บทที่ 197 จงใจหาเรื่อง
การทำความสะอาดที่ดูวุ่นวาย ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าฉู่เฉินซีแค่จงใจหาเรื่องหล่อนเท่านั้นเอง แต่หล่อนกลับไม่มีโอกาสโต้ตอบเขาเลย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความแปลกประหลาด
สามารถรับรู้ความรู้สึกได้ว่าสายตาของเขามองทุกการเคลื่อนไหวของหล่อน ในใจถึงกลับเครียดขึ้นมา
หน้าผากเกลี้ยงเกลาผุดเหงื่อขึ้นมาเป็นแถบๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาสักประโยค แล้วรีบเร่งฝีเท้าเพื่อออกไปจากนอกห้อง
“เดี๋ยว”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วบอกบุญไม่รับ แล้วจ้องมองเขาอย่างเย็นชา “คุณฉู่ ต้องการอะไรอีกคะ?”
“ไปเปลี่ยนผ้าปูเตียง ฉันไม่ชอบสีนั้น”
หลินเวยมี่ได้แต่กัดฟันเอาไว้ เขาจงใจอย่างเห็นได้ชัด! แต่หล่อนกลับไม่ได้โกรธตอบ ได้แต่จ้องตาเขม็ง แล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉู่เฉินซีกระตุกยิ้มเบาๆ ดวงตาสีน้ำตาลทอประกายอาการหยอกล้อออกมา แล้วหมุนแก้วไวน์แดงที่อยู่ในมือไปมือ
ไม่นาน หลินเวยมี่ก็เอาผ้าปูเตียงสีฟ้าผืนใหม่มาด้วย แล้วจัดการดึงผ้าปูเตียงอันเก่าออกแล้วจัดการปูให้ใหม่
“เดี๋ยวนะ นี่ซักแล้วใช่ไหม?” ฉู่เฉินซีหมุนแก้วไวน์ไปและเอ่ยถามขึ้นมา พลางเดินไปหยุดที่ข้างกายหล่อนอย่างสง่างาม
หลินเวยมี่เกือบจะประสาทแดกเข้าไปทุกที! โมโหจนใบหน้าแดงแจ๋ พยายามควบคุมอารมณ์ตนเองเอาไว้ ได้แต่กัดฟันพูด “คุณฉู่มีอะไรที่ต้องการอีกไหม พูดออกมาเถอะ ส่วนอันนี้ฉันจะเป็นคนลงไปซักให้ใหม่แล้วอบให้แห้งแล้วค่อยเอามาเปลี่ยน รบกวนคุณฉู่รอสักครู่”
“พอเถอะ ๆ ฉันเพิ่งคิดได้ว่าผ้าปูอันเดิมก็ไม่เลวนะ แต่ว่าเธอเอาไปวางไว้ที่พื้นแล้วนะสิ ท่าทางการบริการของพนักงานจะไม่ดีเท่าไหร่” เขาเม้มปากเอื้อนเอ่ยออกมา
“ฉู่เฉินซี!” หล่อนตะคอกเสียงใส่ แถมจ้องเขาตาไม่กระพริบ
ฉู่เฉินซีกลับไม่ได้ตอบโต้ใดๆลย เขานั่งหันเหล่ตามองหล่อน นัยน์ตาไม่แสดงความรู้สึกใดๆที่ชัดเจนออกมาเลย
“เป็นไง?”
“กูจะไม่มาคอยปรนนิบัติเมิงอีกแล้ว! เหลือทนจริงๆ!” หลินเวยมี่โมโหเกรี้ยวกราดจนทำท่าฉีกผ้าปูเตียงที่อยู่ในมือ จากนั้นก็เดินออกจากห้องด้วยความโมโห
“ทำไม? รับไม่ไหวแล้วหรอ? ไม่รู้จริงๆว่าโรงแรมของเธอนั้นใช้งานเธอยังไงกัน” ฉู่เฉินซีพูดถากถางด้วยความเย็นชาขึ้นมา
ฝีเท้าของหลินเวยมี่หยุดชะงัก จากนั้นก็หันตัวกลับมาจ้องตาเขา “นั่นก็เป็นเพราะคุณจงใจที่จะแกล้งฉัน!”
“งั้นที่พูดออกมาก็หมายความว่าฉันต้องดูแลเป็นพิเศษว่างั้นสิ” ฉู่เฉินซีคลี่ยิ้ม เขายิ้มหรา ฉีกยิ้มกว้างจะเกือบจะถึงหู ดูจากอาการแล้ว ท่าทีที่แสดงออกมาอย่างราบลื่น จนทำให้คนหลงเสน่ห์
หลินเวยมี่สติเลื่อนลอยยืนตาค้าง พยายามใช้เล็บคมของตนเองทิ่มไปที่ฝ่ามือของตนเอง เพื่อให้หล่อนได้สติในเวลานั้น หล่อนทำตัวกระโตกกระตากไปจริงๆ โดยเฉพาะเวลาที่ได้มาพบกับเขาอีกครั้ง และการที่มาหายใจร่วมกันให้ช่วงเวลาหนึ่ง เลยมีอาการผิดปกติไปถึงขนาดนี้?
หล่อนควรคิดว่าเขาเป็นคนไม่รู้จัก ปฏิบัติกับเขาเฉกเช่นคนที่ไม่เคยรู้จักกัน พูดไปพูดมาก็เธอนี่แหละที่มีปัญหา
หลังจากคิดได้ ในใจถึงได้สงบลง
เธอยืนอยู่ข้างหน้าของฉู่เฉินซีอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ จากนั้นก็โค้งให้เขา พร้อมกล่าวขอโทษอย่างสุขุม “ขอโทษด้วยค่ะ เป็นฉันเองที่อารมณ์ไม่ดี ถ้าคุณต้องการฟ้อง ก็สามารถฟ้องชื่อฉันได้เลย”
การที่เธอสงบสติอารมณ์ลงได้วิธีนี้ฉู่เฉินซีรู้สึกไม่คุ้นเคยเลย ทำได้แค่มองผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้า แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
ในใจกลับรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ในความคิดของเขา คนเมื่อกี้ต่างหากถึงจะถือว่าเป็นตัวตนจริงๆของหลินเวยมี่ ไม่เสแสร้งต่อหน้าเขา ขนาดที่สามารถใช้คำ “กู”แทนตนเองได้ แต่หลินเวยมี่ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ มันทำให้เขารู้สึกห่างเหิน
ราวกับแปรเปลี่ยนไปเป็นคนที่ไม่รู้จักกันอย่างไรอย่างนั้น
หลินเวยมี่ฉีกยิ้มตามแบบฉบับ “คุณฉู่ ฉันรู้สึกว่าผ้าปูที่นอนสีฟ้าก็ไม่เลวนะ ฉันจะจัดการเปลี่ยนให้คุณเอง”
หล่อนไม่ร่ำรอคำตอบของฉู่เฉินซี รีบเปลี่ยนผ้าปูที่นอนทันที เมื่อปูที่นอนเสร็จก็มียืนอยู่ด้านหน้าของเขา
“คุณฉู่ หากมีความต้องการเรื่องอื่นอีก สามารถติดต่อประชาสัมพันธ์ได้โดยตรง”
พูดจบก็หันตัวกลับเดินออกจากห้องอย่างไม่ลังเลใดๆ อีกทั้งฉู่เฉินซีก็ไม่ได้จงใจแกล้งหล่อนอีก
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลินเวยมี่คงโกรธจนเป็นบ้าไปแล้ว เวลาผ่านไปห้าปี บนตัวเธอยังคงมีเศษความทรงจำเหล่านั้นหลงเหลืออยู่ จนทำให้เธอโตขึ้นกว่าแต่ก่อนขึ้นเยอะ
เมื่อคิดถึงตอนที่หล่อนตัดสินใจที่จากไปนั้น มุมปากของเขากระตุกรอยยิ้มแห่งความทุกข์ทรมานออกมา
การไปมีรักครั้งใหม่ หล่อนยินยอมทำแท้งลูกของพวกเขา ผู้หญิงเลือดเย็นแบบนี้แล้วทำไมเขาต้องคอยคิดถึงอยู่ได้? อีกอย่างหล่อนก็มีที่ใหม่แถมเกาะไว้แน่นแล้วด้วย?
แต่เขาก็ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านความทุกข์ที่อยู่ในใจ ยิ่งการได้เห็นผู้หญิงแบบนี้มันทำให้เขาเจ็บปวด อยากจะเอาชนะ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับความรักเลยด้วยซ้ำ
ความรู้สึกนั้นที่แทรกซึมอยู่ทุกอณูของร่างกายของเขา เขาก็จัดการขุดหลุมฝังมันเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจที่ลึกที่สุดและจะไม่มีการแตะต้องมันอีกครั้ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเพื่อดูหมายเลขโทรศัพท์ที่เรียกเข้ามา เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหงุดหงิด
“ฐาลี่ คืนนี้ฉันมีนัดกับเพื่อน พรุ่งนี้ฉันจะไปรับเธอ”
หลังจากวาสายแล้ว เขาก็เดินช้าๆไปยังด้านหน้าของหน้าต่างจรดพื้นในห้องและก็หยุดยืนอยู่ตรงนั้น สายตากว้างขวางสามารถมองทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน แล้วทำไมถึงไม่มีวิธีจัดการกับหัวใจของตนเองทำกำลังวางแผนต่อต้านอยู่
หลินเวยมี่เดินกลับไปยังหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์อย่างอึดอัด ก็เห็นว่าหวงหยิ่งยังไม่ยอมไปไหน แถมยังร้องไห้จนดวงตาบวมแดง ความจริงแล้วหล่อนเบื่อพวกผู้หญิงที่อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้ โดยเฉพาะตอนที่หล่อนกำลังหงุดหงิด
“ทำไมเธอยังไม่กลับไปอีก?”
น้ำเสียงที่แสดงความหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน จนทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูดุร้าย จนทำให้หวงหยิ่งตกตะลึง จนหล่อนเริ่มเกิดอาการสะอึกสะอื้น สีหน้าดูทำท่าจะร้องไห้ต่อ
“พี่เวยมี่ แขกตั้งใจที่จะฟ้องฉันใช่ไหม?”
“ไม่นะ ถ้าเขาจะฟ้องก็คือฟ้องฉันนี่แหละ”หลินเวยมี่ถอนหายใจ แล้วก็ตบบ่าปลอบใจหล่อน
ใครจะไปรู้เล่าว่าการที่ทำแบบนี้หล่อนยิ่งร้องไห้คร่ำครวญหนักกว่าเดิม
“อะไรนะ? งั้นก็หมายความว่าฉันเป็นคนทำร้ายพี่เวยมี่ ฉันมันช่างโง่ดักดานเสียจริง!”
หลินเวยมี่คลี่ยิ้ม ดวงตาเบื่อหน่ายเต็มทน หล่อนอ้าปากหาวหวอด “ถ้าเธอไม่ยอมกลับ งั้นช่วยฉันเฝ้าหน้าเคาน์เตอร์แล้วกัน ฉันขอไปพักแปบหนึ่ง”
หวงหยิ่งรีบพยักหน้าตกลง พร้อมทั้งสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
หลินเวยมี่คลี่ยิ้ม ในใจกลับคิดถึงเด็กน้อยที่อยู่ที่บ้านแต่น้อยครั้งนักที่เขาจะมานั่งร้องไห้ฟูมฟาย ในใจกลับอบอุ่นขึ้นมา พอเดินไปถึงห้องพัก ก็โทรศัพท์กลับไปที่บ้านทันที
“เสี่ยวหลง?”
หลินเวยมี่อ้าปากหาว ตอนนี้เวลายังไม่ถึงสามทุ่มเสี่ยวหลงน่าจะยังไม่เข้านอน
โทรศัพท์รอเสียงรอสายอยู่นานกลับไม่มีเสียงตอบรับกลับมา หลินเวยมี่ร้อนรน เลยอยากที่จะถาม แต่กลับมีเสียงงอแงของเด็กน้อยดังกลับมาแทน
“หม่ามี้ เมื่อวานก็ยังตกลงกันอยู่เลยว่าคืนนี้จะมาเล่านิทานให้เสี่ยวหลงฟัง”
“แม่ผิดไปแล้ว คืนพรุ่งนี้ไหม? คืนนี้แม่ต้องเข้าเวร”
“ก็ได้ เสี่ยวหลงให้อภัยแม่ก็ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้แม่ต้องพาเสี่ยวหลงไปกินไอศกรีมนะ”
หลินเวยมี่ฉีกยิ้มทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เธอสามารถจินตนาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของเด็กน้อยนั้นได้ หน้าตาที่คาดโทษมองมาทางหล่อนแบบนั้น
“ได้สิ แม่ตกลง”
หลังจากวางสายเสร็จ ประตูของห้องพักผ่อนของพนักงานก็ถูกเปิดออกอีกครั้งหวงหยิ่ง ยืนอยู่หน้าประตูทำท่าอึดอัดอยู่อย่างนั้น
“พี่เวยมี่ห้อง 301โทรศัพท์มาอีกแล้ว”
สีหน้าของหลินเวยมี่เปลี่ยนไปทันที “เขาคิดจะทำอะไรอีก?”
“ฉัน…ฉันไม่กล้าถาม เขาแค่บอกว่าต้องการพบคุณ”
ขนคิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากันทันที สีหน้าอึดอัดเต็มทน พร้อมทั้งก้าวพรวดพราดออกไป
ถึงขนาดที่ว่ากริ่งหน้าประตูหล่อนยังไม่ได้กดด้วยซ้ำ หล่อนเปิดประตูเข้าไปในห้องพักเลย พอเห็นว่าฉู่เฉินซีที่กำลังเอาผ้าขนหนูมาคาดเอาอยู่หล่อนถึงกลับหยุดชะงักทันที
พร้อมทั้งปรับอารมณ์ทางสีหน้าทันที แล้วถามยิ้มแย้มตามแบบฉบับ “คุณฉู่ คุณมีอะไรอีกคะ?”
สีหน้ายิ้มแย้ม แต่น้ำเสียงกลับกระวนกระวายใจ
“เอ้า เธอดูเอง” เขาโยนชุดสูทให้มาต่อหน้าเธอ สายตาใสซื่อบริสุทธิ์ “ครั้งนี้ฉันไม่ได้จงใจหาเรื่องนะ เป็นเพราะพวกเธอไม่ได้ตรวจสอบให้ดี”
พูดจบก็โยนตะปูใหม่เหมือนเพิ่งแกะจากกล่องออกมาแล้ววางตรงหน้าหล่อน พร้อมกับกางเกงชุดสูทตัวนั้นที่มีรอยขาดเป็นรูอยู่ หล่อนเลยเข้าใจทันที
หล่อนหยิบตะปูขึ้นมา ถ้าเรื่องนี้เกิดรู้ไปถึงหูเข้าคงเป็นเรื่องใหญ่ เกรงว่าหวงหยิ่งก็คงไม่ได้ถูกไล่ออกอย่างเดียวแน่
“เรื่องนี้… บางที่แขกคนเก่าของห้องนี้สนุกเกินไปนิด ถึงได้ทิ้งอันนี้เอาไว้ด้วย”
“เล่นรุนแรงหรอ? เล่นตะปูเนี่ยนะ?” ฉู่เฉินซีถามกลับอย่างสนใจ
หลินเวยมี่ยิ่งเก้อเขินหนักกว่าเดิม เลยหัวเราะแห้งๆให้เขาไปแทน พร้อมทั้งถามเขากลับด้วยน้ำเสียงพินอบพิเทา “ไม่ฟ้องได้ไหม?”
“ไม่อยากให้ฉันฟ้องก็ได้อยู่นะ ทำเรื่องน่าสนใจให้สักเรื่องสิ” เขาพูดจบก็มองมาทางหล่อน สายตาแสดงความต้องการอย่างชัดเจน
สีหน้าหลินเวยมี่เปลี่ยนไปทันที พร้อมทั้งพูดด้วยความเย็นชาตอบกลับเขาไป “ไม่มีทาง!”
ฉู่เฉินซีหัวเราะออกมา “แล้วฉันพูดออกมาหรือยังว่าให้เธอทำอะไรให้?”
ครั้งนี้หล่อนตกตะลึงไปเอง สายตาของเขาเมื่อครู่นั้นไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นหรอ?
“ฉันแค่อยากให้เธอไปซื้อกางเกงมาให้ฉันหนึ่งตัว หรือว่าให้ฉันใส่กางเกงที่มีรู้เดินไปเดินมา?”
หลินเวยมี่ถึงกลับถอยหายใจ จากนั้นก็ทำท่าok แล้วก็รีบออกไปจากห้องทันที
หลังจากปิดประตูแล้ว สำหน้าก็ดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที พร้อมทั้งเดินโมโหกระฟัดกระเฟียดไปยังบริเวณด้านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่กำลังคุยกันเมามันอยู่นั้นเห็นหล่อนโมโหเดือดพล่านกลับมาแบนี้ เสียงก็เงียบลงทันที
“นี่ไม่ใช่ตัวตนของเธอนี่?”หลินเวยมี่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าจากนั้นก็โยนตะปูให้กับหวงหยิ่ง น้ำเสียงโมโหเดือดดาล
หวงหยิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วรีบควานหาถุงตะปูออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ถุงมีรอยรั่วหนึ่งรอย จากนั้นก็พยักหน้าอย่างสมยอม “ฉันทำมันร่วง”
“เธอเอาของพวกนี้มาทำงานด้วยทำไมกัน?” หลินเวยมี่ขมวดคิ้วถามกลับ ไม่คิดเลยว่าหวงหยิ่งเป็นคนที่หล่อนเลือกมากับมือ จะมาสะเพร่า แถมยังทำผิดพลาดถึงขนาดนี้ได้
“พ่อฉันเป็นช่างไม้ ตอนเช้าเขาก็ฝากฉันซื้อของกลับบ้าน ฉันไม่รู้จริงๆว่าถุงมันรั่ว หัวหน้า คุณไม่บอกผู้จัดการได้ไหม” หวงหยิ่งพูดอธิบายเสียงอ่อน
หลินเวยมี่ตกปากรับคำ พร้อมทั้งหยิบเสื้อโค้ทแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปด้านนอก
หล่อนถึงกลับประสาทจะกิน ทั้งๆที่ไม่อยากไปข้องแวะอะไรกับฉู่เฉินซีอีก แต่การพบกันในครั้งนี้ คืนนี้ถือว่าเป็นคืนที่แย่ที่สุดคืนหนึ่งก็ว่าได้
หล่อนหาร้านค้า 24 ชั่วโมงร้านหนึ่งเจอในละแวกใกล้เคียง สายตาจ้องกางเกงผู้ชายภายในร้าน หล่อนแยกชนิดของกางเกงไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ว่าแบบไหนดีแบบไหนมันคุณภาพแย่
“คุณผู้หญิงคะ ไม่ทราบว่าต้องการซื้อแบบไหนดีคะ?” พนักงานขายของผู้หญิงถามด้วยรอยยิ้ม
“เอาแบบนี้ก็ได้แล้ว” หลินเวยมี่พูดด้วยอาการลังเล แต่กลับไม่รู้ว่าแบบไหนดี อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าฉู่เฉินซีเขาต้องเลือกแบบไหนกัน
“งั้นขนาดของคุณผู้ชายล่ะคะ?”
หลังจากอาการที่มัวแต่ครุ่นอยู่ หล่อนก็พูดขนาดออกไปเลย อีกทั้งหล่อนก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของพนักงานขายสินค้าที่พูดคำว่า ‘คุณผู้ชาย’ออกมาด้วย
พนักงานผู้หญิงหยิบรุ่นสีฟ้าออกมาแล้วยื่นให้หล่อนดู “แบบนี้ล่ะคะ? แบบนี้ถือว่าคุณภาพดีที่สุดในร้านของเราค่ะ”
“งั้นเอาตัวนี้แหละ”
“คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายน่าจะมีความสุขมากใช่ไหมคะเนี่ย? ขนาดไซต์ของคุณผู้ชายคุณผู้หญิงก็ยังรู้เลย ตอนนี้คู่สามีภรรยาน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องพวกนี้” พนักงานสาวยื่นกางเกงตัวนี้ที่ห่อเรียบร้อยแล้วให้หล่อนพร้อมทั้งยิ้มให้ด้วย
“ฉันไม่ใช่…”
หลินเวยมี่อยากจะอธิบาย แต่กลับมาคิดดูอีกที การอธิบายให้คนไม่รู้จักฟังนั้นมันมีประโยชน์อะไร? เลยหยิบถุงเสื้อผ้าออกจากร้านทันที
หล่อนพึมพำอยู่ในใจ หล่อนไม่อยากจะไปข้องแวะกับฉู่เฉินซีสักนิด!