี่เอง!” หล่อนร้องไห้จนตาแดงกล่ำ จ้องมองเขาอย่างโกรธแค้น
สีหน้าฉู่เฉินซีไม่รู้ร้อนรู้หนาว บีบที่ใต้คางของหล่อน เค้นคำพูดออกมาทีละคำ “ผมเป็นปีศาจ อย่างนั้นผมก็จะลากคุณไปลงนรกพร้อมกัน!”
“นรก….” หลินเวยมี่พึมพำอย่างสับสน นึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มของเสี่ยวหลง ก็รีบดึงสติกลับมาสงบลงได้ พูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“ได้ ฉู่เฉินซี ฉันรับปากคุณ แต่คุณจะต้องไม่มาวุ่นวายในชีวิตของฉัน!”
หล่อนผลักเขาออกทันที โดยไม่รอให้เขาตอบ วิ่งหนีออกไปด้านนอก
เมื่อประตูปิดลง ในห้องก็เข้าสู่ความเงียบงัน
ฉู่เฉินซีได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตนเองเต้น มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่อับจนหนทาง มือกำหมัดแน่น
ข้อตกลงทั้งหมดของหล่อนสร้างขึ้นมาจากการข่มขู่ของเขา หล่อนรักครอบครัวของหล่อนมากขนาดนี้เลยหรือ
ไม่กลัวว่าเขาจะร้องขอในสิ่งที่เอาเปรียบมากเกินไป หล่อนก็ยอมตกลง
นัยน์ตาแฝงด้วยความเจ็บปวด หล่อนจะทำกับเขาราวกับเป็นคนแปลกหน้าแล้วจริงๆหรือ
แต่ว่า ต่อให้เป็นแบบนั้น ก็กลัวว่าหล่อนคงจะไม่ยอม