บทที่ 192 รักจนถึงที่สุดแล้วก็จะรู้สึกเกลียด
ตอนที่เห็นกู้จุนเฟิงนั้น เธอก็รู้สึกอุ่นใจเหมือนเห็นคนในครอบครัว เธอโผเข้าไปในอ้อมอกของเขา แล้วก็ร้องสะอื้น
“พอแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว” กู้จุนเฟิงมองหน้าเธอ แล้วก็ใช่สายตาสั่งให้ลูกน้องพาตัวฉู่เฟยหยางออกไป
หลินเวยมี่เหมือนกับว่ามีที่พึ่งพิง เธอแนบอยู่กับตัวของเขาแล้วก็ร้องไห้ออกมา เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คำพูดพวกนั้นของฉู่เฉินซีเป็นเรื่องจริง ที่แท้สิ่งที่หลินซินหยานพูดก็ไม่ผิดเลย สิ่งที่เธอเห็นในคอมพ์ของฉู่เฉินซีนั้นไม่ผิดเลย ทุกอย่างนี้มันเป็นกลอุบายของฉู่เฉินซี
เพียงเพื่อดึงดูดเธอ? ยิ่งรักก็ยิ่งเกลียด ความรักทั้งหมดที่เธอมีได้เปลี่ยนเป็นความเกลียดชังเพราะเรื่องนี้ เธอกำหมัดแน่น ทำไมเธอต้องทุ่มเทไปทั้งหมดกว่าจะได้รู้ความจริง
ทั้งหมดคือภาพลวงตาที่ฉู่เฉินซีสร้างขึ้นมา เขาไม่ได้รักเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ก็แค่ต้องการจะหลอกใช้เธอเท่านั้น ตอนนี้เธอไม่ได้มีค่าอะไรให้เขาใช้อีกต่อไปแล้ว ก็เลยถีบเธอออก
ไม่ว่าเธอจะทำเรื่องอะไรก็จะนึกถึงเขาเสมอ แต่เขาคงจะหลบอยู่ตรงนั้นแล้วก็มองดูเธอเป็นตัวตลกล่ะสิ
เธอไม่ได้แค่เสียหน้า แต่ว่าเธอเสียทุกอย่าง
สูญเสียไปอย่างสมบูรณ์ สูญเสียโดยสิ้นเชิง
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ สายตามีแต่ความเกลียดแค้น แล้วก็รีบพูดออกมา “เสี่ยวจื๋อ พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ”
เธอไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่อีกวินาทีเดียว เธออยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หนีออกไปจากที่นี่
สีหน้าของเธอดูไม่ดีมาก น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ดวงตาและจมูกของเธอร้องไห้จนแดงไปหมด ดูน่าสงสารมาก
กู้จุนเฟิงถอนหายใจออกมา แล้วก็พยุงเธอออกมา จนตอนที่เดินออกมาจากโรงพยาบาล หลินเวยมี่ก็เอาหัวพิงหน้าต่าง หลับตาแล้วก็พักผ่อนไป
“ไปที่ไหนหรอ?” กู้จุนเฟิงลองถามออกมา
หลินเวยมี่ลืมตาขึ้นมา แล้วก็ตอบด้วยเสียงเบาๆ ตามจริงตอนนี้เธอแต่อยากจะออกไปจากที่นี่ ไปจากที่ๆทำให้เธอรู้สึกปวดใจ
แต่ความเกลียดชังของเธอทำให้เธอไม่สามารถจากไปได้ อย่างน้อยก็ตอนนี้ที่ไม่สามารถไปได้
รถสปอร์ตสีแดงแล่นไปตามท้องถนน สีหน้าของฉู่เฉินซีเต็มไปด้วยความร้อนรนและวิตกกังวล เหงื่อบางๆออกเต็มหน้าผาก แผนเมื่อกี้ของเขาคือยั่วให้ฉู่เฟยหยางโกรธ
ฉู่เฟยหยางเขารู้ดีว่า เขาไม่สามารถระงับความโกรธของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นเขาเลยพูดออกไปแบบนั้น ก็เพราะว่าต้องการยั่วเขา ให้เขาคิดว่าหลินเวยมี่ไม่ได้มีความสำคัญสำหรับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ว่าในเมื่อสามารถจัดการฉู่เฟยหยางได้สำเร็จแล้ว แต่ว่าก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าต่อไปเขาจะทำอะไร เพราะฉะนั้นก็เลยร้อนรนอยู่ตอนนี้
รถเลี้ยวโค้งได้อย่างสวยงาม แต่ว่าก็ได้เผชิญหน้ากับรถบรรทุกฝ่ายตรงข้าม เขาเลยชนรั้วข้างถนนอย่างจัง รถทั้งคันก็สั่นอย่างรุนแรง
เขาเอามือขึ้นมาบัง แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดเสียวซ่านที่แขน รถหยุดลง จอดอยู่ข้างทาง
หลังจากผ่านไปนานเขาถึงได้สติกลับมา พยายามขยับแขนของตัวเอง แต่มันเจ็บมาก เขากัดฟันแล้วสตาร์ทรถอีกครั้ง แล้วไปยังที่ๆฉู่เฟยหยางส่งมาให้
เส้นเลือดที่หน้าผากของเขาปูดขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
เอี้ยด——เสียงเบรกที่รุนแรงดังขึ้น ฉู่เฉินซีรีบลงจากรถ แล้วก็วิ่งเข้าไปในโรงแรมอย่างตื่นตระหนก
เขาเตะประตูห้องพัก แต่ว่าห้องมันว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของคน
ตอนนั้นสมองเขาโล่งไปหมด แล้วก็รีบโทรหาฉู่เฟยหยางอย่างหวาดกลัว เขารู้สึกเครียดมาก
สายดังขึ้นอยู่นานกว่าจะมีคนรับ แต่ว่าปลายสายกลับเป็นเสียงของคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยดังขึ้น
“ผมเอง กู้จุนเฟิง ตอนนี้เธอสบายดี”
ใบหน้าของฉู่เฉินซีค้างแข็ง ความห่อเหี่ยวกัดกินที่กระดูกของเขา ขอแค่เธอไม่เป็นไรก็พอแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขารีบดูเบอร์ที่โทรเขา ทันใดนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสุข
“เวยมี่……”
“หลังจบงานแต่งกลับบ้านหน่อยนะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
น้ำเสียงที่เย็นชาที่ไร้อารมณ์ดังออกมา ไม่รอให้เขาพูดอะไรต่อ ปลายสายก็ตัดสายไปแล้ว
หลินเวยมี่โยนโทรศัพท์ไปด้านข้างอย่างหมดแรง แล้วก็หันไปยิ้มให้กู้จุนเฟิง “ไปส่งฉันกลับบ้านก่อน”
“กลับบ้าน?” น้ำเสียงของกู้จุนเฟิงเต็มไปด้วยความแปลกใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นด้วยกับเธอ
หลินเวยมี่คลี่ยิ้มที่ขมขื่นออกมา เธอพยักหน้านิ่งๆ “คฤหาสน์ของฉู่เฉินซี ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเขา”
กู้จุนเฟิงยังคงไม่เห็นด้วย พยักหน้า “จำเป็นด้วยหรอ?”
“ฉันรู้สึกว่าพวกเราจำเป็นต้องคุยกัน” เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เอามือจับท้องน้อยของตัวเอง ริมฝีปากที่ซีดเผือกเหมือนไม่มีเลือดก็พูดออกมา “อย่างน้อยเรื่องของลูกน้อย เราก็ควรจะตัดสินใจหน่อย”
“เธอ……”กู้จุนเฟิงมองหน้าเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าควรจะเกลี้ยกล่อมเธอยังไง
หลินเวยมี่วางมือบนท้องน้อยของตัวเอง แล้วก็พูดออกมาเบาๆ “หมอบอกว่า เด็กคลอดออกมาอาจจะผิดปกติ สุขภาพไม่สมบูรณ์”
“บางทีอาจจะมีข้อยกเว้นก็ได้?”
“ข้อยกเว้น……แต่ว่าฉันอยากได้แค่ลูกที่แข็งแรง ลูกที่ร่างกายสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“เวยมี่ อย่าเป็นแบบนี้สิ” กู้จุนเฟิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คิดแค่ว่าหลินเวยมี่น่าจะแคร์เรื่องที่ฉู่เฉินซีไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะปลอบใจยังไง
เธอพยายามฝืนยิ้มออกมา แต่ว่าสายตาของเธอก็กลับเปียกชื้นขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมา เธอถามออกมาด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “เสี่ยวจื๋อ ฉันผิดตั้งแต่เริ่มแล้วใช่มั้ย?”
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอ”
“ฉันไม่ควรจะใจเต้นให้กับเขาตั้งแต่แรก แต่ว่าทำไมตอนจบมันถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้กัน?” เธอเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเอง ปลดปล่อยความกดดันทั้งหมดออกมา
เขาจะรู้ได้ยังไงว่า ทุกวันหลินเวยมี่ต้องแบกรับความกดดันไว้มากขนาดไหน ตั้งแต่เรื่องความสัมพันธ์ทางสายเลือดของพวกเขาไปจนถึงเรื่องสุขภาพของลูกน้อย ทุกคืนเธอไม่เคยนอนหลับสนิทเลย กลัวว่ามีวันนึง ต้องจากเขาไป วันนึง ต้องให้กำเนิดลูกที่ร่างกายไม่แข็งแรงออกมา
แต่ว่าเรื่องทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นแล้ว เธอจากเขามาแล้ว แต่ว่าตอนจบก็เจ็บปวดมาก ทำให้เธอคิดว่าเธอรักผิดคน
แล้วเรื่องลูก……เธอจะกล้าเผชิญหน้ากับลูกที่พิการยังงั้นหรอ?
เธอสามารถจากเขาไปได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แต่ว่าทำยังไงเธอก็รับไม่ได้ที่เขาหลอกใช้เธอ คำว่ารักที่เขาพูดออกมาทั้งหมดมันเป็นแค่เรื่องโกหก ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีอยู่จริง
ความจริงมันเจ็บปวดมาก ขนาดที่เธอรู้สึกถลอกปอกเปิกไปหมด
“เวยมี่ อย่าทำเรื่องทุกอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุเลย บางทีพรุ่งนี้อาจจะดีขึ้นก็ได้” กู้จุนเฟิงถอนหายใจออกมา แล้วก็ปลอบเธอ
หลินเวยมี่คลี่ยิ้มออกมา สายตามีแต่ความเยือกเย็น เธอเองก็เชื่อเหมือนกันว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่านี้ อย่างน้อยหลังจากที่ไม่มีฉู่เฉินซีแล้ว เธอจะต้องดีขึ้นแน่นอน
“เสี่ยวจื๋อ ไม่ต้องปลอบฉันหรอก ฉันตัดสินใจเรื่องทุกอย่างแล้ว”
“ตัดสินใจอะไร? ไม่อยากเก็บลูกไว้แล้วงั้นหรอ? อย่าลืมนะว่านี่มันหนึ่งชีวิตเลยนะ!”
รถหยุด ใบหน้าของกู้จุนเฟิงเต็มไปด้วยความโกรธ แล้วก็ถามต่อ “เวยมี่ เธอเอาความเจ็บปวดจากความรัก มาทำลายชีวิตอันบริสุทธิ์งั้นหรอ? เธอเป็นแม่ของเขา เธอมีสิทธิ์ให้เขาออกมาเจอโลก”
“อย่าพูดเลย” เธอหันหน้าไปทางอื่น แล้วน้ำตาก็เริ่มไหลลงมาอีกครั้ง
“เรื่องที่แล้วยังเป็นบทเรียนไม่พออีกหรอ?” เขาพูดอย่างไม่มีทางเลี่ยง แล้วก็เห็นว่าสีหน้าของหลินเวยมี่ค้างแข็ง ความเศร้าแพร่กระจายออกมา
เขาถอนหายใจ แล้วก็ขับรถไปต่อ
สีหน้าของหลินเวยมี่ยิ่งซีดลงเรื่อยๆ ฝ่ามือของเธอโดนเล็บของตัวเองจิกจนเป็นแผลไปหมด แต่ว่าเธอกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว มันชาไปหมดแล้ว
เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอะไรอีกต่อไปแล้ว ชาจนไม่รู้สึกอะไรเลย
รถจอดลงที่หน้าคฤหาสน์ หลินเวยมี่เดินเข้าไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาก็เหลือบหันไปมองรถสปอร์ตสีแดงที่อยู่ด้านข้าง ไฟท้ายของรถมีรอยถูกชน แล้วตัวรถเองก็มีร่องรอยเหมือนกัน
เธอค่อยๆเดินเข้าไป ในห้องรับแขกมีแต่ความเงียบ เหมือนกับปกติ แต่เธอสัมผัสได้ถึงบรรยากาศความเยือกเย็น ที่กดดันเธออยู่ตอนนี้
เธอเดินขึ้นไปชั้นบน แล้วเปิดประตูห้องนอน สถานที่ที่คุ้นเคยทำให้เธอสะเทือนใจ
ทั้งหมดถูกเปิดออก กลิ่นของควันบุหรี่ลอยเข้ามา มองเข้าไปด้านใน ฉู่เฉินซีนั่งอยู่ข้างเตียงเงียบๆ ในมือถือบุหรี่อยู่ แล้วก็มีก้นบุหรี่นับสิบตัวอยู่ข้างเท้าของเขา
เธอขมวดคิ้วแน่น แล้วก็เดินเข้าไปแย่งบุหรี่ในมือของเขา ดับมัน แล้วก็เปิดหน้าต่าง
ลมจากข้างนอกพัดเข้ามา ทำให้ควันในห้องถูกพัดหายไปเยอะมาก
ฉู่เฉินซีใส่ชุดสูทสีเข้ม ไม่ได้แตกต่างจากชุดปกติของเขามากนัก แต่ว่าใบหน้าของเขากลับดูโดดเดี่ยวเหมือนที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาแสดงให้ใครดูกัน? แสดงขนาดนี้ กลัวว่าจะไม่ได้รับความสงสารจากเธองั้นหรอ?
เธอยิ้มรอยยิ้มที่เยาะเย้ยออกมา แล้วก็ค่อยๆเดินไปตรงหน้าเขา แล้วก็จ้องหน้าเขาอย่างเย็นชา
“ที่จริง ฉันลืมไปเรื่องนึง”
“อะไรหรอ?” เสียงของเขาแหบแห้ง สายตาก็แดงก่ำเหมือนกับเลือด ดูซีดเซียวมาก
มีร่องรอยของการดูถูกปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ เธอยืนพิงตู้เสื้อผ้าที่อยู่ตรงข้ามเขา แล้วก็จ้องหน้าเขานิ่งๆ เงียบอยู่ซักครู่ สุดท้ายก็พูดออกมา “ของขวัญแต่งงานของนายไง ฉันลืมไปเลย”
ฉู่เฉินซีเงยหน้าขึ้นทันที แล้วก็จ้องมองผู้หญิงตรงหน้าเขาเงียบๆ รู้สึกเหมือนว่าเธอไม่เหมือนตอนปกติ แต่ว่าก็บอกไม่ถูกว่ามีตรงไหนที่แปลกไป
“เวยมี่…….”
“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกัน คุณชายฉู่ โปรดเรียกฉันว่าหลินเวยมี่” เธอตอบกลับ น้ำเสียงชัดเจน
“เวย……”
“หลินเวยมี่!” เธอแก้ไขออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าของเธอดูแย่มาก ถอนหายใจออกมา แล้วพูดว่า “คุณชายฉู่ ก่อนอื่นต้องขอยินดีกับงานแต่งงานของคุณด้วย แน่นอนว่าฉันคงไม่รบกวนเวลาของคุณนานเท่าไหร่ คุณจะได้มีเวลาไปหาภรรยาของคุณ”
ฉู่เฉินซีมองหน้าผู้หญิงตัวเล็กๆตรงหน้าของเขา ที่แท้เธอก็ยังแคร์อยู่ แคร์เรื่องที่เขากับฐาลี่แต่งงานกัน
“แล้วไงต่อ?”เข้าจ้องหน้าเธอนิ่งแล้วถามออกมา
หลินเวยมี่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น น้ำตาก็เริ่มคลอเบ้าอีกครั้ง
เธอหันหน้าไปทางอื่นแล้วเช็ดน้ำตาเหมือนไม่แคร์ แล้วก็แกล้งเป็นเข้มแข็งแล้วพูดออกมา “ของขวัญชิ้นนี้สำหรับคุณแล้วมันคงไม่ได้สำคัญอะไรเลย แต่ฉันก็คิดว่าควรจะบอกให้คุณรู้ไว้”
“สรุปแล้วคืออะไรกันแน่?” เขาหรี่ตาลง ก็รู้สึกรอคอยของขวัญเล็กน้อย แม้แต่คาดหวังให้เธอกอดเขา ขอร้องเขาไม่ได้ทิ้งเธอไป ถ้าเกิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาไม่มีทางควบคุมตัวเองได้ บางทีเขาอาจจะคบกับเธอโดยที่ทิ้งทุกอย่าง
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามกดอารมณ์ของตัวเองไว้ เธอโค้งตัวลง แล้วก็หยิบอะไรออกมาจากใต้เตียง
ตอนที่ไปโรงพยาบาลนั้น เธอขอให้หมอให้รูปภาพของลูกน้อยมาอีกรูปนึง
ลูกน้อยตัวเล็กมาก เล็กจนเกือบจะมองไม่เห็น
เสียงน้ำตาไหลลงที่รูป เธอรีบเช็ดมัน แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา แล้วก็พูดออกมาเบาๆ “ของขวัญของฉันอยู่ตรงนี้